เหล่าสหายร่วมชาติมักกระอักกระอ่วนที่จะคุยเื่เงินๆ ทองๆ
ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่าของอย่างเงินนี้ดี ทว่าการเริ่มพูดถึงมันก่อนออกจะทำร้ายความรู้สึกกันไปสักหน่อย
แต่หากไม่ตกลงกันให้เรียบร้อยั้แ่ตอนยังมีเงินจำนวนน้อย เมื่อจำนวนเงินเพิ่มมากขึ้น จะไม่ใช่แค่ทำร้ายความรู้สึกแล้ว เพื่อนพ้องที่ทำธุรกิจร่วมกันสามารถทะเลาะเบาะแว้งจนถึงขั้นตัดความสัมพันธ์ฉันมิตรได้เลยทีเดียว! จากอุดมการณ์เดียวกันกลายเป็แยกย้ายไปคนละทิศทาง สาเหตุเกิดจากทัศนคติที่แตกต่าง และเป็เพราะการกระจายผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกันด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานคาดหวังว่าจะครองเส้นทางสายวัสดุตกแต่งภายในนี้ก่อนใคร ธุรกิจต้องใช้เวลาหลายปีในการตลาด หากมีสักคนสองคนทำงานได้ไม่กี่เดือนก็ปล่อยมือละทิ้ง เซี่ยเสี่ยวหลานจะทำอย่างไรได้?
อย่างน้อยในระหว่างที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย ธุรกิจนี้ต้องมั่นคงหน่อยสิ!
คังเหว่ยกระแอมกระไอ “พี่สะใภ้ ธุรกิจนี้เธอเป็คนเสนอมันขึ้นมา ฉันเป็เพียงปืนกระบอกหนึ่ง เธอชี้เป้าตรงไหนฉันก็ยิงตรงนั้น ถ้าบอกว่าทุกคนออกเงินทุนเท่าๆ กัน เธอกับพี่ไป๋ควรได้ส่วนแบ่งมากกว่า เธอเป็ผู้คุมแผนธุรกิจโดยรวม ส่วนพี่ไป๋คือคนดำเนินการหน้างานจริงในเผิงเฉิงนี้ เอาแค่หน้าร้าน พี่ไป๋ก็เป็คนช่วยให้ได้มาไม่ใช่หรือ?”
คังเหว่ยเป็คนช่างเจรจาา ดังนั้นเขายืนยันยอมรับในคุณูปการของไป๋เจินจูเป็อันดับแรก
สำหรับคังเหว่ยแล้ว เขาและเซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างคุ้นเคยกันั้แ่ไหนแต่ไรเพราะความสัมพันธ์ของพวกเขากับโจวเฉิง ส่วนไป๋เจินจูนั้นเป็คนนอก
เซี่ยเสี่ยวหลานจะเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง คงเดินทางมาเผิงเฉิงบ่อยไม่ได้ ดังนั้นธุรกิจยังคงต้องได้รับการดูแลโดยไป๋เจินจู และคังเหว่ยสามารถรับประกันว่าจะมีเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ต่อเดือนที่เขาจะอยู่ในเผิงเฉิง ถ้าใช้เวลามากกว่านี้ เขาก็อย่าคิดเลยว่าจะเก็บงานประจำที่ทำไปวันๆ นั้นไว้ได้ นอกเสียจากเขาจะย้ายมายังทางใต้อย่างสมบูรณ์ ถึงกระนั้นเคยได้ยินแต่ย้ายตำแหน่งงานจากท้องถิ่นเข้าสู่ส่วนกลาง ยิ่งหากไม่ใช่การย้ายลงหน่วยงานรากฐานเพื่อฝึกฝนงานชั่วคราว มีเหตุผลในการย้ายออกนอกปักกิ่งเสียที่ไหน!
