มู่หรงฉิงไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ นางรีบรินน้ำชาเย็นหนึ่งถ้วย และยื่นไปให้ “รีบดื่มชา” เหล่าสาวใช้ถึงกับสะดุ้งใ ก้าวเท้าถอยออกไปและไม่กล้าเดินเข้ามา ดูเหมือนกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น
ะโก็แล้ว ะโก็แล้ว เฉินเทียนหยูใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ เขามองมู่หรงฉิงด้วยท่าทางเสียใจ “น้องหญิง มันอร่อยแต่มันก็ร้อนมาก!”
มู่หรงฉิงพูดในใจ จะไม่ให้ร้อนได้อย่างไร? นั่นเพิ่งออกจากหม้อนึ่ง
นางพูดโน้มน้าวด้วยการชักแม่น้ำทั้งห้ากว่าจะสามารถทำให้เฉินเทียนหยูนั่งลงอย่างเชื่อฟังได้ เมื่อลูกกลมอุ่นลง มู่หรงฉิงถึงได้ให้เฉินเทียนหยูเก็บลิ้น “เอาล่ะ ตอนนี้กินได้แล้ว”
ทันทีที่ได้ยินว่าสามารถกินได้แล้ว เฉินเทียนหยูก็เหมือนจะลืมไปว่าเมื่อครู่ก่อนเขาถูกความร้อนลวกปาก ทั้งร้องะโ ทั้งะโอย่างไร ก่อนหยิบขนมใส่เข้าไปในปากโดยไม่พูดอะไร
หลังจากทานเข้าไปแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็เปล่งประกายด้วยความพึงพอใจ อากัปกิริยาของเฉินเทียนหยู ทำให้มู่หรงฉิงรู้ว่ารสชาติของมันใช้ได้
ดูเหมือนว่าฝีมือการทำอาหารของนางจะสามารถทำประโยชน์ได้ในภายภาคหน้า
“ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฮูหยินน้อยทำนี้คืออะไร? ผู้น้อยจะโชคดีได้ชิมหรือไม่?” จ้าวจื่อซินถูกแช่เย็นยืนนิ่งๆ อยู่ด้านข้างเป็เวลานาน หลังจากเห็นเฉินเทียนหยูกินอย่างเอร็ดอร่อย จ้าวจื่อซินย่อมอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าคืออะไรกัน? สามารถทำให้เฉินเทียนหยูคนปลิ้นปล้อนพอใจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
“จ้าวจื่อซินกิน! มันอร่อยมากเลย!” ก่อนที่มู่หรงฉิงจะตอบ เฉินเทียนหยูก็ยกจานเดินเข้าไปหาจ้าวจื่อซินด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงบอกแล้วว่า นี่คือข้าวเหนียวห่อใบบัว มันอร่อยมากเลย!”
จะอร่อยหรือไม่ ย่อมอร่อยอยู่แล้ว จ้าวจื่อซินเป็คนเกเรไร้กฎมารยาทซึ่งมู่หรงฉิงก็รู้อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อนางเห็นจ้าวจื่อซินนั่งลงด้วยตัวเอง หยิบตะเกียบจากนั้นเริ่มกิน มู่หรงฉิงจึงคร้านเกินกว่าจะพูดอะไรสักคำออกมา
นางชายตามองรอบๆ เห็นพวกสาวใช้ก็ดูคุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนั้นของจ้าวจื่อซินตามที่คิดไว้ไม่มีผิด ในระหว่างถอนสายตากลับเห็นร่องรอยของความไม่พอใจที่ยากจะเห็น ปรากฏวาบในสายตาของชุ่ยเอ๋อร์
เฮ้อ... มีความหวังแล้ว!
ชุ่ยเอ๋อร์ผู้นี้เป็บ่าวเคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่า และฮูหยินผู้เฒ่าสามารถมอบชุ่ยเอ๋อร์ให้กับนางได้ ย่อมเป็เพราะเชื่อมั่นและเห็นว่าชุ่ยเอ๋อร์เป็คนดีมาก สาวใช้ในเรือนนี้ไม่สนใจพฤติกรรมของจ้าวจื่อซิน แต่ชุ่ยเอ๋อร์กลับค่อนข้างไม่พอใจ เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ชุ่ยเอ๋อร์ถึงไม่ชอบแต่นางก็ไม่กล้าเผยออกมา หรือเป็เพราะว่า จ้าวจื่อซินผู้นี้มีเื้ัใหญ่โตมาจากไหนจริงๆ? ใหญ่โตแม้กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูกลัวเกรงเขาอยู่หลายส่วน?
