ตอนที่ 2
“บางที อาจจะไม่ใช่แค่เธอที่อยากจูบอยู่คนเดียวก็ได้”
เมื่อได้ฟังประโยคอ้อมค้อมดังกล่าว มือที่สั่นเทาอยู่แล้วก็ยิ่งสั่นเทาเข้าไปอีก อาไฉกลอกตาล่อกแล่กไปมาอย่างมีพิรุธ คล้ายจะทำต่อก็ไม่กล้าจะหยุดก็กลัวจะเสียหน้า จากที่มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจในตอนแรก ยามนี้กลับคิดว่าถีบตัวเองให้ตกเก้าอี้ลงไปแกล้งนอนสลบที่พื้นดูจะดีเสียกว่า
อาไฉไอ้บ้า! อ้อยเข้าปากช้างถึงขนาดนี้แล้วจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปได้ยังไง รีบ ๆ รวบรวมความกล้าให้ไวแล้วก็โฉบลงไปจูบเลย ให้เขาได้รู้ถึงฤทธิ์เดชอันช่ำชองของเราซะบ้าง!!
“...”
แม้ว่าภายในใจจะบอกกับตัวเองว่าอย่างนั้น ทว่าการแสดงออกทางสีหน้ากลับเป็ไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ดวงตาสีสวยทอดมองใบหน้าหล่อเหลาสลับกับริมฝีปากบางกระจับในระยะใกล้อยู่อย่างนั้น เขมนัษฐ์ที่ยืนดูท่าอยู่นาน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงยึกยักไม่กล้าเสียทีก็ยิ้มเยาะ เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบาให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
“ถ้าไม่กล้าก็ล้มเลิกความตั้งใจแล้วไปนอนได้แล้ว”
“คุณเขมอย่าเพิ่งพูดสิ เรากำลังรวบรวมสมาธิ”
คำตอบที่ได้รับกลับมาส่งผลให้ผู้ฟังแอบหัวเราะอยู่ในใจ บอกว่ากำลังรวบรวมสมาธิแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดทั้งสีหน้ามุ่งมั่น ทำท่าทางอย่างกับกำลังทำใจก่อนจะถูกส่งไปรบก็ไม่ปาน พื้นที่รอบตัวตกอยู่ในความเงียบสงบ เงียบมากเสียจนอาไฉได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำรุนแรงอยู่ในอกจนน่ากลัวว่าจะถูกจับได้
“พี่ต้องยืนรอดูเธอรวบรวมสมาธิไปจนถึงตอนเช้าเลยหรือเปล่า?”
“คุณเขมอย่ามาเร่งเราได้ไหม”
ยิ่งถูกเย้าหยอกเรียวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นอย่างขัดใจ เอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูจะงอแงอยู่ไม่น้อย เขมนัษฐ์กระตุกยิ้มบางเบา ก่อนจะเป็ฝ่ายก้าวเท้าถอยหลังเว้นระยะห่างระหว่างกัน เป็การบ่งบอกว่าการถกเถียงกันในค่ำคืนนี้ควรจะจบลงได้แล้ว ทว่าอาไฉกลับไม่ยอมให้มันเป็อย่างนั้น
“หมดเวลาเล่นแล้วเด็ก ไปอาบน้ำปะแป้งนอนได้แล้ว---”
น้ำเสียงทุ้มต่ำถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่ออาไฉที่ยืนนิ่งเป็หุ่นในคราวแรกเริ่มได้สติ รีบเอื้อมมือไปดึงคนอายุมากกว่าให้เข้ามาใกล้อีกครั้ง วางฝ่ามือกั้นกลางระหว่างริมฝีปากแล้วโน้มใบหน้าลงไปเพื่อมอบจุมพิตให้ผ่านฝ่ามือข้างนั้นทันที พลันทุกสิ่งอย่างรอบกายหยุดชะงักไปในทันใด อาไฉหลับตาแน่น นึกอยากจะเอามือเขกกะโหลกตัวเองสักสิบทีให้หายรู้สึกอับอาย
จูบผ่านมือเหรอ เหอะ ไม่เจ๋งเลยอาไฉ!
“...”