สิ่งที่คังเหว่ยคิดตรงกับความ้าของเซี่ยเสี่ยวหลานโดยไม่ได้นัดหมาย
ลงทุน 5 หมื่นเหมือนกัน จำนวนเงินเท่ากัน ทว่าการทำงานมีหนักมีเบา จะละเลยด้านไป๋เจินจูไม่ได้
และอีกอย่างหนึ่ง เซี่ยเสี่ยวหลาน้าดึงหลิวหย่งเข้าร่วมเป็หุ้นส่วนด้วย เมื่อเห็นคังเหว่ยพาเส้ากวงหรงมา เซี่ยเสี่ยวหลานก็เกิดความคิดนี้ขึ้น เส้ากวงหรงแค่ไม่มีอะไรทำจึงตามคังเหว่ยมาเล่นๆ รึ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้พูดออกมา เธอกำลังรอให้เส้ากวงหรงเอ่ยปากเอง เธอจะไม่มอบหุ้นให้เส้ากวงหรงง่ายๆ เว้นแต่เส้ากวงหรงจะสามารถอำนวยทรัพยากรให้กับธุรกิจของพวกเธอได้!
ไม่ออกเงินก็ออกแรง จะต้องเป็หนึ่งในสองอย่างนี้สิ?
ในเมื่อเส้ากวงหรงร่วมหุ้นได้ ทำไมหลิวหย่งลุงของเธอจะร่วมหุ้นไม่ได้? ก่อนหน้านี้เธออยากให้หลิวหย่งตั้งใจจดจ่อกับการรับโครงการตกแต่งภายใน รวมถึงคำนึงว่าเงินทุนในมือของลุงเธอจะเพียงพอหรือไม่ หากใช้สำหรับงานตกแต่งภายในอย่างเดียวยังไม่พอ ก็อย่ากระจายลงทุนไปทั่วเลย งานตกแต่งภายในบ้านพักรับรองคือความน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย เซี่ยเสี่ยวหลานทำความเข้าใจกับสถานการณ์บ้างแล้ว จากงานของบ้านพักรับรองนี้ หลิวหย่งสามารถทำกำไรได้อย่างน้อยหนึ่งแสนหยวน! การใช้เงินจากธนาคารสร้างกำไรนั้นรวดเร็วมาก เมื่อคว้าโอกาสหาเงินได้ครั้งหนึ่ง เส้นทางในอนาคตก็ราบรื่นแล้ว
พอมีเงินก้อนนี้ นำออกมาสักสองสามหมื่นเพื่อลงทุนในร้าน เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเป็ไปได้ ปัจจุบันธุรกิจนี้มีร้านของพวกเธอเพียงร้านเดียว และต่อไปจะสามารถขยายกิจการจนมีขนาดใหญ่เท่าไรก็ยังไม่รู้ ตลาดของวัสดุตกแต่งภายในกว้างขวางเหลือเกิน เซี่ยเสี่ยวหลานอยากจะกัดเค้กชิ้นนี้สักคำโตๆ ... ดังนั้นก็พาลุงของเธอเข้าร่วมกันเสียดีกว่า และการค้าขายในร้าน่แรกยังต้องอาศัย ‘หย่วนฮุย’ ช่วยอุดหนุน เมื่อหย่วนฮุยรับงาน ก็จำเป็ต้องมาที่ร้านเพื่อซื้อวัสดุ กระตุ้นยอดจำหน่าย ทำไมหลิวหย่งจะรับส่วนแบ่งไม่ได้?
“เธอพูดถูก พี่ไป๋ทำงานเยอะมาก อีกหน่อยคนที่จะดูแลร้านมากที่สุดก็ยังคงเป็พี่ไป๋เหมือนกัน ฉันเห็นด้วยที่พี่ไป๋จะได้รับส่วนแบ่งมากกว่า”
ตอนคังเหว่ยพูด ไป๋เจินจูแค่ฟังเงียบๆ เท่านั้น อย่างไรเสียคังเหว่ยก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ
คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจอย่างแท้จริงคือใคร ทุกคน ณ ตรงนี้ไม่ได้โง่ หากไม่มีเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่มีธุรกิจนี้ แม้ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานได้บอกแนวทางแก่พวกเขา แต่ธุรกิจนี้จะพัฒนาได้อย่างราบรื่นโดยไร้เซี่ยเสี่ยวหลานได้หรือ? ไป๋เจินจูเข้าใจถ่องแท้ยิ่งกว่าใคร แผงลอยในตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดมากมายออกปานนั้น ทำไมเธอทำเงินได้มากกว่าคนอื่น ก็เพราะว่าตอนที่เซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำเธอมาตั้งแผงในเผิงเฉิง ได้เลือกสินค้าให้เธอถูกต้องนั่นเอง!
