ปี 1989 ณ เมืองกำแพงเจียวหลง ประเทศฮ่องกง
เมืองนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดน่าพิศวง เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นเป็รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส อาคารสูงตั้งตระหง่านเรียงรายกันอย่างหนาแน่นเหมือนกล่องคอนกรีตอยู่ในเขตใหม่ของจิ่วหลง [1] ในฮ่องกง ขัดกับอาคารรอบๆ และสะพานลอยทันสมัยที่อยู่ห่างออกไป เมืองใหญ่แห่งนี้มีพื้นที่ไม่ถึง 3 ตารางกิโลเมตร แต่กลับมีอาคารสูงมากกว่า 500 หลังและมีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 30,000 คน อาคารที่แน่นขนัดเหล่านี้บดบังแม้กระทั่งแสงแดดที่ร้อนแรงที่สุดในฤดูร้อน ทำให้ 95% ของเมืองไม่เคยได้รับแสงสว่างของดวงอาทิตย์และตกอยู่ในความมืดมิดตลอดทั้งปี
ชื่อเสียงอันเลวร้ายของมันแพร่กระจายไปไกลถึงต่างประเทศ เพราะปัญหาทางประวัติศาสตร์ในยุคราชวงศ์ชิง ทำให้เมืองขนาดเล็กแห่งนี้กลายเป็เขตพื้นที่สีดำที่ไม่มีหน่วยงานใดของทั้งรัฐบาลปักกิ่ง รัฐบาลฮ่องกง และรัฐบาลอังกฤษสามารถปกครองควบคุมได้ มันจึงกลายเป็ ‘เขตปกครองพิเศษ’ ในท้ายที่สุด ในความมืดมิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้แอบซ่อนไว้ทั้งยาเสพติด กาสิโน สถานที่อโคจร ร้านขายเนื้อสุนัข คลินิกเถื่อน และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ อีกมากมาย นับได้ว่าเป็ศูนย์กลางการกระจาย ‘ผงขาว’ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในขณะนั้น อีกทั้งยังเป็แหล่งซุกซ่อนของแก๊งอาชญากรรมและอิทธิพลของกลุ่มมาเฟียอีกด้วย
ชย่าลิ่วอีเป็นักสู้อันดับหนึ่งในเขตเมืองกำแพงเจียวหลง มีตำแหน่งเป็ ‘หงกุ้น’ [2] ของ ‘แก๊งเซียวฉี’ ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในการใช้ดาบคู่ัเขียว
ทว่าในเขตเมืองกำแพงเจียวหลงแห่งนี้ ทักษะการต่อสู้ของชย่าลิ่วอีนั้นยังไม่ใช่อันดับหนึ่ง เพราะในเมืองกำแพงเจียวหลงมีทั้งคนดีและคนเลว ไหนจะแก๊งมาเฟียอีกหลายสิบแก๊ง แม้จะไม่ได้พูดถึงแก๊งอื่นที่อาจมียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ ชย่าลิ่วอีก็ยังเป็เพียงอันดับสองในแก๊งรองจากรองหัวหน้าสวี่อิงซึ่งเป็ลูกหลานของผู้สืบทอดวิชา ‘28 ฝ่ามือสยบั’
แต่ถ้าพูดถึงนักสู้ในเขตเมืองกำแพงเจียวหลง ตัวเขาเองนั้นยืดอกยอมรับว่าเป็อันดับสองและไม่มีใครเลยสักคนที่จะอาจหาญกล้ารับว่าตนเป็อันดับหนึ่ง
ความจริงนั้นเรียบง่าย— ในเวลาที่ต้องเสี่ยงชีวิต การพูดถึงทักษะการต่อสู้หรือวิธีการฝึกฝนว่ามาจากสำนักไหนนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือใจและมือที่โเี้ เมื่อถึงเวลานั้นต้องไม่สนใจสิ่งใดเลยแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง! นี่คือแก่นแท้ของการต่อสู้ในแก๊งมาเฟีย!