ร่างเล็กรู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่ถูกไปหมด ไม่กล้าแม้แต่กระทั่งลืมตาขึ้นไปดูว่าคุณเขมกำลังมีสีหน้าเป็อย่างไร กำลังมองกันอยู่หรือไม่ หรือว่ากำลังยกมือขึ้นมาเตรียมจะเขกกะโหลกเขาสักทีเพื่อเรียกสติ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เริ่มหวาดระแวง รีบลืมตาขึ้นเพื่อพบกับดวงตาคู่คมที่ทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังคาดเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อาไฉเริ่มหันซ้ายหันขวาอย่างทำตัวไม่ถูก มือข้างหนึ่งยังคงปิดริมฝีปากของคู่หมั้นเอาไว้ในขณะที่มืออีกข้างยกขึ้นเกาหลังท้ายทอยแกรก ๆ ท่าทางดูทั้งประหม่าอย่างถึงที่สุด นึกสงสัยว่าพวกเขาคงไม่ได้จะอยู่อย่างนี้ไปตลอดจนถึงเช้าหรอกใช่ไหม กระแอมกระไอเสียงเบาในลำคอเพื่อตั้งท่าให้ดี ก่อนจะเอ่ยพูดออกไปอีกครั้งอย่างวางมาด
“คือเรา...เราออมมือให้หรอกนะ เรายังไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ---อ๊ะ!!”
น้ำเสียงเงียบหายไป ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทั้งยังสะดุ้งสุดตัวอย่างใ เมื่อรับรู้ได้ถึงััของฝ่ามือใหญ่ที่ค่อย ๆ ยกขึ้นโอบรอบบริเวณบั้นเอวพอดีมือแล้วจับไว้ให้มั่นคง ก่อนจะดึงเข้าไปใกล้กระทั่งอาไฉต้องรีบวางมือข้างหนึ่งไว้บนลาดไหล่กว้างเพื่อประคองตัว
“!!!”
ดวงตาคมช้อนขึ้นมองสบกันอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่คนตัวเล็กยังคงอยู่ในท่าทีใและยังทำอะไรไม่ถูก ก่อนคนอายุมากกว่าจะเริ่มหลับตาลง ใบหน้าหล่อเหลาเอียงเล็กน้อยให้ได้องศาที่ถนัด ก่อนจะขยับใบหน้าเข้าหาเล็กน้อย กระทั่งริมฝีปากร้อนัักับฝ่ามือตรงหน้าเพียงเสี้ยววินาทีแล้วจึงผละออก แม้จะเป็ััเพียงผิวเผินแต่ก็ชัดเจนมากทั้งยังติดตรึงอยู่นาน คราวนี้อาไฉเบิกตาโพลง ลนลานรีบผละตัวออกจนเสียหลักตกเก้าอี้
โครม!!
“โอ๊ย!!”
“เจ็บมากหรือเปล่า”
“มะ ไม่เจ็บ เราไม่เจ็บเลย!!”
แม้จะตกเก้าอี้จนรู้สึกเจ็บระบมก้นไปหมด แต่เมื่อเห็นว่าคุณเขมเดินเข้ามาใกล้เพื่อจะช่วยประคองกัน ทั้งใบหน้าและข้างใบหูก็พลันรู้สึกร้อนผ่าว เร่งรีบเอ่ยตอบกลับจนลิ้นแทบจะพันกัน ก่อนจะรีบลุกเดินไปยังเตียงนอนในอู่ที่มีไว้ให้เ้าของอู่นอนพักผ่อนอย่างทุลักทุเล ครั้นเมื่อปีนขึ้นเตียงได้ก็นอนขดตัว คว้าผ้าแถวนั้นมาคลุมโปงหนีกันทันที ทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ได้หนาวเลยสักนิด
“เธอยังไม่ได้อาบน้ำ”
เขมนัษฐ์เดินตามมากอดอกยืนพิงกับเสาบริเวณนั้น ทอดสายตามองร่างแน่งน้อยของคนที่ปากกล้ากว่าใจ ซึ่งตอนนี้นอนหันหลังใส่กันเสียแล้ว น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพูดไม่ดังนัก ทั้งสายตาที่ยังคงจดจ้องไปที่ร่างของคนที่ยังคงนอนขดอยู่ ได้ยินเสียงอู้อี้ดังกลับมาทันทีแทบจะวินาทีต่อวินาที
“เราตัวหอมอยู่แล้ว ไม่ต้องอาบน้ำเราก็ตัวหอมอยู่ดี”
“...”
