เมื่อผู้แข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายได้ปลดม่านพลังลง สีหน้าของเอ๋าเหิ่นก็กลับมาเป็ปกติ มองฉินอวี่ด้วยสีหน้าเฉยเมย พลางพูดว่า “วีรบุรุษอายุน้อยลง แล้วจะไม่ให้ข้าแก่ขึ้นได้อย่างไร อายุยังน้อยเพียงเท่านี้สามารถตามไล่เหล่าคนหนุ่มนับพันของหยาจื้อสิบสามฝ่ายได้จนเหมือนหนูที่วิ่งเตลิดเช่นนี้ พร์เช่นนี้ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยจริงๆ”
เหล่าอัจฉริยะวัยหนุ่มของเผ่าหยาจื้อที่ออกมาจากหอคอยขัดเกลาต่างหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายมากจนแทบจะมุดหน้าลงไปในดิน
ฉินอวี่มองไปทางเอ๋าเหิ่น แต่ในใจก็ยังไม่กล้าประมาท เขาดูเป็ชายชราใจดี แต่กลับมีใจที่โหดร้าย ดูเป็คนอันตรายและร้ายกาจ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เอาเืวานราไปจากเสี่ยหยวน เมื่อมองไปยังเสี่ยหยวนที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฉินอวี่ก็ยิ้มขึ้นบางๆ และมองไปทางเอ๋าเหิ่น พลางพูดว่า “ผู้าุโกล่าวผิดไปแล้ว เป็เพราะเหล่าศิษย์อัจฉริยะผู้สูงศักดิ์รังเกียจที่จะต่อสู้กับข้าเสียมากกว่า ผู้าุโ ผู้น้อยมีเื่อยากจะขอความช่วยเหลือ ขอผู้าุโโปรดรับด้วย”
“เ้าคิดว่าเ้าเป็ตัวอะไร?” มีผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อคนหนึ่งไม่สามารถทนดูได้ ฉินอวี่พูดจามีนัยแอบแฝง ทำให้ใบหน้าของผู้แข็งแกร่งหยาจื้อสิบสามฝ่ายต่างร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ฉินอวี่เหลือบมองผู้แข็งแกร่งคนนั้น และพูดอย่างเฉยเมย “ตัวข้าไม่ใช่ตัวอะไรอย่างเ้าว่าหรอก ข้าเป็ศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง เพียงแต่ เ้าเป็ตัวอะไร? หรือว่า ข้าจะเข้าใจผิด ว่าความจริงแล้วเ้าคือผู้นำอันดับหนึ่ง?”
ในทางกลับกันพวกหยาจื้อสิบสามฝ่ายไม่มีวันปล่อยตนเองไปอย่างแน่นอน แล้วฉินอวี่จะต้องไว้หน้าพวกหยาจื้อสิบสามฝ่ายด้วยหรือ? นอกจากนี้ เมื่อมีสำนักยุทธ์ว่านจ้งอยู่ที่นี่ด้วย ฉินอวี่ก็ไม่มีทางเกรงกลัวพวกหยาจื้อสิบสามฝ่าย
ใบหน้าของผู้แข็งแกร่งต่างซีดเผือด มองดูเอ๋าเหิ่นด้วยความเกรงกลัว แต่เมื่อมองเห็นดวงตาของเอ๋าเหิ่นที่มองกลับมา ร่างกายก็ยิ่งสั่นเทา และรีบละสายตากลับมาทันที เอ๋าเหิ่นจ้องไปทางฉินอวี่อีกครั้ง และพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดว่าสหายน้อยจะมีพละกำลังที่ไม่ธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าจะปากคอเราะรายเช่นนี้ด้วย ว่ามาเถอะ หากข้าทำได้ข้าจะตกลง”
“ข้าได้ปราบอสูรร้ายที่อยู่ในหอคอยขัดเกลาของท่าน อีกทั้งเขายังได้ทำสัญญาไว้กับข้า ขอผู้าุโได้โปรดอนุญาตให้ข้าได้พาเขากลับไปยังสำนักด้วย” ฉินอวี่กล่าวอย่างสงบ
ดวงตาของเอ๋าเหิ่นหรี่ลงเล็กน้อย เหลือบมองไปยังอันดับหนึ่งที่อยู่ข้างกาย จากนั้นไม่นาน ดวงตาที่ลึกล้ำของเอ๋าเหิ่นหันไปมองเสี่ยหยวนที่อยู่ท่ามกลางผู้คน และพูดกับฉินอวี่ “นอกจากศิษย์ทรยศในสำนักแล้ว สหายน้อยก็พาไปได้ตามใจชอบเลย”
เสี่ยหยวนที่อยู่กลางผู้คนตัวสั่นขึ้นกว่าเก่า เมื่อได้ยินคำพูดของเอ๋าเหิ่น สายตาของเขาก็เผยความสิ้นหวังออกมา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขายิ่งดูน่าเกลียดมากกว่าเก่า
“ผู้าุโ เขานับเป็ศิษย์ทรยศของสำนักท่านด้วยหรือ?” ฉินอวี่ชี้ไปทางเสี่ยหยวนที่กำลังตัวสั่นและถามขึ้น
“เ้าหนุ่มน้อย เ้าคิดจะทำอะไร?”