มู่หรงฉิงสงสัยในใจว่าจะใช้ความไม่พอใจของชุ่ยเอ๋อร์จัดการจ้าวจื่อซินได้อย่างไร แต่คนที่ถูกไตร่ตรองกลับกินข้าวเหนียวห่อใบบัวห่อแล้วห่อเล่า ลองกินไส้ถั่วลิสงก่อน ตามด้วยไส้ถั่วเขียวและต่อด้วยไส้งา
ไม่บอกไม่ได้ว่าข้าวเหนียวห่อใบบัวนี้มีขนาดเล็กกระจิริดและวิจิตรบรรจง ครั้นเข้าปากก็จะได้ัักับรสชาติหอมหวานของน้ำผึ้ง ส่วนใบบัวก็ดึงความหอมสดชื่นออกมาด้วย จ้าวจื่อซินไม่คาดคิดเลยว่า ของง่ายๆ จะสามารถอร่อยได้ถึงเพียงนี้
“จ้าวจื่อซิน เ้าอย่าแย่งกับข้าสิ” เมื่อเห็นจ้าวจื่อซินทานห่อแล้วห่อเล่าอย่างมีความสุข เฉินเทียนหยูก็เริ่มไม่พอใจ เขาใช้แขนทั้งสองข้างโอบจานบนโต๊ะทั้งหมด พร้อมมองจ้าวจื่อซินด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ห้ามแย่งกิน! มิเช่นนั้นข้าต่อยเ้าแน่!”
คำพูดของเฉินเทียนหยูรั้งสติของมู่หรงฉิงกลับมา นางเห็นว่าเฉินเทียนหยูกำลังจะนอนลงบนโต๊ะ นางก็อดไม่ได้ที่จะขบขัน “ท่านพี่ ข้าวเหนียวห่อใบบัวกินมากไม่ได้ มิเช่นนั้นจะปวดท้องเอาได้”
นี่เป็ข้าวเหนียวแท้ๆ ซึ่งเป็อาหารที่ย่อยยาก ดังนั้นจึงไม่สามารถทานมากเกินไป
มู่หรงฉิงกำลังคิดคำนึงถึงเขา แต่เฉินเทียนหยูกลับไม่สบอารมณ์ เขาเงยหน้าแดงก่ำด้วยความขุ่นเคืองและะโว่า “เ้าไม่ให้ข้ากิน ก็เพราะ้าให้จ้าวจื่อซินได้กินใช่หรือไม่? เ้าห้ามทำดีกับจ้าวจื่อซิน ข้าต่างหากที่เป็ท่านพี่ของเ้า”
ใบหน้าของมู่หรงฉิงแปรเปลี่ยนเป็สีขาวทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น คำพูดดังกล่าวมีความหมายที่ชัดเจนจนสามารถเข้าใจได้ง่ายมาก แม้ทุกคนต่างรู้ว่าเฉินเทียนหยูเป็คนโง่งม และรู้ด้วยซ้ำว่าข้าวเหนียวห่อใบบัวกินมากไม่ได้ แต่เมื่อเฉินเทียนหยูพูดเช่นนั้นก็ทำให้คนต้องคิดมากอย่างมิอาจห้ามได้
ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็สีขาว มิหนำซ้ำยังไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป สายตาอันเ็าของมู่หรงฉิงกวาดมองเฉินเทียนหยูที่พูดจาอะไรโดยไม่คิด
มู่หรงฉิงบอกกับตัวเองอย่างต่อเนื่องว่าโกรธไม่ได้ รำคาญไม่ได้ กับคนโง่เ้าจะโกรธให้ได้อะไรขึ้นมา? แต่คำพูดของเขาน่าฟังเสียที่ไหน?
อย่างไรก็ดีนางพยายามกดไฟแห่งความโกรธอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สีหน้าของมู่หรงฉิงค่อยๆ กลับมาเป็ปกติ จ้าวจื่อซินกลับทำให้ความพยายามของมู่หรงฉิงทลายลงด้วยประโยคเดียว
“ฮูหยินน้อยดีต่อข้าจึงไม่ให้ข้ากินมากกว่านี้อย่างไรล่ะ” หลังจากพูดจบ จ้าวจื่อซินก็มองดูมู่หรงฉิงด้วยสายตายั่วยุ
‘บึ้ม!’ หัวสมองของมู่หรงฉิงะเิแล้ว จ้าวจื่อซินผู้นี้พูดออกมาโดยไม่คิด ทั้งยังไม่คำนึงถึงสถานที่และสถานการณ์เลยหรือ? ที่นี่มีทั้งบ่าวผู้หญิงและแม่นม? เขาไม่กลัวว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้นมาหรืออย่างไร?
ยิ่งมู่หรงฉิงคิดมาก จิตใจของนางก็วิตกกังวลมากเช่นเดียวกัน แต่หลังจ้าวจื่อซินพูดจบกลับไม่เห็นว่ามีบ่าวคนไหนมีท่าทีแปลกใจเลย ไม่แม้แต่จะชายตาดูอย่างตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ
มู่หรงฉิงไม่เข้าใจ แท้ที่จริงแล้วสถานะของจ้าวจื่อซินในจวนเฉินคืออะไรกัน? นางมีสถานะเป็ภรรยาของเฉินเทียนหยู ไม่ว่าอย่างไรนางก็นับว่าเป็ฮูหยินน้อยของจวนเฉิน แต่ทำไมจ้าวจื่อซินถึงได้กล้าพูดกับนางเช่นนั้น?
มู่หรงฉิงหงุดหงิดกำมือทั้งสองข้างแน่นจนกลายเป็สีขาวซีด ชุ่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นว่านางอดกลั้นที่จะไม่คว่ำโต๊ะไว้แทบไม่ไหว จึงเดินเข้ามาหานางอย่างพอเหมาะพอเจาะ เสียงของเ้าตัวค่อนข้างราบเรียบชนิดที่แยกอารมณ์ดีและอารมณ์โกรธไม่ออก “เวลาสายมากแล้ว อีกสองชั่วยามก็ได้เวลาสำหรับอาหารเย็นแล้ว ฮูหยินน้อยทำงานหนักทั้งบ่าย เวลานี้ควรจะกลับห้องเพื่อพักผ่อน เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารจะได้ไม่เหนื่อยล้า”
การปรากฏตัวของชุ่ยเอ๋อร์เป็การยื่นทางออกให้มู่หรงฉิง แต่ไม่รู้ว่าทำไมมู่หรงฉิงถึงยังหงุดหงิดนัก นางแทบสะกดกลั้นไม่ไหวที่จะก้าวไปฟาดจ้าวจื่อซินด้วยฝ่ามืออย่างเต็มแรง เพื่อคืนความหงุดหงิดทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นมาในสองวันที่ผ่านมาให้เขา
“ฮูหยินน้อย!”
ชุ่ยเอ๋อร์เป็คนฉลาดมาก เมื่อเห็นดวงตาแข็งกร้าวของมู่หรงฉิง นางก็รู้ทันทีว่ามู่หรงฉิงขุ่นเคืองแล้วจริงๆ ครั้นนึกถึงเหล่าอนุในอดีต ชุ่ยเอ๋อร์คิดว่าฮูหยินคนนี้เป็คนดีจริงๆ อย่างน้อยนางไม่ได้หลงใหลในรูปลักษณ์ของจ้าวจื่อซิน “ถึงจะกล่าวกันว่าใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นอากาศจะเย็นสบาย แต่นี่เป็่กลางฤดูร้อน ต้นไม้ใหญ่แค่ไหนก็ย่อมร้อน กลับห้องที่มีก้อนน้ำแข็งอยู่ในห้องจะเป็การดีกว่า ย่อมสบายใจมากกว่า”
มู่หรงฉิงเข้าใจคำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ นางกัดฟัน ไม่สนใจเฉินเทียนหยูอีกต่อไป จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องทันที
“ปิดประตู! ปี้เอ๋อร์ ยวี้เอ๋อร์เฝ้าด้านนอกห้อง ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา” ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามา ย่อมหมายถึงแม้กระทั่งเฉินเทียนหยูก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้อง
มู่หรงฉิงขุ่นเคืองแล้วจริงๆ ดวงตาของยวี้เอ๋อร์เป็ประกาย และนางก็เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องอย่างเป็ธรรมชาติ ฝ่ายปี้เอ๋อร์มองไปที่จ้าวจื่อซิน, เทพผู้เฒ่าผู้ซึ่งไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ เขานั่งเล่นดาบยาวอยู่ที่นั่น จากนั้นเลื่อนสายตาไปมองเฉินเทียนหยูที่โง่งมและไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนลอบถอนหายใจและเฝ้าประตูด้านนอกห้อง