ตอนชย่าลิ่วอีอายุ 18 ปี เขาได้ต่อสู้เพียงลำพังจนเืไหลนองเต็มถนนยาวไปสามซอยด้วยดาบคู่และสังหารคนไปกว่า 40 ศพเพื่อช่วยหัวหน้าใหญ่ห่าวเฉิงชิงที่ถูกล้อมไว้ในระหว่างการปะทะของแก๊งมาเฟีย หลังจากเหตุการณ์นี้ ชาวบ้านในละแวกนั้นต้องใช้เวลาถึงสองวันสองคืนในการขูดเศษชิ้นเนื้อที่ติดอยู่ตามผนังและพื้นดินออก
แม้จะผ่านมานานกว่า 6 ปี แต่าในครั้งนั้นที่ถูกขนานนามว่า ‘วันเด็กสีดำ’ ก็ยังคงถูกกล่าวถึงในวงการมาเฟียอยู่เรื่อยๆ ฮ่องกงไม่มีการฉลอง ‘วันเด็ก’ แต่อย่างใด ทว่าในจีนแผ่นดินใหญ่ วันเด็กคือวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี และเพราะหลายคนในเขตเมืองกำแพงเจียวหลงต่างมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับชื่อเสียงของชย่าลิ่วอีก็ทำให้คำว่า ‘วันเด็กของลิ่วอี’ กลายเป็ที่รู้จักในเขตนี้ ผู้คนที่อยู่ในแก๊งมาเฟียและอันธพาลทั้งหลายต่างหวาดกลัวคำว่า ‘ลิ่วอี’ เพราะกลัวว่าจะถูกชย่าลิ่วอีเรียกไป ‘ฉลองวันเด็ก’
โชคดีที่พี่ลิ่วอีผู้ใจดำและโเี้นี้ยังคงมีความยุติธรรม เขาไม่ค่อยข่มเหงหรือใช้อำนาจในทางที่ผิด เขามีทัศนคติที่ว่า ‘ถ้าแกไม่ล้ำเส้นฉัน ฉันก็จะไม่ยุ่งกับแก’ อีกทั้งยังมีความจงรักภักดีอย่างแน่วแน่ต่อหัวหน้าใหญ่ห่าวเฉิงชิง ห่าวเฉิงชิงเป็หนึ่งในหัวหน้าใหญ่ของเขตเมืองกำแพงเจียวหลง มีลักษณะนิสัยค่อนข้างอ่อนโยนและระมัดระวังในการใช้วิธีการ [np1] ชย่าลิ่วอีจึงทำตัวเหมือนดาบที่ถูกเก็บอยู่ในฝักและแทบจะไม่เคยมีการเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่อีกเลย
พี่ลิ่วอีไม่เพียงแต่จะี้เีลงมือทำเอง ส่วนใหญ่แล้วแม้กระทั่งดาบคู่ใจเขายังี้เีสะพายเองเสียด้วยซ้ำ วันนี้เขาต้องเดินทางมายัง “บริษัทภาพยนตร์เซียวฉี” ที่เพิ่งเปิดใหม่ของแก๊งเซียวฉี ก็มีคนติดตามที่ชื่อไล่เฉวียนคอยสะพายดาบให้เขาตามมาด้วยตลอด
ไล่เฉวียนเสียพนันสองหมื่นหยวนที่บ่อนของแก๊งเซียวฉีแล้วพยายามหนีหนี้ จึงถูกพี่ลิ่วอีตามจับตัวกลับมาด้วยตัวเอง ไล่เฉวียนในตอนนี้มองเห็นชะตากรรมอันน่าสลดของตัวเองที่จะต้องตายอย่างน่าอนาถ แม้กระทั่งศพก็จะมีสภาพไม่น่าดูชม เขาจึงร้องไห้จนใบหน้าเปียกปอนไปหมดขณะเดินตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะเช็ดน้ำมูกป้องกันไม่ให้มันหยดลงบนดาบของพี่ลิ่วอี
“พี่ลิ่วอีครับ!” ลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูยืดอกขึ้น
ชย่าลิ่วอีรับบุหรี่ที่เขาส่งมา เอียงหัวเล็กน้อยเพื่อให้เขาจุดไฟให้
“พี่เสี่ยวหม่ากำลังรอคุณอยู่ข้างใน” ลูกน้องรายงานอย่างจริงจัง
ชย่าลิ่วอีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วยกคางขึ้นเป็สัญญาณ “ลากมันไปที่สตูดิโอ ดูแลให้ดีๆ”
“ครับพี่!” ลูกน้องตอบอย่างหนักแน่น แล้วหันไปเตะไล่เฉวียนหนึ่งที “มองอะไร! ไปได้แล้ว!”
