ตอนที่ 112 ซื้อคน
เมื่อใกล้ได้เวลา อวิ๋นฉี่เยว่ก็เดินไปข้างกายเ้าหน้าที่ทางการที่ทำหน้าที่ขาย ยัดถุงเงินให้เงียบๆ พลางกล่าว “นายท่าน ข้าอยากซื้อคนเหล่านี้ และคนพวกนั้นด้วย”
เ้าหน้าที่ทางการผู้นั้นรับถุงเงินมาบีบดู ครั้นเห็นว่าไม่น้อยใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม สั่งให้เ้าหน้าที่คนอื่นๆ พาตัวคนที่อวิ๋นฉี่เยว่เลือกไว้มาให้ จากนั้นก็ลงมือเขียนสัญญาขายตัว ประทับตราแดงลงไป
อวิ๋นฉี่เยว่รับตัวคนเ่าั้มา แล้วไปเช่ารถม้าที่ปากทาง พาไปยังโรงเตี๊ยม ระหว่างทางบนรถม้า เด็กหนุ่มวัยสิบสามสิบสี่ปีที่ถูกซื้อตัวมามีสีหน้าตื่นเต้น พยายามเอ่ยปาก แต่ก็ถูกอวิ๋นฉี่เยว่โบกมือห้ามไว้
จนกระทั่งกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ฉี่เยว่ให้คนจัดห้องพักให้พวกเขาเรียบร้อย มอบหมายให้อากุ้ยคอยดูแล จึงได้มีโอกาสพูดคุยเป็ส่วนตัว
เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็ญาติห่างๆ ของเสนาบดีโหลว มีนามว่า โหลวจวิ้นชิง นามรอง ชิงเฟิง ทั้งสองเคยศึกษาที่สำนักเอกชนแห่งเดียวกันในเมืองหลวงและสนิทสนมกันไม่น้อย
“ชิงเฟิง ท่านลุง ท่านป้า พวกท่านลำบากแล้ว!”
ครอบครัวของโหลวจวิ้นชิงย่อมเข้าใจสถานการณ์ดี จวนย่อยยับ หัวหน้าตระกูลถูกปะาชีวิตกลางเมืองต่อหน้าผู้คน ทุกคนในตระกูลถูกขายเป็ทาสตลอดชีวิต
บุตรชายและบุตรสาวของสายหลักส่วนใหญ่ถูกศัตรูของตระกูลโหลวซื้อตัวไป อนาคตคงไม่พ้นต้องตกอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ทรมานและความอัปยศอดสู พวกเขากำลังวิตกกังวลเื่อนาคตของตนเองอยู่ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากอวิ๋นฉี่เยว่
อวิ๋นฉี่เยว่เป็สหายของบุตรชาย เคยมาเยี่ยมบ้านพวกเขาหลายครั้ง พวกเขาจึงจำได้ ตอนอยู่ที่ตลาด ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ แต่ไม่กล้าส่งเสียงเพราะเกรงว่าจะถูกคนอื่นจับได้ จนเป็การทำลายโอกาส
บัดนี้สัญญาขายตัวอยู่ในมือของอวิ๋นฉี่เยว่แล้ว ชายหนุ่มยังคงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเคารพเช่นเดิม พวกเขาจึงรู้ว่าครอบครัวของตน ก็ยังถือว่ามีความโชคดีในความโชคร้าย อย่างน้อยในภายหน้า ก็ไม่ต้องถูกทรมาน
ตึง... ตึง... ตึง...
“ขอบพระคุณคุณชายใหญ่ที่ช่วยชีวิต!”