หวังถู เลี่ยเอ๋า และผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างมองฉินอวี่อย่างสงสัย เลี่ยเอ๋าก็ถามออกไปทันทีอย่างทนไม่ไหว
ฉินอวี่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ได้แต่จ้องนิ่งไปยังเอ๋าเหิ่น
“สหายน้อย ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เต็มใจ แต่เขาเป็หนึ่งในศิษย์ทรยศจริงๆ เกรงว่าจะมีแต่ทำให้สหายน้อยต้องผิดหวัง” เอ๋าเหิ่นส่ายหน้าอย่างจนใจ ราวกับว่าเขาเต็มใจทำตามคำร้องขอของฉินอวี่
“เอ้า?” ฉินอวี่เลิกคิ้วขึ้น เผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า ใช้มือขวาชี้ไปทางอันดับหนึ่งที่อยู่ข้างเอ๋าเหิ่น และพูดขึ้น “เช่นนั้นแล้ว... ผู้าุโ เขาคือศิษย์ทรยศของสำนักด้วยหรือไม่?”
เอ๋าเหิ่นผงะ ใบหน้าของอันดับหนึ่งดุร้ายขึ้นทันที ดวงตาของผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อต่างเผยความดุร้ายออกมา ราวกับว่าสามารถฉีกฉินอวี่ได้ทั้งเป็ และสายตาของหวังถูก็ดูเหมือนจะเผยให้เห็นว่าเห็นดีเห็นงามด้วย
“พูดตามตรง ในหอคอยขัดเกลา ข้าโชคดีได้ขี่คออันดับหนึ่งในรายนามมาแล้ว ความเร็วของเขาทำให้ข้าพอใจมากเลยทีเดียว ไม่ทราบว่า ผู้าุโพอจะมอบตัวเขาให้ข้าได้หรือไม่ แล้วทำการลงนามในสัญญา?” น้ำเสียงของฉินอวี่เปลี่ยนไป และพูดอย่างเฉยเมย
ทุกคนต่างตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าคนรุ่นหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อต่างมองดูอันดับหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าหยาจื้อต่างก็ขมวดคิ้วกันขึ้นมา สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ส่วนหวังถูและเลี่ยเอ๋าต่างมีสีหน้าที่ตกตะลึง
“เ้ารนหาที่ตาย!” ดวงตาทั้งคู่ของอันดับหนึ่งคั่งไปด้วยเื ะโขึ้นด้วยความโกรธ พลังปราณทั่วทั้งร่างกระจายออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สายเืทั้งสี่ปะทุขึ้น เกิดเป็พลังอันทรงพลังและยิ่งใหญ่แพร่กระจายออกไปอย่างดุเดือด
“ปล่อยให้อยู่แต่ในสำนัก มีแต่จะทำให้เ้าสายตาสั้นขึ้นทุกวัน ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า มานี่ พาอันดับหนึ่งไปยังสนามรบปรโลก!” เอ๋าเหิ่นพูดอย่างเยือกเย็น
“ผู้นำ ข้า้าจะฆ่า...” อันดับหนึ่งยังไม่ทันพูดจบ เขาก็ถูกกลุ่มผู้แข็งแกร่งหยาจื้อพาตัวไป
เมื่ออันดับหนึ่งจากไป ใบหน้าของเอ๋าเหิ่นยังคงดูอ่อนโยน ดูเหมือนว่าเื่ก่อนหน้านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเผ่าหยาจื้อเลยแม้แต่น้อย และเขาก็ถอนหายใจออกมา “สหายน้อยมีวิธีการที่ดีเป็เลิศจริงๆ มีความปรารถนาดีจริงเชียว หากเผ่าหยาจื้อของข้ามีคนเช่นเ้าคงหมดกังวล? ช่างเถอะ เ้าพาศิษย์ทรยศนั่นไปเถอะ สหายน้อย มีเื่อะไรอีกหรือไม่?”