“จะกลับบ้าน...”
“ถ้าจะกลับบ้านก็ลุกขึ้นมา จะขับรถไปส่ง”
คนที่คะยั้นคะยออยากจะเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้เสียเหลือเกินในคราวแรก เมื่อเจอเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเสียศูนย์ไปก็ร้องอยากจะกลับบ้านทันทีทั้งใบหน้าแดงก่ำ อาไฉขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นอยู่ในผ้าห่ม ก่อนจะตัดสินใจค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วดึงผ้าห่มออกจนมันไปกองอยู่บนตัก แต่ก็ยังไม่ยอมหันหลังกลับไปมองเมื่อรู้ว่าคุณเขมยังคงยืนมองกันอยู่ที่เดิม
กระนั้น ก็ยังไม่พ้นได้ยินประโยคต่อมาที่ทำเอาตัวเขาใบหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะเอาผ้าห่มคลุมโปงแล้วต่อยตัวเองให้สลบไปเสียเดี๋ยวนั้น
“พี่เห็นเธอเอาแต่บ่นว่าอยากจูบพี่อยู่ทุกวัน”
“...”
“แต่พอเอาเข้าจริง เหมือนพี่จะได้จูบกับมือเธอแทนมากกว่า”
...
อดีต
หลังจากได้พบกับผู้ชายที่ตนเองแอบนิยามเอาไว้ว่าเป็รักแรก การวิ่งมาเกาะที่ขอบรั้วโรงเรียนเพื่อเฝ้ารอว่าจะพบผู้ชายคนดังกล่าวอีกหรือไม่ก็ดูจะกลายเป็กิจวัตรประจำวันของอาไฉในวัยเด็กไปเสียแล้ว เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า กระทั่งครบสองอาทิตย์ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เห็นผู้ชายในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่พาเด็กข้ามถนนในวันนั้นอีกเลย
“อาไฉมองหาอะไรอยู่เหรอ”
“เรามองหาผู้ชายคนนั้น”
เอ่ยตอบเด็กสาวซึ่งเป็เพื่อนสนิทของตน ทั้งที่ยังคงเกาะขอบรั้วของโรงเรียนแล้วชะเง้อคอมองไปทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อมองหา ครั้นเมื่อไม่เจอกับคนที่อยู่ในใจของตนก็คอตกมองพื้นเสียจนน่าสงสาร กระทั่งคนที่มองอยู่ต้องพยายามหาวิธีปลอบให้เพื่อนรักของตนรู้สึกดีขึ้น แม้ว่าจะเป็คำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายก็ตามที
“ถ้าเขาเป็เนื้อคู่อาไฉจริง ๆ วันนี้ต้องได้เจอกันแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ต้องได้เจอ!”
ฝ่ายคนพูดไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ตนเองพูดออกไปเท่าไรนัก ในขณะที่ผู้ฟังอย่างอาไฉดันเอามันมาคิดเป็จริงเป็จังเสียอย่างนั้น เอ่ยพูดทั้งสายตาและน้ำเสียงแสนมุ่งมั่นก่อนจะวิ่งออกจากรั้วโรงเรียนไปยังรถยนต์คันหรูจากที่บ้านซึ่งมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว ยังไม่วายนั่งเอามือเกาะกระจกมองทิวทัศน์รอบนอกไปตลอดทางที่ตัวรถเคลื่อนผ่านเพื่อมองหาใครบางคนอีกต่างหาก
“อาไฉกลับมาแล้วเหรอลูก”
“...”