“กลับมาก่อน”
“พี่ลิ่วอีมีอะไรจะสั่งอีกไหมครับ?”
“ดาบ”
ลูกน้องเตะอีกครั้ง “ยังไม่รีบคืนดาบให้พี่ลิ่วอีอีก!”
ชย่าลิ่วอีเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตู แล้วเดินนั่งลงบนโต๊ะทำงาน เขาสูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ ระหว่างรอ
ไม่นาน ‘เสี่ยวหม่า’ ลูกน้องคนสนิทของเขาซึ่งมีแผลเป็บนใบหน้าและมีผมทรงปาดเรียบเสยไปด้านหลังก็มาคุกเข่าก้มหัวเพื่อขอโทษพร้อมกับกลุ่มนักเลงที่ดูน่ากลัวอยู่บนพื้น เสี่ยวหม่ารออยู่นานแต่ยังไม่เห็นชย่าลิ่วอีพูดอะไร จึงแอบเงยหน้าขึ้นมอง
“คนที่หน้าประตูนั่น ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน” ชย่าลิ่วอีพูด
“พี่สวี่พามาเมื่อวานนี้ เขาบอกว่าฉลาด ถ้าพี่ลิ่วอีไม่ชอบพรุ่งนี้ผมจะหาข้ออ้างเปลี่ยนตัวให้!” เสี่ยวหม่าพูดด้วยท่าทางอ่อนน้อมซึ่งตรงข้ามกับรูปลักษณ์ที่ดุร้ายของเขา
“แม่งเอ๊ย สวี่อิง...” ชย่าลิ่วอีคิดในหัว ก่อนจะคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วค่อยๆ พูดออกมา “คืนนี้จองห้องพิเศษที่ร้านเหอเซียง ฉันจะนัดพี่ใหญ่ไปกินข้าว”
‘พี่ใหญ่’ ที่เขาพูดถึงคือห่าวเฉิงชิงผู้เป็หัวหน้าใหญ่ของแก๊งเซียวฉีที่ในวงการเรียกกันว่า “หัวหน้าใหญ่ชิงหลง”
“ครับ! ผมจะไปจองห้องเดี๋ยวนี้เลย!” เสี่ยวหม่าลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชย่าลิ่วอียิ้มพร้อมกับเขี่ยบุหรี่ออกไป “กลับมาก่อน”
เสี่ยวหม่าหน้าซีดลงอีกครั้งแล้วกลับไปนั่งคุกเข่าลงอย่างเดิม
ชย่าลิ่วอีเคาะปลายเท้าเบาๆ
เสี่ยวหม่าที่ใบหน้าซีดเผือดหยิบไม้ท่อนใหญ่ขึ้นมา ส่วนนักเลงที่เหลือก็ก้มหน้าคุกเข่าลง ทุกคนต่างยกก้นขึ้นสูงและใช้ฟันกัดเข้าที่แขนเสื้อของตัวเอง
ชย่าลิ่วอีค่อยๆ บี้ดับบุหรี่ เขาปลดดาบออกจากเอวแล้ววางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วรับไม้ท่อนนั่นมา
—ก่อนจะเริ่มฟาดอย่างหนักหน่วงไม่ยั้งมือ!
ป๊าบ!!! ป๊าบ!!!
เขาออกแรงเพียงครึ่งหนึ่งและฟาดเพียงไม่กี่ครั้งก็ทำให้ลูกน้องกลุ่มนั้นก้นแดงเหมือนตูดลิง กลุ่มคนร่างใหญ่เ่าั้เจ็บจนหน้าดำหน้าแดงแต่ไม่กล้าร้องออกมา ทำได้เพียงกัดเสื้อแขนไว้แน่นขณะคร่ำครวญหาพ่อแม่ในใจ เมื่อชย่าลิ่วอีรู้สึกว่าได้ตีจนพอใจแล้ว เขาก็โยนไม้ทิ้งแล้วกลับไปนั่งที่โต๊ะอีกครั้ง เสี่ยวหม่าพยายามลุกขึ้น ค่อยๆ เดินกะเผลกอย่างทุลักทุเลมาจุดบุหรี่มวนใหม่ให้เขา
“สำนึกผิดหรือยัง?” ชย่าลิ่วอีถาม
“สำนึกแล้วครับ สำนึกแล้วครับ!” เสี่ยวหม่าตอบอย่างรีบเร่ง กลุ่มชายร่างใหญ่ก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นรับคำเขา
“แล้วผิดตรงไหน?”