ฉินอวี่รู้สึกเหมือนปล่อยหมัดของตนเองลงบนปุยฝ้าย ประโยคที่พูดไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อยั่วโมโหอันดับหนึ่ง แต่เมื่อพูดออกไป นึกไม่ถึงว่าเอ๋าเหิ่นจะแก้ไขได้ง่ายดายเช่นนี้ ส่วนอันดับหนึ่งก็ถูกพาตัวไปยังสนามรบปรโลกแล้ว เช่นนี้จะได้ต่อสู้ตัดสินเป็ตายกับอันดับหนึ่งได้อย่างไร?
เพียงแต่ เป้าหมายของฉินอวี่ก็ได้บรรลุแล้ว อย่างน้อยก็สามารถหยุดพัฒนาการระดับฝึกฝนของอันดับหนึ่งเอาไว้ได้ เื่การถูกขี่ ได้กลายเป็ปมในใจของเขาไปแล้ว
เสี่ยหยวนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนตัวสั่นสะท้าน หันไปมองเอ๋าเหิ่นอย่างไม่อยากเชื่อ ดูเหมือนจะไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน ผู้นำฝ่ายอันดับหนึ่งยอมตกลงแล้วจริงหรือ? ตนเองสามารถออกไปจากเผ่าหยาจื้อได้จริงหรือ? เสี่ยหยวนตัวสั่นไปทั้งร่าง และมองไปทางฉินอวี่ด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่มีแล้วล่ะ ได้ยินมานานว่าผู้าุโโหดร้ายเหลือเกิน เ้าเล่ห์หยาบช้า แต่เมื่อเห็นในตอนนี้ คำเล่าลือเ่าั้คงไม่เป็ความจริง ผู้าุโ เช่นนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อน” ฉินอวี่ยิ้มเล็กน้อย
“ช้าก่อน เื่ของสหายน้อยเสร็จสิ้นแล้ว เช่นนั้น ตอนนี้ก็ควรถึงเวลาคุยกันเื่เผ่าหยาจื้อของข้า? หากมองจากข่าวที่ส่งต่อกันมาก่อนหน้านี้ เื่ที่อันดับที่สามและอันดับที่ห้าในอันดับศิษย์เผ่าของข้าตายไป ดูเหมือนจะตายอยู่ในมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้งของเ้า สหายน้อย เ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่าใครเป็คนสังหารพวกเขา?” เอ๋าเหิ่นพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป สายตาจับจ้องมาทางฉินอวี่
ผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์ว่านจ้งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และรู้ดีว่าเผ่าหยาจื้อได้เริ่มการกดดันแล้ว
“ผู้าุโ ข้าขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าเป็คนสังหารอันดับห้าเอง” ฉินอวี่ตอบอย่างเรียบเฉย แต่กลับรู้สึกแปลกใจ อันดับสามที่มีเขาบนศีรษะคนนั้นก็ตายแล้วหรือ? ฉินอวี่จึงเหลือบมองหยางเต้าทันที
“ข้าเป็คนสังหารอันดับสาม” หยางเต้าพูดด้วยสีหน้าปกติ ราวกับได้คาดการณ์เื่นี้เอาไว้นานแล้ว
ตอนนี้ด้านฝ่ายกระทิงและฝ่ายวานรยุทธ์ที่อยู่ด้านหลังเอ๋าเหิ่นก็ะเิพลังอันดุร้ายออกมาทันที พลังพุ่งทะยานหมู่เมฆออกไป จนพื้นที่บิดเบี้ยวและพังทลาย แสงอันดุเดือดแต่ละสายพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี่และหยางเต้าทันที
เอ๋าเหิ่นค่อยๆ ยกมือขึ้น ห้ามวานรยุทธ์เอาไว้ จากนั้นจึงมองไปทางฉินอวี่ และพูดขึ้นว่า “สหายน้อย เ้าคิดจะให้คำอธิบายกับฝ่ายวานรยุทธ์หรือไม่?”