ทันทีที่ประตูรั้วบานใหญ่ของบ้านถูกเปิดออก อาไฉที่คอยท่าอยู่ก่อนแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็แม่ในทันที ก่อนจะชะงักไปเมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นร่างสูงของใครบางคนในชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ซึ่งกำลังซ่อมรถยนต์ที่ดูคล้ายจะมีปัญหาอย่างขะมักเขม้น พลันดวงตาสีสวยเบิกกว้างขึ้นทั้งหัวใจภายในอกที่เต้นกระหน่ำเป็จังหวะหนัก นึกสงสัยว่าผู้ชายที่ตนพยายามมองหามาตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มาโผล่อยู่ที่บ้านของตนได้อย่างไร
“นี่พี่เขมนัษฐ์ เป็ลูกชายเพื่อนของพ่อ”
“...”
“พี่เขาเพิ่งย้ายจากต่างจังหวัดมาเรียนที่นี่ แม่จะขับรถไปรับเราแต่รถดันเสียซะก่อน ดีที่เขาซ่อมรถเก่งก็เลยโทรเรียกให้มาช่วยดูหน่อย”
ประโยคแนะนำจากผู้เป็แม่ดึงความสนใจจากเด็กชายไปได้จนหมด อาไฉที่พอได้เจอคนแปลกหน้าก็จะรีบวิ่งหนีไปทันที ในวันนี้กลับยืนกำสายสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจของตัวเองไว้แน่น ทั้งดวงตากลมใสที่เอาแต่ทอดมองไปยังอีกฝ่ายที่ตั้งใจซ่อมรถจนเนื้อตัวเลอะมอมแมมอยู่อย่างนั้น
ครั้นเมื่อถูกจ้องนานเข้า คนที่ให้ความสนใจอยู่กับอะไหล่รถยนต์ในคราแรกกลับเริ่มรู้สึกตัวแล้วหันมามองสบกันในที่สุด เขมนัษฐ์ดูคล้ายจะเป็คนพูดไม่เก่ง จึงทำเพียงหันมายิ้มให้กันเท่านั้น ถึงอย่างนั้นการกระทำดังกล่าวก็ทำให้ผู้มองชะงักไปในทันที
วินาทีนั้นอาไฉคิดว่าตัวเขากำลังตกหลุมรักอีกแล้ว ด้วยการได้เห็นรอยยิ้มบาง ๆ จากอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น
“ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกลับก่อนนะครับ”
ดูคล้ายว่าตัวเขาจะเหม่อลอยนานจนเกินไปเสียหน่อย เมื่อรู้ตัวอีกทีรถที่เคยจอดนิ่งก็ถูกสตาร์ทจนติด พร้อมกับร่างของเขมนัษฐ์ที่เดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนของตน เอ่ยร่ำลาเตรียมจะกลับไปบ้านของตนเพื่อพักผ่อนเสียที อาไฉได้แต่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เริ่มเดินห่างไปไกล ก่อนจะรีบวางกระเป๋าลงพื้นแล้ววิ่งตามไปทันที
“ดะ เดี๋ยวก่อน!”
เพราะเสียงะโเรียกมาแต่ไกล ทำให้คนที่กำลังจะเดินออกไปจากอาณาเขตบ้านต้องหยุดเดินไปก่อน ชายหนุ่มในชุดมัธยมปลายหันหลังกลับมามองกัน เห็นคนตัวเล็กวิ่งกระหืดกระหอบตามมาก็ได้แต่เลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า”
อาไฉที่วิ่งมาเมื่อหยุดได้ก็เอามือจับเข่าแล้วหอบหายใจ กระทั่งจังหวะลมหายใจเริ่มเป็ปกติก็เงยหน้าขึ้นไปมองสบกัน ตัดสินใจเอ่ยโพล่งความรู้สึกของตนออกไปทันทีไร้ซึ่งความลังเลแต่อย่างใด เป็การสร้างความประทับใจแรกต่อกันได้แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด
“ชอบ”
“...”
“เราชอบคุณเขม”
คราวนี้เรียวคิ้วที่เลิกขึ้นอย่างผ่อนคลายในคราวแรกกลับเริ่มขมวดเข้าหากันทันที เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเข้มงวดและจริงจังขึ้นมาอีกหลายระดับ
“พี่ไม่ชอบเด็กประถม”
“ถ้าอย่างนั้นรอเราโตก่อนค่อยชอบก็ได้”
“...”
“อีกสามเดือนเราก็เรียนจบชั้นประถมแล้ว!”