เมื่อเดินก้าวแรกถูกต้อง หลังจากนั้นก็จะสามารถ่ชิงโอกาสสำคัญได้ทั้งหมด
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะให้เธอได้ส่วนแบ่งใหญ่เหมือนกัน ไป๋เจินจูย่อมต้องแสดงจุดยืนของตนเอง
“ฉันไม่เห็นด้วย ถ้าพวกเธอพูดแบบนี้ มันคือการบังคับให้ฉันกลับไปตั้งแผงลอยแบบเดิม เอาเป็ว่าฉันลงเงิน 5 หมื่นหยวน เยอะกว่านี้คงไม่ไหว และฉันจะไม่ถือส่วนแบ่งใหญ่ด้วย!”
ไป๋เจินจูไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก กลัวว่าตนเองจะดูแลธุรกิจนี้ได้ไม่ดี สินค้าทั้งหมดของร้านแผงลอยรวมกันมีมูลค่าเพียงไม่กี่พันหยวน ขาดทุนไปเธอก็ยังเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ หนึ่งเดือนสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ส่วนการลงทุนเริ่มต้นของร้านนี้คือหลักแสน ไป๋เจินจูยอมรับว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอในการบริหารธุรกิจให้ดี เซี่ยเสี่ยวหลานว่าอย่างไร เธอก็ปฏิบัติตาม เื่ราวมันจึงดำเนินการไปเช่นนี้
ทั้งสามคนพูดความจริงออกมาจากใจ ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงที่จะครองส่วนแบ่งใหญ่ เส้ากวงหรงฟังแล้วรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานทำธุรกิจเก่งขนาดไหน เขาเองก็เคยฟังมาจากคังเหว่ยแล้ว เมื่อตอนเดือน 9 ปีกลายยังขายไข่ไก่อยู่เลย ไข่ไก่หนึ่งใบได้กำไร 1-2 เฟิน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี เซี่ยเสี่ยวหลานพัฒนาจากการขายไข่ไก่มาจนถึงการบริหารธุรกิจมูลค่าแสนกว่าหยวนในตอนนี้ เธอไม่เพียงแต่สร้างความร่ำรวยให้ตนเองเพียงคนเดียว ยังไม่ใจแคบที่จะพาผู้คนรอบข้างสร้างความร่ำรวยไปพร้อมกันด้วย
เมื่อก่อนหลิวหย่งเป็อย่างไร เส้ากวงหรงเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้เสียหน่อย!
ชายสามคนนั่งยองสูบบุหรี่หน้า ‘หลานเฟิ่งหวง’ ที่เพิ่งเปิดกิจการคือเหตุการณ์ก่อนปีใหม่ เส้ากวงหรงก็ให้ความสำคัญต่อหลิวหย่งมากเหมือนกัน เป็เพียงชาวไร่ชาวนาจริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน คุณชายเส้าอย่างเขาจะย่อตัวลงมาจุดบุหรี่ให้หลิวหย่งได้รึ! ‘หลานเฟิ่งหวง’ คือครั้งแรกที่หลิวหย่งตกแต่งภายในอาคาร และมันก็เป็เื่เมื่อก่อนข้ามปีเช่นกัน ห่างจากตอนนี้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น... พอมองหลิวหย่งอีกทีว่าตอนนี้กำลังทำอะไร หลิวหย่งก็ได้รับโครงการมูลค่ากว่าล้านหยวนแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะถูกเซี่ยเสี่ยวหลานผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าหรอกหรือ?
คังเหว่ยเล่าว่ากรณีของไป๋เจินจูก็เป็แบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานโน้มน้าวเธอมาตั้งแผงที่เผิงเฉิง ตอนนี้กลายเป็คนที่ควักเงินหลักหมื่นเพื่อทำธุรกิจใหม่ได้ไม่ต่างกัน!
