โจวชิงหวาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปกลางห้องอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ในแววตาไร้ร่องรอยของการสำนึกผิด ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยก็อวดดียิ่งนัก “วันนี้แค่เตือนเท่านั้น หากนางกล้ามารังแกเสี่ยวเอ๋อร์อีก ก็อย่าหาว่าข้าใช้ความรุนแรง!”
ขณะพูดประโยคสุดท้าย สายตาของเขาก็เหลือบไปมองเหอมู่หลิงอย่างดูแคลน
บรรดาศิษย์ต่างมองโจวชิงหวา ที่กำลังทำท่าหยิ่งผยองไม่สนใจผู้ใดอย่างไม่พอใจ มิใช่เพราะเขาทำให้เหอมู่หลิงหวาดกลัว หรือตั้งใจจะขู่ฆ่าคน แต่เป็เพราะเขาแสดงท่าทีจองหอง ประหนึ่งไม่เห็นควงเยวี่ยโหยวอยู่ในสายตา
ควงเยวี่ยโหลวผุดลุกขึ้น และเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายทีละก้าว เสื้อคลุมสีดำสะบัดเบาๆ คล้ายเมฆทะมึนลอยเข้ามา
“โจวชิงหวา นี่คือสำนักอิ้นเสวี่ย มิใช่สถานที่ที่คนนอกจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ และที่นี่ก็มีเพียงควงเจีย มิใช่หนีเจียเอ๋อร์ ข้าขอเตือนเ้า นับจากวันนี้ไป หากเ้าเข้ามาสอดกิจในสำนักอีก ก็อย่าหาว่าข้าโหดร้าย ที่ไล่เ้าลงจากเขา!”
ประโยคสุดท้ายที่ว่า ‘ไล่ลงจากเขา’ แทงโดนใจดำของโจวชิงหวาอย่างแรง ตอนนี้ หนีเจียเอ๋อร์ยังต้องร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ แล้วเขาจะปล่อยให้นางอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร?
โจวชิงหวาถอยกลับมาครึ่งก้าว พลางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “ขออภัยที่ข้าล้ำเส้น!”
“ท่านทำให้ศิษย์ของข้ากลัวจนตัวสั่น เช่นนั้น ก็มอบเงินปลอบขวัญให้นางสักสิบตำลึง เป็อย่างไร?”
เงินสิบตำลึงนี้ มิได้เป็เพียงค่าเสียหายที่เขาต้องชดเชยให้เหอมู่หลิง แต่ยังทำให้โจวชิงหวาตระหนักในฐานะของตัวเองด้วย
โจวชิงหวาพยักหน้า “ได้! ไม่มีปัญหา สิ่งที่ข้ามีไม่ขาดก็คือเงิน”
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกลับไปนอนได้อย่างสบาย
พอจบเื่ ควงเยวี่ยโหลวก็หันไปมองรอบๆ “เอาละ ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ!”
จากนั้น ทุกคนก็หันหลังแยกย้ายกันไป
พอกลับมาถึงห้องที่ว่างเปล่า เหอมู่หลิงก็แทบทรุดตัวลงกับพื้น ด้วยยังหวาดผวาไม่หาย
เหตุใดั้แ่หนีเจียเอ๋อร์เข้ามา ท่านอาจารย์ที่เคยตัดสินความอย่างยุติธรรมมาตลอด บัดนี้กลับเอนเอียงเข้าข้างพี่ชายของนาง?