สิ้นประโยคแสนดื้อดึงดังกล่าวก็ทำเอาเขมนัษฐ์นึกอยากจะยกมือขึ้นมากุมขมับที่เต้นตุบ ๆ อยู่หลายที...เด็กคนนี้มาชอบเขาได้อย่างไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ แล้วการเรียนจบชั้นประถมศึกษามันเรียกว่าโตแล้วได้ที่ไหนกัน
อาจจะเป็แค่ความคึกคะนองของเด็กคนหนึ่งก็เท่านั้น คำว่า 'ชอบ' ที่ว่า...ควรเชื่อได้เสียที่ไหน
...
ปัจจุบัน
หลายวันต่อมา
10.00 น.
รถกระบะคันใหญ่ถูกขับเข้ามาจอดภายในอู่รถยนต์ หลังจากส่งลูกสาวไปโรงเรียนและแวะทำธุระต่อเล็กน้อย เมื่อเปิดประตูลงจากรถมาจึงเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เมื่อเหล่าลูกน้องภายในอู่มายืนต่อแถวเรียงหน้ากระดานแล้วทำท่าคล้ายอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง กระทั่งผู้เป็นายเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน เป็ฝ่ายเอ่ยถามออกมาในที่สุด
“อะไรกัน”
“คุณไฉมานั่งรออยู่ในอู่ครับเฮีย...แล้วก็ฝากนี่มาให้ด้วย”
ดอกกุหลาบช่อใหญ่ถูกยื่นมาให้หลังพูดจบ เขมนัษฐ์หลุบสายตาลงมองของในมือ ก่อนจะโบกมือไล่ลูกน้องแล้วเดินไปที่ออฟฟิศของอู่ พอเปิดประตูเข้าไปจึงเห็นอาไฉยืนหันหลังเดินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ออฟฟิศ คล้ายกับ้าสำรวจพื้นที่แห่งนี้อย่างละเอียด แต่ที่ทำให้ผู้มองชะงักไปได้มากกว่านั้นคือชุดเสื้อสีขาวแขนยาวที่เปลือยแผ่นหลังแทบทั้งหมด ฝ่ายคนอายุน้อยกว่าที่ได้ยินเสียงเปิดประตูก็หันหน้าหลับไปมองทันที
“คุณเขมกลับมาแล้วเหรอ อ๊ะ คุณเขมไปไหนอะ อย่าหนีเรานะ!”
ทันทีที่หันไปมองสบตากันได้เพียงไม่กี่วินาที ประโยคสนทนาก็ถูกตัดไปเสียก่อนเมื่อเขมนัษฐ์ปิดประตูเดินหนีออกไปทางอื่น คราวนี้ร่างขาวใบหน้างอง้ำ รีบสับเท้าเดินตามไป เตรียมจะไปก่อากับคู่หมั้นที่กล้าปิดประตูใส่ต่อหน้าเขา ยังไม่ทันได้เดินออกไปก็เป็อันต้องชะงักไป เมื่อคนอายุมากกว่าเดินกลับเข้ามาอีกครั้งจนตัวเขาเบรกไม่ทัน หน้าจุ่มอยู่กับแผงอกกว้างโดยไม่ได้ตั้งใจ
“!!!”
“แต่งตัวให้เรียบร้อย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมกับเสื้อแขนยาวสีเข้มที่ถูกยื่นมาให้ คราวนี้อาไฉขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เงยหน้าบึ้งตึงขึ้นมองสบกันอย่างไม่ยอมความ โดยมีสายตานับหลายคู่จากเหล่าลูกน้องภายในอู่ที่คอยแอบมองอย่างลุ้นระทึกไปกับสถานการณ์ตรงหน้า เฝ้ารอว่าคู่หมั้นคู่นี้จะสรรหาเื่อะไรมาทะเลาะกันอีกในวันนี้
“เราไม่ใส่”
พูดเน้นย้ำทีละคำอย่างชัดเจน ทั้งยังไม่ยอมรับเสื้อตัวใหญ่ไปใส่คลุมเสียที บ่งบอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งในเื่นี้เป็อันขาด เขมนัษฐ์ทอดสายตามองใบหน้าดื้อดึงของคู่หมั้นตัวแสบอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม ทว่ายังคงแฝงไปด้วยความเ้าเล่ห์อยู่ในนั้น เอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เห็นเธอหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตอนนี้กลับมาฤทธิ์มาก กล้าต่อล้อต่อเถียงกับพี่เหมือนเดิมแล้วนี่”
“...”