“อะ... เอ่อ...”
ชย่าลิ่วอีคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วหันตัวกลับไปหยิบท่อนไม้ขึ้นมาอีกครั้ง
เสี่ยวหม่ารู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดขาชย่าลิ่วอี พร้อมกับร้องออกมาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “พี่ลิ่วอี! อย่าเพิ่งฟาดอีกเลย! ถ้าฟาดอีกได้พิการแน่!”
ชย่าลิ่วอียกไม้ในมือขึ้นแล้วฟาดลงบนก้นที่บวมช้ำของเขาอย่างไม่ปรานีอีกครั้ง เสี่ยวหม่าร้องลั่นออกมาด้วยความเ็ป “อ๊าก!!!” จนกลุ่มชายร่างใหญ่ต้องหันหน้าหนีเพราะไม่สามารถทนเห็นภาพนั้นได้
“ฉันเลี้ยงพวกแกไว้ทำไมวะ ไอ้พวกขยะ?” เขาตะคอกเสียงดัง “แม่งเอ๊ย แค่จับไล่เฉวียนคนเดียวยังจับไม่ได้ ยังต้องให้ฉันลงมือเองอีกเหรอวะ?”
“พี่ลิ่วอี” เสี่ยวหม่าหน้าซีดเอามือปิดก้นของตัวเอง “ผมไม่เข้าใจ ไล่เฉวียนเป็หนี้แค่สองหมื่นหยวน ทำไมพี่ถึงต้องไล่จับตัวเขาให้เป็เื่ใหญ่ขนาดนี้...”
“แกไม่เข้าใจ!” ชย่าลิ่วอีตบหัวของเขาอย่างแรง “สมองของแกแม่งอยู่ที่ตูดหรือไงวะ! ทำไมถึงไม่เข้าใจ!”
เสี่ยวหม่านั่งยองๆ บนพื้นพร้อมกับจับหัวที่ปูดนูนของตน ทั้งเจ็บและรู้สึกไม่ยุติธรรมในคราเดียว
ชย่าลิ่วอีที่หน้าตาเคร่งขรึมกลับไปนั่งที่โต๊ะดังเดิม “รู้ใช่ไหมว่าไล่เฉวียนมีน้องสาว?”
“รู้ครับ ไล่ซานเม่ย เป็ที่รู้จักกันดีว่าเป็อีตัวสำส่อน”
“่นี้เธอทำอะไร?”
“เอ่อ... ได้ยินมาว่าเธอไปอยู่กับ ‘เฝยชี’ หัวหน้าใหญ่ของแก๊งเหอเซิ่ง”
“พี่ใหญ่้าเปิดไนต์คลับที่ถนนปอหลัน [3] ในวั่งเจี่ยว [4] ใกล้กับเขตเหย่าหม่าเต๋ย์ [5] เหย่าหม่าเต๋ย์เป็เขตของแก๊งเหอเซิ่ง แน่นอนว่าต้องมีปัญหา ตอนนี้ฉันจับไล่เฉวียนไว้แล้ว เฝยชีจะต้องโทรไปหาพี่ใหญ่ให้ปล่อยตัวพี่เขยของเขาแน่ ฉันเคารพพี่ใหญ่มาตลอด แน่นอนว่าต้องปล่อยตัวไล่เฉวียนกลับไปเพื่อรักษาน้ำใจ แต่เฝยชีเองก็จะติดหนี้บุญคุณพี่ใหญ่แล้วต้องช่วยเหลือเื่ไนต์คลับในอนาคตอย่างแน่นอน...”
“อ๋อ!!! เข้าใจแล้วครับ!” เสี่ยวหม่าร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น แสดงว่าเขาเข้าใจแล้วจริงๆ
ชย่าลิ่วอีฟาดที่ก้นของเขาอีกที “ใช้หัวหน่อย!”
“แน่นอนครับ จะตั้งใจเรียนรู้ให้เร็ว! ผมอยู่กับพี่ลิ่วอีมาสามปีแล้ว ผมเองก็พยายามพัฒนาอยู่ทุกวัน จริงๆ นะครับ!” เสี่ยวหม่าเอามือกุมก้นและรีบยกยอ
“ไปได้แล้ว!”