นับแต่นั้น เหอมู่หลิงก็ยิ่งทำตัวเป็ปรปักษ์กับหนีเจียเอ๋อร์มากขึ้น เมื่อมีโอกาส ต่อให้น้อยนิดเพียงใด นางก็จะลงมือกลั่นแกล้งทันที ไม่ว่าจะเป็การยื่นเท้าไปขัดขาให้อีกฝ่ายสะดุดล้ม หรืออะไรก็ตาม ขอแค่มิได้รุนแรงถึงขั้นเอาชีวิต นางก็พร้อมจะทำทุกอย่าง ด้วยไม่อาจทนเห็นหนีเจียเอ๋อร์เป็เงาคอยหลอกหลอน ตามติดมาขัดขวางตนอยู่ร่ำไปเช่นนี้
หนีเจียเอ๋อร์ย่อมไม่ยินดีที่จะเป็เหยื่อผู้น่าสงสาร ให้ผู้คนคอยรังแก และได้แต่รอให้คนอื่นมาช่วยเหลืออยู่ตลอดเช่นกัน
ดังนั้น เมื่อถูกเหอมู่หลิงท้าแข่งลงเขาไปค้นหาดอกบัวหิมะ ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ใครเจอก่อนจะเป็ฝ่ายชนะ หญิงสาวจึงไม่คิดจะยอมแพ้
เพราะหากเหอมู่หลิงพ่ายแพ้ นางก็แค่มิได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่หวงห้าม
แต่ถ้าหนีเจียเอ๋อร์เป็ฝ่ายแพ้ กลับต้องยอมรับต่อหน้าศิษย์ทุกคนและควงเยวี่ยโหลว ว่านางเป็คนไร้ประโยชน์อย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหา
ที่นางตกลงรับคำท้า หาใช่เพราะรำคาญเหอมู่หลิง แต่เป็เพราะมองว่านี่คือโอกาสพิสูจน์ตัวเอง
คืนก่อนหน้าวันแข่งขัน เหอมู่หลิงก็ลอบออกไปข้างนอกกลางดึก และกว่าจะกลับก็ล่วงเลยมาถึงเช้าตรู่แล้ว พอถึงห้อง นางพลันรีบทำความสะอาดเนื้อตัว แล้วค่อยออกไปข้างนอกอีกครั้ง
หนีเจียเอ๋อร์มิได้บอกใครเกี่ยวกับเื่นี้ เพียงมารอยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้อย่างเงียบๆ
เหอมู่หลิงมองผ้าที่พันรอบดวงตาของหญิงสาว พลางยิ้มเยาะ “ศิษย์พี่หญิง ไปกันเถอะ!”
“ได้!” ว่าแล้ว หนีเจียเอ๋อร์ก็เดินนำไปก่อน
ตลอดทางลงจากูเาหิมะไม่มีผู้ใดปริปาก ทั้งสองต่างแยกย้ายไปค้นหาในเส้นทางของตัวเอง
แม้มองไม่เห็น แต่หนีเจียเอ๋อร์ก็มีประสาทัักลิ่นที่ว่องไวกว่าผู้อื่นมาก ในูเาหิมะแห่งนี้ คนธรรมดาย่อมยากจะแยกแยะกลิ่นใดๆ ทว่า นางกลับได้กลิ่นหอมอันลึกล้ำของดอกบัวหิมะในระยะครึ่งจั้ง
ทว่า เหอมู่หลิงไม่คิดจะแข่งขันกับอีกฝ่ายอย่างเป็ธรรม เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของนางก็คือ อยากจะกำจัดหนีเจียเอ๋อร์ไปเสียให้สิ้น!
ั้แ่ลงจากเขา เหอมู่หลิงก็ลอบติดตามหนีเจียเอ๋อร์มาตลอดทาง พอเห็นหญิงสาวเดินไปทางไหน ก็แอบก้าวตามไปเงียบๆ ในแขนเสื้อของนางยังมีดินปืนที่ถูกห่อเอาไว้เป็อย่างดี จากนั้นก็แอบหยิบมันมาโปรยไปที่ปากถ้ำ ซึ่งอีกฝ่ายเพิ่งจะเดินลับหายเข้าไป
“ตายเสียเถอะ หนีเจียเอ๋อร์!”
เหอมู่หลิงแสยะยิ้ม พลางถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วโยนไม้ขีดไฟลงบนดินปืน ประกายไฟพลันพุ่งปะทุ ก่อนะเิออกเป็วงกว้าง
ด้านหนีเจียเอ๋อร์ที่เก็บดอกบัวหิมะได้แล้ว จู่ๆ ก็ได้กลิ่นกำมะถันฉุนกึกในอากาศ ลางสังหรณ์บอกให้นางรีบวิ่งออกไปจากถ้ำทันที
บึ้ม...!
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงกึกก้องพลันดังลั่นเข้ามาในโสตประสาท พื้นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นะเือย่างหนัก หิมะที่อยู่ด้านนอกร่วงหล่นลงมาทับถมจนท่วมศีรษะ ปิดกั้นทางออกอย่างมิดชิด หญิงสาวจึงได้แต่ล่าถอยกลับไป
พอทุกอย่างสงบลง หนีเจียเอ๋อร์ก็ควานหาเส้นทาง มือของนางแตะโดนหิมะหนาเป็ชั้นๆ ตามความรู้สึก นางรู้ว่านี่เป็ปากทางเข้าถ้ำ ทว่ามันกลับถูกปิดไปเสียแล้ว
“บ้าเอ๊ย!” หนีเจียเอ๋อร์กัดฟันแน่น ขณะกระแทกกำปั้นลงกับพื้น
นางจะรอจนแข็งตายมิได้ จึงพยายามใช้มือทั้งสองข้างขุดกองน้ำแข็งทีละน้อย หากแต่ความเย็นของมันก็หนักหนาเกินไป หิมะที่ทับถมกันจนกลายเป็น้ำแข็งหนาเช่นนี้ ย่อมไม่อาจทำลายได้ด้วยกำลังของคนเพียงคนเดียว
หนีเจียเอ๋อร์จึงหยิบมีดออกมาจากแขนเสื้อ และเริ่มเซาะน้ำแข็งไปทีละน้อย นางจะต้องไม่ตายอยู่ที่นี่!