“แล้วเื่อื่นกล้าขึ้นมาบ้างหรือยัง?”
สิ้นคำพูดดังกล่าว พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบทันที อาไฉยืนชะงักนิ่งไปแล้ว ดวงตาที่เคยมองสบกับคู่สนทนาอย่างมั่นใจและแน่วแน่เริ่มฉายแววความรู้สึกลังเลอยู่ในนั้น ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่นขึ้นเมื่อเหตุการณ์เมื่อหลายคืนก่อนที่ตนไปท้าจูบเอง ก่อนจะเสียอาการเพียงเพราะถูกริมฝีปากััที่ฝ่ามือจนเสียหลักตกเก้าอี้ ยิ่งคิดใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำด้วยทั้งความรู้สึกเขินและอับอาย
“คุณเขมเอาเสื้อมาสิ!”
เอ่ยพูดอย่างงุ่นง่านแล้งรีบคว้าเสื้อสีเข้มมาถือไว้ทันที ก่อนจะใช้มันคลุมแผ่นหลังเปลือยเปล่าของตนทั้งใบหน้ามู่ทู่ ฝ่ายเขมนัษฐ์แค่นหัวเราะเสียงเบาในลำคอให้ผู้ฟังแอบแยกเขี้ยวใส่กันอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับรถยนต์ที่ถูกซ่อมค้างไว้อีกครั้ง ฝ่ายอาไฉเมื่อพ้นสายตาคู่หมั้นได้ก็ถอดเสื้อคลุมออกทันที ทั้งที่ใส่มันได้ไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำ
“ไขควง”
ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำเสียงเบาพลางยื่นมือออกไปเพื่อรอรับของ ฝ่ายอาไฉที่เดินตามมายืนอยู่บริเวณนั้นพอดีก็อาสาทำหน้าที่เป็ผู้ช่วยนายช่างให้โดยทันที เขมนัษฐ์รับของไปโดยไม่มอง ก่อนจะชะงักไปเมื่อได้กลิ่นหอมหวานที่คุ้นเคยของใครบางคนในระยะใกล้ ครั้นเมื่อหันกลับไปมองจึงพบกับคนอายุน้อยกว่าที่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้กันอยู่
“ประแจแอล”
แต่นอกจากจะไม่ตอบสนองอะไรแล้ว ยังหันหน้าไปให้ความสนใจกับการซ่อมรถอย่างไม่ใยดี ทั้งยังใช้งานต่ออีกต่างหาก ร่างเล็กหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเก่า หันไปมองในกล่องเครื่องมือด้วยสีหน้างุนงง เมื่อไม่รู้ว่าประแจแอลมีรูปร่างหน้าตาเป็อย่างไร กระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้กับการอาสาตนเป็ผู้ช่วยเสียจนเหล่าลูกน้องคนอื่นภายในอู่ต้องแอบเดินย่องมากระซิบเสียงเบา
“อันนี้ครับคุณไฉ”
ประแจแอลถูกยื่นให้อาไฉ ก่อนเ้าตัวจะยื่นมันส่งให้กับผู้เป็เ้าของอู่อีกที เป็เหตุการณ์วนเวียนอย่างนี้อยู่นานจนอาไฉที่ให้ความสนใจกับอะไรได้ไม่นานเริ่มล้มเลิกความตั้งใจ ตัดสินใจวางอุปกรณ์ไปเดินดูรอบ ๆ อู่แทน เขมนัษฐ์ชะงักมือแล้วหันมองตามหลังของคนที่เดินอยู่
คนอายุน้อยกว่าเดินสำรวจรอบอู่ไปเรื่อย ๆ แม้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเกะกะสถานที่ทำงาน แต่ก็รู้สึกสำนึกเสียเมื่อไร ดวงตาสีสวยที่กวาดมองไปรอบ ๆ สะดุดเข้ากับตุ๊กตาหมีตัวสีขาวที่ถูกวางไว้ในอู่ นึกสงสัยว่าคนอย่างคุณเขมหรือผู้ชายคนอื่นในอู่มีใครชอบเล่นตุ๊กตาด้วยหรือไง โคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วหันไปมองอย่างอื่นต่ออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นด้วยความใ เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกจับอุ้มเหน็บที่ข้างเอวจนตัวลอยหวือโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“อ๊ะ!! คุณเขมรู้จักคำว่าอุ้มท่าเ้าสาวบ้างไหม!!”