เสี่ยวหม่าตั้งใจลุกขึ้น คว้าไม้มาถือไว้เพื่อเตรียมตัวกลับ ทว่าพอถึงประตูเขาก็นึกอะไรได้ จึงหันกลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่ลิ่วอี ยังมีอีกเื่หนึ่ง เกี่ยวกับหนังเื่ใหม่”
่ต้นปีชย่าลิ่วอีกับไป๋จื่อซั่นชุยตงตงได้รับคำสั่งให้เปิดบริษัทภาพยนตร์ ชื่อ ‘บริษัทภาพยนตร์เซียวฉี’ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟอกเงินให้กับบริษัทแม่ ชุยตงตงรับผิดชอบการทำบัญชี ขณะที่ชย่าลิ่วอีทำหน้าที่เป็ผู้จัดการต้องดูแลการถ่ายทำภาพยนตร์หลายเื่เพื่อให้ออกมาดูดี [np2] ดังนั้นเขาจึงต้องมาที่นี่เป็ครั้งคราว ก่อนหน้านี้พวกเขาถ่ายหนังโป๊ไปไม่กี่เื่ และผลประกอบการของมันก็ดีแค่ในระดับปานกลาง ‘ชิงหลง’ จึง้าเปลี่ยนตลาดมาทำหนังแนวรักโรแมนติกหรือแนวแก๊งสเตอร์อย่างจริงจังแทน
ชย่าลิ่วอีใช้สายตาที่ชั่วร้ายจ้องมองตอบกลับไป เสี่ยวหม่าที่รู้สึกตัวจึงเริ่มสั่น “ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ใช่เื่ใหญ่เลยครับ! เรามีผู้กำกับแล้ว! พระเอกคือดาวรุ่งหลิวเสี่ยวเต๋อที่เสียพนันห้าแสนที่บ่อนของพี่สวี่ ส่วนนางเอกนั้น พี่ใหญ่บอกว่าให้ภรรยาของเขามาแสดง แต่ว่าผู้กำกับคนนี้ถนัดแต่ถ่ายหนังโป๊ ผลงานที่มี เช่น 《หั่วเยี่ยนเลี่ยหนี่ว์》 ไฟสวาท 《อู่เย่สือถัง》 ภัตตาคารยามค่ำ 《เฟิงเฉินเอ้อไหน่》 ห้องนางโลม... เขาบอกว่าต้องหาบทที่เขียนดีๆ ให้ได้ แต่... ผมไม่รู้จักนักเขียนที่เขียนบทแบบนี้ได้เลยสักคน...”
“แม่งเอ๊ย หาใครที่อ่านออกเขียนได้สักคนก็ได้! ถ้าหาไม่ได้ก็ให้แกเขียนเอง!
เสี่ยวหม่าหน้าหมองลงทันที “ผมเรียนไม่จบมัธยมครับ พี่ลิ่วอี!”
“งั้นก็ไปหาใครที่เรียนจบมัธยมมาสิ!” ว่าพลางเตะไปที่เสี่ยวหม่า
เสี่ยวหม่าร้องออกมาพร้อมกับจับก้นแล้ววิ่งออกไป แต่พอวิ่งไปได้สองก้าวก็ถูกเรียกกลับมา
ชย่าลิ่วอีก้มศีรษะสูบบุหรี่ทำท่าหยิ่งยโสเหมือนเคย เขานึกขึ้นได้พอดี “เมื่อสองปีก่อนมีนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งจุดประทัดฉลองในเขตเมืองกำแพงเจียวหลง ไปตามหาเขา”
“รับทราบครับ!”
เชิงอรรถ
[1] จิ่วหลง คือ เขตเกาลูนในฮ่องกง
[2] ตำแหน่ง ‘หงกุ้น’ นั้น ในภาษาทั่วไปหมายถึงหัวหน้าที่กำกับดูแลเื่ด้านมืดของแก๊ง ในกลุ่มอิทธิพลมืดนั้นมีตำแหน่งรองจาก ‘หัวหน้าใหญ่ และ ‘รองหัวหน้า’ และอยู่ในระดับเดียวกับ ‘ไป๋จื่อซั่น (นักบัญชี)’ และ ‘เฉ่าเสีย (ผู้ช่วย)’
[3] ถนนปอหลัน คือ Portland Street เป็ถนนสายหนึ่งในฮ่องกง
[4] วั่งเจี่ยว คือ ย่านมงก๊ก
[5] โหยวหม่าเตอะ คือ ย่านเหย่าหม่าเต๋ย์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้