“คำอธิบาย? ขอเรียนถามผู้นำฝ่ายอันดับหนึ่ง หากมีคน้าสังหารท่าน ท่านคิดจะอยู่เฉยโดยไม่โจมตีหรือไม่? หากพละกำลังของข้าไม่ดีพอ เกรงว่า คนที่ต้องตายคงจะเป็ข้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอผู้าุโโปรดบอกข้าหน่อยว่าควรทำเช่นไร” ฉินอวี่กล่าวอย่างสงบ
“ช่างเป็เด็กฉลาดจริงๆ” พวกเลี่ยเอ๋าต่างแอบพูดอยู่ในใจ คำพูดประโยคเดียวของฉินอวี่ปิดกั้นคำพูดของเอ๋าเหิ่นทันที
ใบหน้าของเอ๋าเหิ่นกระตุก และแอบคิดอยู่ในใจ เ้าเด็กคนนี้รับมือได้ยากกว่าที่คิด หากเป็เผ่าหยาจื้อ เขาคงจะปกป้องอย่างสุดกำลัง แต่หากเป็ศัตรู เขาต้องตายสถานเดียว!
ทันใดนั้น เอ๋าเหิ่นก็พูดขึ้น “ถึงเวลาโต้กลับ แต่คำพูดของเ้าเพียงประโยคเดียวคงไม่อาจทำให้ฝ่ายวานรยุทธ์และฝ่ายกระทิงสงบความโกรธลงได้ ข้าขอพูดอย่างไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน ตามกฎของเผ่าข้า พวกเ้าทั้งสองจะต้องรับการโจมตีของฝ่ายวานรยุทธ์และฝ่ายกระทิงให้ได้ หากยังมีชีวิตรอด เื่ทั้งหมดก็จะเข้าใจกันได้ เป็อย่างไร?”
ผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์ว่านจ้งแต่ละคนต่างมีตาลุกเป็ไฟ ได้แต่ก่นด่าความไร้ยางอายของเผ่าหยาจื้อ เด็กขั้นกุมารทิพย์คนหนึ่งต้องแบกรับการโจมตีของผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเต๋าหรือ?
ฉินอวี่เยาะเย้ยขึ้นในใจ ตาเฒ่าาุโผู้นี้ยังจะเสแสร้งเช่นนี้ต่อไปหรือ? เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเกลียดจนแทบรอไม่ไหวที่จะฉีกร่างเขาเป็ชิ้นๆ แต่ยังมาทำตัวเป็สุภาพบุรุษแสนดี ดูแล้วน่าคลื่นไส้สิ้นดี
เพียงแต่ ฉินอวี่รู้ดีว่าทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเอ๋าเหิ่นคิดเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็เพราะสัญญาไท่กู่ หากจะพูดให้ชัดเจนคือ ชีวิตของเผ่าหยาจื้ออยู่ในมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ดังนั้นจึงไม่กล้าจะทำอะไรมากเกินไปเช่นกัน ไม่เช่นนั้นตนเองคงถูกกำจัดไปนับั้แ่พูดประโยคแรกแล้ว
หลายปีมานี้ ผู้มีอำนาจทั้งสองฝ่ายต่างยับยั้งชั่งใจซึ่งกันและกัน สำนักยุทธ์ว่านจ้ง้าใช้หยาจื้อสิบสามฝ่ายปราบปรามจอมอสูร และด้วยหยาจื้อสิบสามฝ่ายอยู่ในมือของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง จึงไม่มีใครกล้าจะฉีกหน้า ผลที่ตามมาอาจจะเป็สิ่งที่ทุกฝ่ายไม่สามารถรับมือได้
“ผู้นำอันดับหนึ่ง เ้าคิดจะให้ศิษย์ขั้นกุมารทิพย์รับมือการโจมตีของผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเต๋าหรือ?” เลี่ยเอ๋าระงับความโกรธในใจเอาไว้ และพูดอย่างเ็า หากไม่ใช่เพราะ้ารักษาสถานะของตนเอง เลี่ยเอ๋าคงด่าออกไปชุดใหญ่แล้วแน่นอน
“ผู้นำอันดับหนึ่ง ผู้น้อยเห็นต่าง จริงอยู่ว่าอาจมีความเป็ความตาย แต่ท่านทำเช่นนี้ มันดูเกินไปหน่อย” หวังถูก็ไม่ทนดูอีกต่อไป และพูดขึ้นมาทันที