“จ้าวจื่อซินคนนั้น มีภูมิหลังมาจากไหนหรือ?” หลังจากเข้าไปในห้องด้านใน และมั่นใจได้แล้วว่ายวี้เอ๋อร์ซึ่งด้านนอกห้องไม่ได้ยินเสียงของนาง มู่หรงฉิงจึงลดเสียงเอ่ยถามชุ่ยเอ๋อร์
ชุ่ยเอ๋อร์เป็สาวใช้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมา เดิมทีนางคิดว่าที่มู่หรงฉิงเรียกนางมาคงเพราะ้าใช้โอกาสนี้สั่งสอนนาง แต่ไม่คาดคิดเลยว่ามู่หรงฉิงจะเอ่ยถามเกี่ยวกับจ้าวจื่อซิน มิหนำซ้ำน้ำเสียงของนางก็ฟังดูหงุดหงิดเหลือทน
ชุ่ยเอ๋อร์มองใบหน้าของมู่หรงฉิงและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เรียนฮูหยินน้อย เื่ราวภูมิหลังของจ้าวจื่อซิน บ่าวก็รู้ไม่ชัดเจนนัก บ่าวรู้เพียงว่า จู่ๆ คุณชายรองก็พาเขากลับมาที่จวนซึ่งนั่นเป็่ครึ่งปีก่อนที่คุณชายรองจะประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด คุณชายรองสั่งกำชับว่า จ้าวจื่อซินจะอยู่ในจวนหลายปี ใน่เวลาหลายปีนี้จ้าวจื่อซินจะต้องฟังคำสั่งของคุณชายรองเพียงคนเดียวเท่านั้น และแม้กระทั่ง นายท่าน ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินต่างก็ไม่สามารถส่งจ้าวจื่อซินไปทำงานอื่นได้”
คำพูดของชุ่ยเอ๋อร์ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกว่า ก่อนประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เฉินเทียนหยูจะต้องเป็คนดื้อรั้นเอาแต่ใจเป็แน่ นึกไม่ถึงว่าเขาจะพาคนคนหนึ่งกลับมาอยู่ในจวนกระทำการส่งเดชอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงกลัวใคร
“จ้าวจื่อซินตัดสินใจพลการอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านแม่ไม่ควบคุมหรือ?” ปล่อยให้คนนอกทำตามอำเภอใจในจวน ย่อมไม่มีใครสามารถรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนนอกคนนั้นยังเป็ผู้มีอายุน้อยกว่า
“เรียนฮูหยินน้อย เมื่อก่อนจ้าวจื่อซินผู้นี้อยู่ในจวนก็เป็คนเงียบๆ ก่อนที่คุณชายรองจะประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ใน่เวลาสิบวันพวกบ่าวไม่แม้กระทั่งได้ยินคำพูดของเขาเลย ทว่าหลังจากคุณชายประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณชายก็มักจะคลุ้มคลั่ง นายท่านสรรหาจอมยุทธ์พเนจรที่พูดว่าตัวเองเก่งนักเก่งหนา แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ คนผู้นั้นก็ไม่สามารถหยุดคุณชายรองได้ ถึงแม้ว่าจ้าวจื่อซินจะเป็คนที่ไม่พูดมากนักคนหนึ่ง แต่เขาก็สามารถหยุดคุณชายรองใน่เวลาวิกฤติ ทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้คุณชายรองก่อภัยพิบัติอันร้ายแรงได้ด้วย”
ด้วยสาเหตุที่ว่าจึงปล่อยให้เขาทำอะไรก็ได้ที่เขา้ากระนั้นหรือ? มู่หรงฉิงมองชุ่ยเอ๋อร์อย่างเ็าและไม่ได้พูดอะไร โดยสัญชาตญาณบอกกับนางว่าชุ่ยเอ๋อร์ยังพูดไม่หมด นางไม่เชื่อจริงๆ ว่าผู้าุโในจวนสามารถปล่อยให้บุคคลภายนอกทำอะไรก็ได้ที่้าในเรือนของเฉินเทียนหยู ถ้าเป็เฉินเทียนหยูคนเดียวคงจะพูดง่าย แต่ยามนี้เฉินเทียนหยูแต่งงานแล้ว ถ้าเื่ถูกเผยแพร่ออกไปจริงๆ มันจะไม่เป็ประเด็นให้ผู้คนได้นินทาหรือ?
“ไม่มีแล้วหรือ?”
