“พอไหว” ซูิเยว่กรอกน้ำชาลงท้อง นอกจากเื่ที่วันนี้จี๋โม่หานถามคำถามแปลกๆ แล้ว เื่อื่นก็ถือว่าราบรื่นดี
“เช่นนั้นพวกเรากลับจวนกันเลยไหมเ้าคะ?”
ซูิเยว่ครุ่นคิด ตอนนี้ยังถือว่ายังสว่างอยู่ ร้านค้าของหวังซวินเปิดแล้ว แต่นางยังไม่ได้ไปดูเลย ไม่รู้ว่าหนิงหยวนที่ได้เตรียมคนเอาไว้เป็อย่างไรบ้าง
“พวกเราไปดูพวกหวังซวินกันก่อนเถิด”
หวังซวินเปิดร้านค้าเอาไว้ในเมืองหลวงหลายสิบร้าน นอกจากธุรกิจร้านขายผ้าแล้ว ยังมีธุรกิจขายข้าว แล้วก็พวกธุรกิจโรงเตี๊ยม สรุปแล้วทุกๆ สายธุรกิจล้วนเกี่ยวข้องกัน
ร้านค้าของหวังซวินทั้งหมดล้วนเปิดกิจการแล้ว ตอนนี้คนที่จ้างมาก็คอยดูอยู่ทางนั้น ส่วนตัวเขาก็รับผิดร้านร้านน้ำชาที่ใหญ่ที่สุด
แต่ก่อนร้านน้ำชาแห่งนี้เป็ร้านที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง สามารถทานทั้งอาหารและขนมหวานได้ด้วย พวกบัณฑิตชอบมาที่นี่เป็พิเศษ
ตำแหน่งที่ร้านน้ำชาตั้งอยู่ก็ไม่เลว ร้านตั้งอยู่บนถนนฉางเล่อที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองหลวง
ซูิเยว่พาเสี่ยวอวี่เข้าไป แต่ก่อนก็เคยได้ยินมาบ้าง ส่วนเื่มาร้านนี้นั้นนางเพิ่งเคยมาเป็ครั้งแรก ร้านน้ำชามีทั้งหมดสามชั้น ดูจากด้านนอกแล้วก็ไม่เลวเลย ป้ายหน้าประตูใหญ่มีตัวหนังสือสีทองสามตัวระยิบระยับ หน้าประตูมีพนักงานสองคนยืนเฝ้าอยู่ ดูไปแล้วธุรกิจก็นับว่าไปได้สวย มีคนเดินเข้าอยู่ตลอด
ซูิเยว่เดินเข้าไป พนักงานสองคนก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองท่านมาทานอาหารหรือมาดื่มน้ำชาขอรับ?”
“ข้ามาหาหัวหน้าของพวกเ้า”
ทั้งสองคนมองตากัน “เช่นนั้นเชิญทางนี้ขอรับ”
ซูิเยว่เข้ามาในร้านน้ำชาก็เห็นหวังซวินกำลังคำนวณลูกคิดอยู่ด้านหลังโต๊ะต้อนรับ นางจึงเดินเข้าไปแล้วยกมือเคาะที่โต๊ะ “เถ้าแก่หวัง ดูแล้วธุรกิจเจริญรุ่งเรืองมากเลยนะ”
ก่อนหน้านี้ซูิเยว่ได้ตั้งชื่อให้หวังซวินว่าอาต้า แต่ว่าแซ่ก็ยังใช้แซ่เดิมของเขา
มือที่กำลังคำนวณลูกคิดของหวังซวินชะงักไป หลังจากได้สติก็เงยหน้ามองซูิเยว่ด้วยความใทันที “คุณหนู ท่านมาได้อย่างไรขอรับ”
ซูิเยว่ทำท่าทางห้ามพูด “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอยู่ข้างนอกไม่ต้องเรียกข้าว่าคุณหนู ตอนนี้เ้าเป็เถ้าแก่ใหญ่แล้วนะ”
“เอ๋ ใช่ ใช่ขอรับ” หวังซวินหัวเราะเขินอาย “นี่ก็เป็เพราะท่านเลย”
หวังซวินวางลูกคิดลงแล้วเดินออกมาจากโต๊ะ “ชั้นสองมีห้องอาหารอยู่ ข้าพาท่านไปขอรับ”