ไม่ผิด พวกเขารอดตายแล้ว หากตกไปอยู่ในมือของศัตรูตระกูลโหลว ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง
คนในครอบครัวต่างพากันคุกเข่าคำนับอวิ๋นฉี่เยว่ เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต เพราะบัดนี้พวกเขาเป็ทาสที่ถูกขายโดยทางการ ไร้ทางหลุดพ้นจากฐานะทาสไปได้ตลอดชีวิต อวิ๋นฉี่เยว่ซื้อพวกเขามา ก็เท่ากับเป็การช่วยชีวิตพวกเขา พวกเขาจึงต้องวางตัวให้เหมาะสม แน่นอนว่า สิ่งที่พวกเขามีมากที่สุดคือความรู้สึกขอบคุณ
“ท่านลุง ท่านป้าลุกขึ้นเถิด ชิงเฟิงรีบพยุงท่านลุงท่านป้าขึ้นเร็ว!” อวิ๋นฉี่เยว่รีบเข้าไปพยุงทุกคนลุกขึ้น
โหลวจวิ้นชิงปาดน้ำตา พูดไม่ออกเพราะความตื้นตัน แต่ก็ยังคงเชื่อฟังอวิ๋นฉี่เยว่ พยุงบิดามารดาและน้องสาวลุกขึ้นยืน ครอบครัวของเขามีสมาชิกน้อยนิด มีเพียงเขาและน้องสาวคนเล็กอีกคนเท่านั้น
“สิงจือ บุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ข้าไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี...” ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็เป็เพียงบ่าว ต่อไปนี้ พวกเขาจะตั้งใจทำงานให้สุดความสามารถ ตอบแทนบุญคุณของเขา
อวิ๋นฉี่เยว่กล่าว “คราวนี้พวกเ้าต้องมาพัวพันกับเื่เช่นนี้ แล้วยังกลายเป็ทาสของทางการ ไร้ทางลบชื่อออกจากทะเบียนทาสได้ ยิ่งเื่นั้น... ข้าเกรงว่าจะมีคนสืบสาว จึงขอเก็บรักษาสัญญาขายตัวไว้แทนพวกท่านก่อน หากวันใดมีโอกาสได้รับพระราชทานอภัยโทษ ข้าจะคืนสัญญาขายตัวให้พวกเ้า ชิงเฟิง ขอให้เ้าเข้าใจข้าด้วย”
“เช่นนั้นถูกต้องแล้ว ท่านเสี่ยงอันตรายช่วยพวกข้าเช่นนี้ก็ถือว่ามีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงแล้ว ยิ่งฐานะเช่นพวกข้า ต่อให้มีสัญญาขายตัวก็ไร้ประโยชน์ คุณชายโปรดอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีก”
อวิ๋นฉี่เยว่ “ท่านลุง...”
“คุณชาย ต่อไปท่านเรียกข้าว่าลุงโหลว หรือเหล่าโหลวเฉยๆ เถิด จะอย่างไร... ก็ยังต้องคอยระวังสายตาคนอื่น”
อวิ๋นฉี่เยว่รู้สึกเศร้าใจ พยักหน้ารับ “อืม ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ลุงโหลว ป้าโหลว พวกท่านไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะให้คนไปซื้อเสื้อผ้ามาให้” กล่าวจบเขาก็ดึงโหลวจวิ้นชิงออกไป จากนั้นก็เปิดห้องให้ใหม่
เมื่ออยู่ในห้องสองคน อวิ๋นฉี่เยว่จึงหยิบตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงให้กับโหลวจวิ้นชิง
โหลวจวิ้นชิงตกตะลึง “สิงจือ... ไม่สิ คุณชาย นี่ท่าน...”
พอได้ยินโหลวจวิ้นชิงเรียกเขาว่าคุณชาย อวิ๋นฉี่เยว่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ เพียงไม่กี่เดือนก่อน ฐานะของพวกเขายังแตกต่างกันมาก
แม้ว่าครอบครัวของโหลวจวิ้นชิงจะเป็เพียงญาติห่างๆ และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังคงเป็บุตรหลานตระกูลขุนนาง ฐานะสูงส่งกว่าชาวบ้านธรรมดาเช่นเขานัก
“ชิงเฟิง เงินพวกนี้เ้ารับไป ซื้อร้านค้าแบบมีที่พักอาศัยในตัวที่เมืองเฟิ่งเสียง เปิดร้านหนังสือ จากนี้ไปพวกเ้าก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ทาสที่ข้าซื้อมา ดูเหมือนจะมีหลายคนที่เคยรับใช้ในบ้านของเ้า ก็ให้ดูแลท่านลุงกับท่านป้าต่อไป แต่ข้าต้องพาคนไปด้วยสองสามคน เ้าคงเข้าใจ ข้าต้องทำให้ดูเป็เื่เป็ราวอยู่บ้าง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โหลวจวิ้นชิงก็ร้องไห้ออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ ยากจะบรรยายเป็คำพูด ก่อนหน้านี้เขาคิดเพียงแค่จะตั้งใจทำงานช่วยเหลืออวิ๋นฉี่เยว่ แต่ตอนนี้เขาเต็มใจแม้กระทั่งเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเหลืออวิ๋นฉี่เยว่
“สิงจือ... ไม่คิดเลยว่า สุดท้ายคนที่ช่วยเหลือข้าอย่างสุดกำลังจะเป็ท่าน!”