ท่าทางของมู่หรงฉิงดูนุ่มนวลและอ่อนแอ แต่ครั้นสายตาของนางแปรเปลี่ยนเป็เ็า ชุ่ยเอ๋อร์ก็รู้สึกได้ทันทีว่าฮูหยินน้อยคนนี้มีพลังอะไรบางอย่างซึ่งอธิบายเป็คำพูดไม่ได้ เช่นเดียวกับหนอนอายุหลายร้อยปี ถึงมันจะตายแล้ว แต่มันก็ไม่แข็งกระด้าง แม้กล่าวกันว่าจะไม่เป็อันตรายถึงชีวิต แต่กระนั้นก็สามารถทำให้คนรู้สึกหวั่นกลัวในใจได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็เผยพลังที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นกลัวจากข้างในเป็ครั้งคราว ฝ่ายฮูหยินน้อยคนนี้ นางแค่แอบเหลือบสายตาลอบมองเล็กน้อยกลับััได้ถึงความรู้สึกหวั่นกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ จนต้องคุกเข่าลงโดยสัญชาตญาณ “เรียนฮูหยินน้อย อนุสองคนในแปดคนก่อนหน้านี้ถูกคุณชายรองรัดคอตายในห้องหอในคืนวันแต่งงาน ส่วนคนที่เหลือ…ถูกจ้าวจื่อซินฆ่าไปแล้ว…”
จริงหรือ? ดวงตาของมู่หรงฉิงเป็ประกาย และนางอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงสิ่งที่จ้าวจื่อซินพูดใน่สองวันที่ผ่านมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่า จ้าวจื่อซินเป็คนที่สามารถทำเื่เช่นนั้นได้ เพียงแต่ทำไมเขาถึงทำ? เขาทำเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับฮูหยินเฉินไม่สนใจหรือ?
ชุ่ยเอ๋อร์เป็คนที่เข้าได้กับทุกฝ่าย นางย่อมรู้ว่ามู่หรงฉิงกำลังคิดอะไรอยู่ จึงรีบพูดเสริมว่า “อนุหกคนเ่าั้ใกลัวคุณชายรองเมื่อเขาคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกัน และไม่รู้ว่าเป็เพราะถูกผีเข้าสิงหรืออย่างไร ถึงได้ไปยั่วจ้าวจื่อซินคนนั้น จ้าวจื่อซินไม่ชอบผู้หญิง นี่เป็เื่ที่ผู้คนในจวนต่างก็ทราบกันดี ดังนั้น...”
“ดังนั้นจ้าวจื่อซินจึงฆ่าอนุทั้งหกคน และฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรเลยกระนั้นหรือ?” หากเป็กรณีดังกล่าว มู่หรงฉิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนในครอบครัวเฉินถึงยอมให้จ้าวจื่อซินเข้าออกในเรือนม่อเหออย่างวางใจ
ผู้ชายที่ไม่ชอบผู้หญิงเข้ามาในเรือนแห่งนี้ จะสามารถคุกคามอะไรได้?
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สนใจเื่ในจวนเสมอมา เว้นแต่จะเป็เื่ร้ายแรง อนุหลายคนที่เสียชีวิต เป็คนที่ไม่รู้จักขอบเขต ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่ออกมาจัดการ ส่วนนายท่านก็ยุ่งอยู่กับการทำกิจการย่อมไม่สนใจนัก เมื่ออนุคนแรกเสียชีวิต ฮูหยินก็เรียกจ้าวจื่อซินไปพูดคุย แล้วไม่รู้ว่าฮูหยินพูดอะไรกับจ้าวจื่อซิน เื่นั้นก็ล่วงเลยผ่านไป เมื่อแต่งงานกับอนุคนที่สาม จ้าวจื่อซินมาที่เรือนม่อเหอน้อยลงมาก เขาจะมาเฉพาะวันที่จะต้องจัดการหากคุณชายรองมีอาการคลุ้มคลั่ง ส่วนเวลาที่เหลือของจ้าวจื่อซินมักอยู่ในเรือนหยางเซิง แต่สิ่งที่คิดไว้ไม่เป็อย่างที่คิดน่ะสิ หลังจากอนุคนที่สามพบจ้าวจื่อซินก็หมายที่จะไปที่เรือนหยางเซิง คืนหนึ่งอนุคนนั้นแอบวิ่งไปที่เรือนหยางเซิง แต่ถูกจ้าวจื่อซินคิดว่าเป็ขโมย เขาจึงแทงดาบเข้าที่หัวใจ...”