เงยหน้าขึ้นไปตะเบ็งเสียงถามทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ภาพโรแมนติกในหัวของเขามักจะถูกทำลายลงด้วยการกระทำที่ไม่สมกับเป็คู่หมั้นกันทุกครั้งไป ฝ่ายคนอายุมากกว่าเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กพยายามดิ้นตลอดทางั้แ่กลางอู่กระทั่งเข้ามาในออฟฟิศของอู่แล้วก็ขมวดคิ้วถามกลับบ้างเช่นกัน
“เธอจะดิ้นทำไมนัก” อาไฉทำท่าจะดิ้นต่อ แต่เมื่อถูกมองหน้าก็ได้แต่อยู่นิ่ง ๆ แล้วโอบวงแขนกอดรอบเอวสอบของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตกลงไปทั้งใบหน้างอง้ำ
“อ้ะ!”
ทันทีที่เข้ามาในห้องได้ ร่างของอาไฉก็ถูกปล่อยให้ยืนบนพื้นทันที ก่อนจะถูกจับให้หันหลังให้คนอายุมากกว่าที่หย่อนกายลงนั่งบนโซฟา บริเวณบั้นเอวเล็กถูกฝ่ามือจับเอาไว้แล้วดึงเข้าไปใกล้เพื่อลดระยะห่างระหว่างกัน โบว์บริเวณเนินบั้นท้ายด้านหลังที่เริ่มหลุดรุ่ยถูกคู่หมั้นผูกใหม่ให้เรียบร้อย น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพูดแ่เบา แต่ก็ชัดเจนมากพอให้อาไฉได้ยิน
“โป๊”
“เราใส่มายั่วคุณเขมต่างหาก”
หันกลับไปเอ่ยสวนใส่ทันทีโดยไม่รู้สึกอายแต่อย่างใด ฝ่ายเขมนัษฐ์เมื่อเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกยั่วอยู่ มือที่กำลังขยับผูกโบว์ให้ก็ชะงักไปในทันที ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงเริ่มขยับอีกครั้ง นอกจากจะผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อยแล้วยังติดกระดุมที่แผ่นหลังให้อีก ปิดบังผิวเนื้อแผ่นหลังเปลือยเปล่าจนอาไฉเริ่มส่งเสียงฟึดฟัดอย่างขัดใจ เอ่ยพูดออกไปในที่สุด
“คุณเขมทำตัวไม่เหมือนเป็คู่หมั้นกันเลยสักนิด”
สิ้นคำพูดดังกล่าว คราวนี้ฝ่ายผู้ฟังกลับเริ่มนิ่งไป เงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าของคนที่ยืนหันหลังให้ตนอยู่แล้วเอ่ยถามกลับไป
“แล้วทำตัวให้สมกับเป็คู่หมั้นอย่างที่เธอว่า มันเป็ยังไง?”