“เหอะๆ นี่เป็กฎของเผ่าหยาจื้อ เพียงแต่ หากพวกเ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็คงมีแต่ต้องเชิญผู้พิทักษ์ออกมาให้ความเป็ธรรมเสียแล้ว” เอ๋าเหิ่นดูเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว และพูดอย่างเฉยเมย
หวังถูและคนอื่นๆ ต่างอึดอัดกันอยู่ในใจ คิดวนเวียนไปมา และนึกถึงผลที่พวกเขากังวลใจมากที่สุด หลายปีมานี้ เพื่อการปราบปรามจอมอสูร เผ่าหยาจื้อสิบสามฝ่ายจึงต้องติดอยู่ในที่แห่งนี้มาเป็เวลานาน ตามเหตุผลแล้ว เป็เพราะติดหนี้บุญคุณหยาจื้อสิบสามฝ่าย และผู้พิทักษ์จะต้องลงโทษฉินอวี่แน่นอน เพื่อระงับความโกรธของหยาจื้อสิบสามฝ่าย
ในสัญญาไท่กู่นั้น ไม่มีการเกิดตาย โดยทั่วไปแล้วผู้กระทำผิดก่อน จะไม่ตาย แต่ต้องถูกลงโทษด้วยการเข้าไปยังเหวลึก หากจะพูดให้ดีก็เหมือนต้องไปสังหารอสูรอีกจำนวนหนึ่ง เช่นนี้แล้วการเข้าสู่แดนเหวนรกมีอะไรแตกต่างไปจากความตาย?
“ไม่จำเป็แล้วล่ะ ข้ายินดีจะเข้าไปอยู่ในเหวลึกเป็เวลาสามปี” ฉินอวี่เงยหน้าขึ้น และพูดอย่างเฉยเมย
ตามสัญญาไท่กู่แล้ว อาจจะมีคนที่สามารถรอดชีวิตออกมาจากเหวลึกได้ แต่คนที่อยู่นานถึงสามปีแล้วมีชีวิตรอดจะมีได้สักกี่คน?
เอ๋าเหิ่นซึ่งเป็ผู้แข็งแกร่งหยาจื้อ รวมถึงผู้แข็งแกร่งของสำนักยุทธ์ว่านจ้งต่างใ ไม่มีใครนึกเลยว่าฉินอวี่จะยินดีเข้าไปยังเหวลึกด้วยตนเอง
“เ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่? เ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือเหวลึกที่พูดถึง?” เลี่ยเอ๋าะโอย่างโกรธเคือง และรู้สึกเหมือนจะแอบผิดหวังกับฉินอวี่
หวังถูจ้องตรงไปทางฉินอวี่ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป ในตอนแรกเขาคิดจะให้ฉินอวี่ได้สู้กับอันดับหนึ่งสักครั้ง แต่จากวิกฤติครั้งนี้ เมื่อมองดูจากท่าทีของเอ๋าเหิ่นแล้ว หากไม่ได้จับฉินอวี่ลงไปยังเหวลึกก็คงไม่ยอมรามือเช่นกัน อีกทั้งยังจะเชิญผู้พิทักษ์เข้ามาอีก ผลที่ตามมาก็คงจะต้องทำให้ฉินอวี่ต้องลงไปอยู่ในเหวลึก แต่แล้วฉินอวี่กลับยินยอมเสียเอง ทำให้หวังถูรู้สึกทรมานจากความละอายใจยิ่งนัก
ดวงตาของเอ๋าเหิ่นเปล่งประกาย ใบหน้าที่ดูเฉยเมยต่อรอบข้างก็เริ่มเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของฉินอวี่ มันทำให้เขารู้สึกใอย่างมาก
หรือว่า เขาจะเดาออกนานแล้ว? หรือว่า... เขาจะล่วงรู้ความลับของแดนมรณะแล้ว?
ในขณะนี้ เอ๋าเหิ่นจึงมีความรู้สึกเหมือนกำลังปล่อยเสือเข้าป่า
ช้าก่อน เป็ไปไม่ได้!
แม้ว่าคนผู้นี้จะมีเพลิงมรณะแต่ก็ไม่มีทางไปถึงส่วนลึกของแดนมรณะได้ คนผู้นี้คงได้มาเพียงเศษเสี้ยวของชีพจรของพยนต์มรณะ!
ทันใดนั้น เอ๋าเหิ่นก็เยาะเย้ยขึ้นในใจ “ข้าเชื่อว่าเ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าเพลิงมรณะมีความหมายเช่นไรต่อส่วนที่เหลือของจอมอสูร”