พูดถึงหญิงสาวบุตรหลานข้าราชการในปักกิ่งเ่าั้ ถ้าไม่พึ่งพาครอบครัวจัดแจงส่งเข้าหน่วยงานดีๆ ว่าด้วยความสามารถในการหาเงิน สิบคนมัดรวมกันยังเทียบเซี่ยเสี่ยวหลานคนเดียวไม่ได้เลย โจวเฉิงคือคนที่โดดเด่นที่สุดในแวดวงสังคมของพวกเขา ไม่ใช่แค่ตัวเขาเองที่สุดยอด แววตาก็แหลมคมเสียด้วย พอเลือกก็เลือกคนที่ดีที่สุด จับอะไรเป็เงินเป็ทองไปเสียหมด ยิ่งเส้ากวงหรงรู้มากขึ้น เขาก็ไม่ดื้อดึงจะขอพึ่งโจวเฉิงอีกต่อไป ตอนนี้เขาอยากติดตามเซี่ยเสี่ยวหลานเพื่อขอแบ่งน้ำแกงสักสองคำมากกว่า เมื่อได้ยินทั้งสามเจรจาเื่หุ้น เส้ากวงหรงเกิดความรู้สึกอิจฉาตาร้อนและกระตือรือร้น ในที่สุดก็ทะลึ่งแทรกขึ้นมา
“พี่สะใภ้ เธอว่าฉันสามารถร่วมหุ้นด้วยได้บ้างหรือเปล่า?”
พอสายตาของคนที่เหลือจับจ้องมายังตัวเขา เส้ากวงหรงก็รู้สึกถึงความกดดันในบัดดล “เงินทุนน่ะแม้ฉันจะลงได้ไม่เยอะ แต่ฉันหาสินค้าบางอย่างได้นะ ตอนนี้สินค้าบางอย่างยังเป็ที่้าสูงอยู่มาก ถ้าไม่เอาเงินวางตรงหน้าผู้ผลิต พวกเขาก็จะไม่ให้สินค้า... แต่ฉันทำให้พวกเขาตกลงที่จะรับสินค้าโดยเชื่อเงินไว้ก่อนได้นะ”
ทุกวันนี้ไม่ใช่โรงงานผู้ผลิตแข่งขันกันชิงตลาด แต่โรงงานผู้ผลิตต่างหากที่เป็ฝ่ายมีอำนาจต่อรอง
ปริมาณการผลิตสินค้าตามความ้าของตลาดไม่ทัน นอกจากจำเป็ต้องใช้เส้นสายเพื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าสักอย่าง ตราบใดที่เป็สินค้าอุตสาหกรรมล้วนซื้อได้ยากทั้งสิ้น
ระหว่างหน่วยงานรัฐสามารถรับสินค้าก่อนจ่ายเงินทีหลังได้ เธอติดหนี้ฉัน ฉันติดหนี้เขา ถึงเกิดหนี้สามเหลี่ยมมากมายขนาดนั้นในเวลาต่อมา หน่วยงานพี่น้องค้างชำระค่าสินค้าได้ ทว่าหากตัวแทนจำหน่ายประเภทเอกชน้าการปฏิบัติเดียวกันกับหน่วยงานรัฐ นั่นมันใกล้เคียงกับการฝันกลางวันเลยทีเดียว ถ้าไปดูหน้าโรงงานที่ผลิตพวกเครื่องซักผ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในตอนนี้ กำลังการผลิตที่น้อยนิดเสียขนาดนั้น หากไม่มีเงินสดจะรับสินค้าแทบไม่ได้ ภาพที่ตัวแทนจำหน่ายถือเงินสดขับรถบรรทุกมาต่อแถวหน้าโรงงานเป็เื่ปกติมากในยุค 80-90!
สิ่งที่เส้ากวงหรงพูดคือหนทางหนึ่งจริงๆ รับสินค้าก่อนจ่ายเงินทีหลัง ทุกคนจะไม่มีความกดดันมากเกินไป
เห็นเส้ากวงหรงอดใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “โดยหลักการฉันไม่คัดค้านการเข้าร่วมของผู้ถือหุ้นใหม่ ดังนั้นฉันก็ขอสนับสนุนคนของตัวเองด้วย เสนอให้ลุงของฉันเป็หุ้นส่วนเหมือนกัน บริษัทตกแต่งภายในของเขาจะมีประโยชน์กับการสร้างธุรกิจของพวกเราอยู่มากโข!”