อาไฉมีท่าทีครุ่นคิดอยู่สักพัก ในหัวกำลังเรียบเรียงความคิดว่าการเป็คู่หมั้นกันควรจะทำอะไรบ้างจึงจะดี หากมาลองคิดทบทวนดูให้ดีแล้ว คุณเขมทั้งหิ้วเขาไปมาเป็ตุ๊กตา เอามือยันหน้าผากเขาเวลาจะเข้าใกล้ทั้งยังคอยเอ่ยไล่กลับบ้านทุกวี่วัน คิดได้ดังนั้นก็เอ่ยพูดออกมาทันทีด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นทั้งใบหน้าถมึงทึง
“ก็เช่นััเราให้มากขึ้น” คราวนี้เขมนัษฐ์แค่นหัวเราะเสียงเบาในลำคอ
“พูดอย่างกับว่าเธอมีความกล้ามากมายนัก”
อาไฉเมื่อได้ฟังประโยคจี้จุดเข้าก็เริ่มหน้าแดงก่ำ พยายามจะผละตัวออกมาในทันที
“คุณเขมเ็าชะมัด เราจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว! ---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ ทั้งใบหน้าของคนตัวเล็กที่สื่อถึงความรู้สึกใ เมื่อยามจะผละตัวออกกลับถูกตรึงสะโพกเอาไว้ ก่อนทั้งร่างกายจะเริ่มนิ่งเกร็งไปในทันใด ยามกระดุมและโบว์ที่เขมนัษฐ์ผูกและติดให้เองกับมือ กลับเริ่มถูกปลดออกเสียอย่างนั้นด้วยฝีมือของคนคนเดียวกัน น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพึมพำแ่เบา ทำเอาอาไฉหน้าบูดทันที
“ดื้อด้าน”
“คุณเขม!”
คนอายุน้อยกว่าหันไปแหวใส่เสียงดัง พยายามผละตัวออกแต่ก็ไม่หลุดเสียที ชายหนุ่มทอดมองแผ่นหลังของคู่หมั้นตัวแสบที่ยังคงบ่นงุ้งงิ้งไม่หยุดแล้วถอนหายใจออกมาเสียงเบา กระชับสะโพกอวบเข้ามาใกล้แล้วปลดกระดุมเม็ดสุดท้ายที่ตนเคยติดให้ออก เผยผิวเนื้อบริเวณเนินสะโพกอีกครั้ง อาไฉที่ขยับไปมาในตอนแรกกลับเริ่มชะงักไปเมื่อรับรู้ได้ถึงััของเรียวนิ้วที่เฉียดผิวเนื้อบริเวณนั้นไปเพียงผิวเผิน
“ััให้มากขึ้นเหรอ...เด็กหนอเด็ก”
“เมื่อไหร่คุณเขมจะเลิกเรียกเราเป็เด็กสักที เราโตแล้วนะ---”
!!!
คำพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างกะทันหัน ทั้งที่ยังพูดไม่จบประโยค ฝ่ามือใหญ่ที่เลอะคราบน้ำมันเครื่องเล็กน้อยจับบริเวณสะโพกเอาไว้แน่น กระทั่งผิวเนื้อสีขาวสะอาดเริ่มเปรอะรอยด่างของคราบน้ำมัน ดวงตาสีสวยเบิกโพลงทั้งเสียงหัวใจภายในอกที่เต้นดังกระหน่ำเสียจนน่ากลัว
ยามรับรู้ได้ถึงััของริมฝีปากร้อนที่จรดจุมพิตลงบริเวณเนินสะโพกเหนือบั้นท้าย แช่นิ่งค้างไว้ครู่หนึ่งแล้วจึงผละออก
...ก่อนจะกดจูบลงไปที่บริเวณเดิมอีกครั้ง ฝ่ามือที่จับพันธนาการบั้นเอวเล็กอยู่ออกแรงกระชับแน่นขึ้น ปลายจมูกโด่งเกลี่ยคลอเคลีย ทิ้งััของลมหายใจอุ่นร้อนที่ติดผิวเนื้อเนินสะโพกเอาไว้อย่างชัดเจน
“...”
“ถ้าจูบที่ปากเธอไม่กล้า ก็คงต้องจูบตรงนี้แทน”
อาไฉนิ่งไปแล้ว ทันทีที่ถูกปล่อยมือให้ได้รับอิสระก็ทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นทันที ไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับไปมองหน้าคู่สนทนาของตนเลยด้วยซ้ำ...ััของฝ่ามือที่จับตรึงที่บั้นเอวยังคงชัดเจน เช่นเดียวกับััอุ่นร้อนของริมฝีปากที่ประทับลงบริเวณเนินสะโพกของตนอย่างอ้อยอิ่ง
“ดูสมกับเป็คู่หมั้นในนิยามของเธอบ้างหรือยัง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้