ครอบครัวของเขาค่อนข้างลำบาก เดิมทีเขาสามารถไปเรียนที่สำนักศึกษาของตระกูลโหลวได้ แต่ไม่อยากทนเห็นสายตาเหยียดหยามของคนพวกนั้น จึงเลือกไปเรียนที่สำนักศึกษาเอกชนแทน
ในสำนักศึกษาเอกชน คนที่สนิทที่สุดกับเขาไม่ใช่อวิ๋นฉี่เยว่ แต่เป็คนอื่นๆ แม้ว่าครอบครัวของเขาจะยากจนไปบ้าง แต่จะดีจะร้ายอย่างไรก็ยังคงเป็คนของตระกูลโหลว บรรดาคนที่้ายึดเส้นสายของเสนาบดีโหลวต่างก็พากันประจบเขา
มีเพียงอวิ๋นฉี่เยว่ที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเรียบง่ายเสมอมา ตอนนี้เขาจึงเข้าใจแล้วว่า มิตรภาพที่บริสุทธิ์นั้นเป็เช่นไร
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้ม “ชิงเฟิง ข้าก็มีจุดประสงค์ของข้า ตอนที่เ้าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเอกชน เ้าไม่ได้ชอบอ่านนิยายและแต่งนิยายหรอกหรือ? ข้าว่าเ้าแต่งได้ไม่เลว ยิ่งตระกูลเ้าเป็ตระกูลปัญญาชน ลุงโหลวเองก็เคยสอบได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉมาก่อน ให้พวกเ้าช่วยข้าดูแลร้านหนังสือย่อมเหมาะสมที่สุด หากไม่ใช่พวกเ้า ข้าคงไม่วางใจ”
อวิ๋นฉี่เยว่พูดอย่างจริงใจ แต่โหลวจวิ้นชิงฟังดูแล้ว กลับรู้สึกว่าอวิ๋นฉี่เยว่กำลังปลอบใจเขา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกกดดัน จึงเลือกเปิดร้านหนังสือ
การเปิดร้านหนังสือต้องใช้เงินไม่น้อย เพราะในยุคนี้ หนังสือถือเป็ของฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่ง เงินสามหมื่นตำลึง ทำการค้าอะไรไม่ทำ ดันจะมาเปิดร้านหนังสือเสียให้ได้ แต่อวิ๋นฉี่เยว่ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจขัดความหวังดีของอวิ๋นฉี่เยว่ได้
เขาจึงกล่าวว่า “คุณชาย ท่านวางใจเถิด เื่ร้านหนังสือ ข้าจะปรึกษากับท่านพ่อให้ดี ตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็สอบเคอจวี่ไม่ได้แล้ว หันมาตั้งใจแต่งนิยาย บทละคร ก็ไม่เลวนัก”
อวิ๋นฉี่เยว่พอใจกับท่าทีของโหลวจวิ้นชิงมาก เขาสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว บวกกับความสามารถที่เขายอมรับ อีกทั้งครอบครัวฝ่ายมารดาของเขาก็ทำกิจการโรงพิมพ์ หากไม่ใช่เช่นนั้น เขาคงไม่กล้าเอาเงินสามหมื่นตำลึงออกมาเสี่ยงเช่นนี้
จากนั้นอวิ๋นฉี่เยว่ก็เล่าแิของตนเองให้โหลวจวิ้นชิงฟัง โหลวจวิ้นชิงตั้งใจจดจำทุกคำอย่างละเอียด หลังจากนั้นอวิ๋นฉี่เยว่จึงจากไป
โถงพญาอินทรีแห่งองค์กรอินทรีทมิฬคือสถานที่ทำงานของผู้บัญชาการ ขันทีใหญ่หลิวเป่า
ในตอนนี้องครักษ์อินทรีดำยืนตัวตรงอยู่กลางห้องโถง ค้อมกายประสานมือรายงานต่อหลิวเป่า “… มีเพียงอดีตขุนนางกรมโยธา หม่าจื้อหลินที่ไปดื่มร่ำลาหน้าลานปะา ส่วนตระกูลโหลว คนในตระกูลสายหลักส่วนใหญ่ถูกขุนนางในเมืองหลวงซื้อตัวไป ส่วนใหญ่เป็คนที่เคยมีเื่บาดหมางกับตระกูลโหลว”
“คนที่ข้าน้อยส่งไปเฝ้าดูรายงานว่า หลังจากญาติสายตรงของตระกูลโหลวถูกซื้อไป ต่างถูกเหยียดหยามกลางถนน พอเข้าไปในจวนก็ถูกกลั่นแกล้งดูถูกสารพัด ส่วนคนรับใช้และญาติห่างๆ ของตระกูลโหลว ส่วนใหญ่ถูกชาวบ้านและขุนนางชั้นผู้น้อยซื้อตัวไป มีเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ติดตามหม่าจื้อหลิน ได้ซื้อตัวญาติห่างๆ ของตระกูลโหลวไป และคนรับใช้อีกจำนวนหนึ่ง เขามิได้รังแกคนพวกนั้น ทั้งยังพาไปพักที่โรงเตี๊ยมอีกด้วยขอรับ”