“ไม่ต้องหรอก” ซูิเยว่พิจารณาห้องโถงอยู่รอบหนึ่ง ชั้นหนึ่งคงจะเป็ที่ทานอาหาร “ข้าแค่มาดูเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเปิดกิจการได้แค่สามวัน เ้าจะดูแลได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยขนาดนี้”
“แน่นอนสิขอรับ ข้าจะให้คุณหนูขายหน้าได้อย่างไร”
เขาพูดจบก็รู้ตัวว่าตัวเองปากไวเผลอหลุดปากไปอีกแล้ว ซูิเยว่มองเขาพลางถอนหายใจอย่างจนใจ “ครั้งหน้าต้องจำเอาไว้นะ”
“ขอรับๆ ๆ”
“เช่นนั้นแล้วร้านอื่นๆ ล่ะ?”
“เื่นี้ท่านวางใจได้เลย ร้านอื่นๆ ข้าก็หาคนที่วางใจได้มาดูแลแล้ว ตอนที่ข้ามีเวลาก็จะไปดูด้วยขอรับ”
“อืม” ซูิเยว่พยักหน้า “จริงสิ หนิงหยวนล่ะ?”
ซูิเยว่ให้หนิงหยวนหาคนที่เหมาะสมแล้วส่งมาในร้านของหวังซวิน ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็อย่างไรบ้างแล้ว
หวังซวินมองซ้ายมองขวาแล้วพูดเสียงเบา “เสี่ยวหยวนอยู่ที่นี่ขอรับ เขากำลังอบรมอยู่ที่เรือนหลัง”
“อบรม?” ซูิเยว่ขมวดคิ้ว “พาข้าไปดูที”
เรือนหลังของร้านน้ำชานั้นติดกับบ้านหลังหนึ่ง ตรงกลางเป็เรือนเล็กๆ หากไม่ได้รับอนุญาตจากหวังซวินก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างปลอดภัย
ตอนที่หวังซวินพาซูิเยว่เข้ามา ภายในเรือนมีคนสวมชุดเก่าๆ ขาดๆ สูงต่ำไม่เท่ากันสิบกว่าคน แต่ดูไปแล้วล้วนเป็คนวัยรุ่นอายุสิบกว่าปี
ส่วนหนิงหยวนยืนพูดอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าคนพวกนั้น น้ำเสียงเคร่งครัด เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบหันตัวมามองทันที พอเห็นว่าเป็ซูิเยว่ถึงได้วางใจรีบแย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณหนู ท่านมาได้อย่างไรกันขอรับ?”
“ข้ามาดูน่ะ” ซูิเยว่ยิ้ม สายตามองหนิงหยวนอย่างพิจารณารอบหนึ่ง ตอนที่หนิงหยวนติดตามข้างกายนางใหม่ๆ เขาเป็เพียงเด็กตัวเล็กทั้งดำทั้งผอม ตอนนี้แค่ในเวลาสองเดือนกว่าๆ บรรยากาศบนตัวของหนิงหยวนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก เปลี่ยนมาเป็ผู้ใหญ่ที่มั่นคงและน่าเกรงขาม อีกทั้งสามารถรับผิดชอบหน้าที่เพียงคนเดียวได้แล้ว
ซูิเยว่ยกมือขึ้นมาตบบ่าหนิงหยวน “ไม่เลว ทำงานได้ดีมาก”
หนิงหยวนหัวเราะแหะๆ สองทีอย่างเขินอาย
ซูิเยว่ปรายตามองกลุ่มเด็กหนุ่มด้านหลังเขา เด็กหนุ่มพวกนั้นต่างยื่นคอมองมาทางนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่พอสบตาเข้ากับสายตาของนางก็รีบหดคอกลับไป
“พวกนี้คือคนที่เ้าหามาได้หรือ?”
“ขอรับ” หนิงหยวนพยักหน้า “ไม่เพียงแค่นี้ สองวันก่อนข้าได้ส่งพวกเขาไปที่ร้านค้าอื่นๆ เพื่อทำงานจิปาถะ อย่างไร่นี้ก็เพิ่งเปิดกิจการทำให้ค่อนข้างขาดแคลนคน ได้มาสิบกว่าคนนี้ก็ถือว่าไม่เลวนัก ข้าจึงเก็บพวกเขาเอาไว้โดยวางแผนว่าจะฝึกอบรมให้ หลังจากนี้ข้าก็จะทยอยออกไปหาคนเพิ่มขอรับ”
“ล้วนเป็คนที่ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติคนอื่นๆ ใช่หรือไม่?”
“ใช่ขอรับ” หนิงหยวนพยักหน้า
ซูิเยว่เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นที่พอเห็นนางเดินเข้ามาก็ต่างก้มหน้าลงแต่โดยดี
สายตาของซูิเยว่กวาดมองใบหน้าของพวกเขาซึ่งล้วนแล้วดูมอมแมม บางคนดูแล้วยังไม่โตกว่าหนิงหยวนด้วยซ้ำ
หนิงหยวนเองก็เดินมายืนเคียงไหล่ของนาง เสียงกลับไปเข้มงวดเหมือนเดิมแล้วพูดเสียงดัง “ท่านนี้ก็คือคุณหนูที่ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกกับพวกเ้า เป็นางที่ช่วยเหลือพวกเ้าไว้ ั้แ่วันนี้ไปก็ยึดคำสั่งของนางเป็คำเด็ดขาด”
กลุ่มเด็กหนุ่มพวกนั้นฟังจบก็พูดออกมาพร้อมเพรียงกัน “ขอรับ”
ซูิเยว่ยกมือขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ที่ข้าช่วยพวกเ้า ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เป็เพราะพวกเ้ามีความสามารถมากมายซ่อนอยู่ พวกเ้าส่วนมากล้วนนอนกลางดินกินกลางทราย หิวโหยไม่ได้กินอิ่ม แต่พวกเ้าอายุยังน้อย ข้าเองก็รู้ว่าั้แ่เด็กๆ พวกเ้าคงเจอชีวิตที่ไม่เหมือนกับคนส่วนมาก”
“พวกเ้าเองอาจจะคิดว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้ แต่พวกเ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ ในเมื่อมีมือมีเท้า พวกเ้าสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ได้ ความยากลำบากที่พวกเ้าได้เจอมา บางทีก็เป็แค่หนึ่งในบททดสอบชีวิตเท่านั้น หรือว่าพวกเ้ายินดีที่จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไปตลอดชีวิตกัน”
พวกเด็กหนุ่มต่างพากันเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างมุ่งมั่น “ข้าไม่อยาก”
ภายในชั่วพริบตาในเรือนหลังก็มีเสียงเด็กหนุ่มพูดออกมาพร้อมกันอีกว่า “พวกเราไม่อยาก”
ทุกคนเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนภายในเสี้ยววินาที ทั้งหมดต่างพากันเชิดหน้ายืนอกผายไหล่ผึ่งมองซูิเยว่ด้วยสายตามุ่งมั่นมาก
ซูิเยว่กวาดมองใบหน้าเด็กหนุ่มพวกนี้แล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก ในเมื่อพวกเ้ามีความมุ่งมั่นเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะสนับสนุนพวกเ้าให้เดินไปได้ไกลกว่านี้”