ที่ด้านนอก เหอมู่หลิงมองปากทางเข้าถ้ำ ที่ถูกน้ำแข็งทับจนปิดสนิทด้วยรอยยิ้มสาแก่ใจ ก่อนกระซิบเสียงต่ำ “หนีเจียเอ๋อร์ รอความตายอยู่ที่นี่เถอะ!”
ว่าแล้ว ก็หยิบดอกบัวหิมะที่ซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ออกมาลูบเบาๆ จนกระทั่งบ่ายคล้อย นางจึงค่อย เดินกลับไปยังสำนักอิ้นเสวี่ย
ส่วนควงเยวี่ยโหลว จู่ๆ เขาพลันผุดลุกขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่าวันนี้ต้องไปที่ห้องเรียนของศิษย์รุ่นเยาว์ เพื่อตรวจดูว่าควงเจียเรียนคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
แต่เมื่อไปถึง กลับพบว่าทุกคนมิได้ตั้งใจเรียนเลย ทั้งยังถกเถียงกันไปมา ถึงเื่ที่เหอมู่หลิงกับควงเจียแข่งกันลงเขาไปเก็บดอกบัวหิมะ
ควงเหยาซึ่งเพิ่งกลับมาจากตีนเขา ได้ยินเื่นี้เข้า จึงเริ่มมองหาหนีเจียเอ๋อร์ แต่พบว่ามีเพียงเหอมู่หลิงเท่านั้น ที่กลับมาพร้อมดอกบัวหิมะในมือ... กลิ่นของมัน ช่างลึกล้ำสดชื่นนัก!
หญิงสาวไม่คิดว่าควงเยวี่ยโหลวกับควงเหยาจะอยู่ที่นี่ด้วย หัวใจของนางไหววูบ หลุบตาลงซ่อนความตระหนกเอาไว้ แล้วค้อมคำนับ “คารวะท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่”
พอเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามนางมาอีก ควงเหยาจึงเอ่ยถามทันที “เหตุใดเ้ากลับมาคนเดียว ศิษย์พี่หญิงเล่า?”
เหอมู่หลิงก้มหน้าลง “ศิษย์พี่หญิงมิได้ออกไปค้นหาดอกบัวหิมะ นางยอมแพ้ ไม่คิดจะแข่งขันกับข้าแล้ว จึงเดินทางลงจากเขาไป ทั้งยังเอ่ยว่าจะไม่กลับมาที่สำนักอิ้นเสวี่ยอีก คงจะกลัวแพ้การเดิมพัน เลยเลือกที่จะหนีไปเ้าค่ะ”
คนอื่นๆ อาจจะเชื่อนาง แต่ควงเยวี่ยโหลวและควงเหยาไม่คิดอย่างนั้น
หนีเจียเอ๋อร์ต้องทุ่มเทฝ่าฟันเข้ามาในสำนักอิ้นเสวี่ยอย่างยากลำบาก จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด คนเช่นนี้จะหนีไปง่ายๆ เพียงเพราะกลัวพ่ายแพ้ได้อย่างไร?
ควงเยวี่ยโหลวก้าวออกมา คิดจะสอบถามเหอมู่หลิงอย่างละเอียด แต่กลับได้กลิ่นดินปืนจากตัวอีกฝ่าย เพื่อความแน่ใจเขาจึงคว้าข้อมือนางขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัด ว่าเป็กลิ่นดินะเิจริงหรือไม่
เหอมู่หลิงพลันตื่นตระหนก จนต้องชักมือหนี หน้าเปลี่ยนสีไปทันควัน
คิ้วของผู้เป็อาจารย์ขมวดมุ่น แล้วค่อยๆ คลายออก ขณะกล่าวเสียงต่ำ “เหอมู่หลิง เ้ามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น สารภาพมาเสีย ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงของเขาแ่เบา ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่กลับแฝงไว้ด้วยเจตนาข่มขู่อย่างชัดแจ้ง
ทุกคนอ้าปากค้าง ด้วยไม่เคยเห็นท่านเ้าสำนักโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน