หลานเล่อมองจากข้างหลังทั้งกระวนกระวายทั้งโกรธ ใจไม่รู้ว่าควรพูดอะไร จึงได้แต่เอ่ยปากว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” แล้วดึงร่มคันใหญ่ไล่ตามไปโดยไม่ปริปากบ่น
หนานิเหอคุกเข่าลงข้างหนึ่งข้างกายเยี่ยนเจาเจา วางมือบนหน้าผากนางอย่างคุ้นเคย เมื่อจับชีพจรของนางต่อ ใบหน้าก็พลันไม่น่ามองขึ้นมา
หลานเล่อเพิ่งตามมาถึงก็เห็นหนานิเหอถอดชุดคลุมตัวนอกออกมาคลุมรอบตัวเยี่ยนเจาเจา ก่อนจะอุ้มนางขึ้นแล้ววิ่งพรวดออกไปทันที
ไฉนเลยหลานเล่อจะตามความเร็วของหนานิเหอทัน!
ทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ กอดร่มของตนเองตาค้างมองหนานิเหออุ้มเยี่ยนเจาเจาทะยานหายไปท่ามกลางม่านฝน
ระหว่างทางกลับ หนานิเหอพบกับปี้สี่และเฝ่ยชุ่ยที่กำลังออกไปตามหาเยี่ยนเจาเจาพอดี หญิงรับใช้ใหญ่สองคนหาคุณหนูไม่พบแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ ยามนี้เห็นหนานิเหออุ้มก้อนคล้ายคนมาก็รู้ว่าเป็คุณหนู
แต่สภาพของทั้งสองช่างน่าสังเวชมากจริงๆ ปี้สี่จึงจำต้องรับเยี่ยนเจาเจามาก่อน เมื่อเปิดชุดคลุมตัวนอกออกเผยให้เห็นร่างของนางที่เปียกโชกก็ตกตะลึง รีบตะลีตะลานกลับเรือนไป
ท่ามกลางสถานการณ์เร่งด่วน ไม่มีใครสังเกตหนานิเหอที่ตัวเย็นเยือก จนกระทั่งปี้สี่และเฝ่ยชุ่ยจิตใจสงบลงแล้วส่งคนออกตามหาอีกครั้ง ก็เห็นเด็กหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่ง ใช้มือคลำหาสร้อยลูกปัดหยกที่ตกลงบนพื้นภายใต้สายฝนกระหน่ำอย่างเงียบๆ จากระยะไกล
ปี้สี่กำลังจะเข้าไปกางร่มให้เขา เด็กหนุ่มก็หันหลังเดินจากไป ร่างสูงโปร่งราวไผ่ลำเดี่ยวเงียบเหงาเดียวดาย รอบกายไร้สิ่งใด กระทั่งความอบอุ่นยังคล้ายจะหายไปด้วย
ประตูหอร่มรื่นปิดไปแล้ว ยาใดก็ส่งไปไม่ถึง
ณ เรือนนภาคราม
เื่ที่เกิดขึ้นระหว่างเยี่ยนเจาเจากับหนานิเหอได้มีคนรายงานองค์หญิงมาสักพักแล้ว
องค์หญิงขมวดพระขนง วางถ้วยชาที่เพิ่งถือลงอย่างแ่เบา
นางไม่แสดงอารมณ์ออกมา ทว่าเมื่อถ้วยชาวางลงบนโต๊ะเสียงดังแกร๊ก ทุกคนก็รู้ว่าองค์หญิงเกิดโทสะแล้ว
“ข้าคิดว่านางโตแล้ว กลับยังทำเื่เอาแต่ใจเช่นนี้! ถ้าไม่ให้นางลิ้มรสความทรมานบ้าง นางคงไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ใช่ว่าจะได้มาจากการมุ่งมั่นแสวงหาเพียงอย่างเดียว!”
ทุกคนเดิมคิดว่าองค์หญิงคงตำหนิหนานิเหอ คาดไม่ถึงว่าคนที่องค์หญิงแย้มพระโอษฐ์ด่าจะเป็ธิดาหัวแก้วหัวแหวนผู้ล้ำค่าของตนเอง
“นางต้องรู้ด้วยว่าร่างกายนี้เป็ของนาง หากวันนี้นางป่วย ห้ามส่งน้ำตาลกรวดผลไม้เชื่อมในเรือนไปให้นาง ปล่อยนางดื่มยาพวกนั้นเสีย และเพิ่มหวงเหลียน[1] สามเท่าด้วย จะได้ดับความอารมณ์ร้อนสุมอกของนาง ลดปัญหาการไประบายโทสะท่ามกลางสายฝน!”
องค์หญิงกริ้วกับการกระทำของเยี่ยนเจาเจาจริงๆ
หนานิเหอเดิมนางไม่ได้เต็มใจจะดูแลอยู่แล้ว แต่เยี่ยนเจาเจาคือบุตรีของพระองค์ เจาเจาเพิ่งหายป่วยมาสองรอบ คราวนี้ยังทำร้ายตนเองอีก หากเป็ทหารเข้าใหม่ในกองทัพของพระองค์ พระองค์คงถีบกระเด็นออกไปแล้ว
“แล้ว...แล้วทางคุณชายิเหอ...”
ซงจื่อมองสีพระพักตร์ขององค์หญิงและเอ่ยถามคาดเดา
องค์หญิงสรวลเ็า “เขาสร้างสถานการณ์เอง เขาก็สมควรแก้ด้วยตนเอง! โตขนาดนี้แล้วยังมองบางเื่ไม่ออก ดันทุรังไปคนเดียวอยู่ได้ ให้โทษใคร โทษข้าได้ไหม?
ข้าจะยกลูกสาวสุดรักสุดหวงให้เขาแล้ว เขายังคิดว่าสวนมวลบุปหอมปฏิบัติต่อเขาไม่ดีหรือ?”
คำตรัสนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยต่อ ทั้งเรือนนภาครามเงียบกริบไปชั่วขณะ
เยี่ยนเจาเจาป่วยเข้าจริงๆ แต่แม้คราวนี้นางจะเปียกฝนก็เป็เพียงไข้หวัดเล็กน้อย พูดจาเสียงอู้อี้และจามติดกันบ่อยๆ เท่านั้น ไม่ได้มีไข้จับสั่นอะไร
ยาเพิ่มหวงเหลียนสามเท่ายื่นมาตรงหน้าเยี่ยนเจาเจา
แม่นางน้อยที่กำลังมีความคิดอัดแน่นเต็มหัว จึงไม่ได้สังเกตเห็นความว้าวุ่นบนใบหน้าปี้สี่ที่ยกยามา
จี้หยกมัจฉาคู่ที่นางโยนคืนหนานิเหอก่อนหน้านี้ ไม่รู้เหตุใดถึงได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดนางอีก แล้วนางก็ไม่อยากคิดด้วยว่าตนกลับมาที่เรือนได้อย่างไร ในใจยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่
เพียงแต่นางโกรธหนนี้คร้านจะไปดูเขาแล้ว หนานิเหอเป็หรือตายก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป!
เยี่ยนเจาเจากลุ้มอยู่ในอกจนเผลอกัดฟันกรอดๆ ราวกับอยากจะกัดหนานิเหอให้ตายในคำเดียว นางยื่นมือไปรับยามาดื่มพลางครุ่นคิด ต่อไปใครคิดถึงหนานิเหอ คนนั้นเป็สุนัข...ถุย!
แม้แต่เยี่ยนเจาเจาผู้ชินชากับความขมยังคาดไม่ถึงว่ายาวันนี้จะขมขนาดนี้
ยานั้นเพียงเข้าปากก็ขมจนแทบลืมเื่หนักอกหนักใจไปจนสิ้น รสขมฉุนพุ่งจากต่อมรับรสที่ปลายลิ้นขึ้นสมองทำให้นางตัวแข็งค้าง
ใบหน้าสวยงามละเอียดลออของเยี่ยนเจาเจายับย่นเข้าหากัน ให้ดื่มยานี้แค่อึกเดียวนางก็ดื่มไม่ลง นางจึงวางมันไว้ข้างๆ พลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่มันยาอะไรกัน? ไยขมเพียงนี้!”
ปี้สี่พูดได้หรือไม่ว่ายานี้องค์หญิงนายเหนือหัวของตนกำชับมาเป็พิเศษ?
แน่นอนว่าไม่ได้!
ปี้สี่เลยทำได้เพียงแก้ตัวไปเรื่อย โชคดีที่เยี่ยนเจาเจาไม่เข้าใจหลักการแพทย์ จึงจำใจบีบจมูกฝืนกรอกยาถ้วยนี้ลงไป
หลังจากดื่มยาถ้วยนี้ ใจของเยี่ยนเจาเจาพลันสงบลงจริงๆ ไม่รู้ว่าหวงเหลียนสามเท่ามีสรรพคุณพิเศษใดหรือเปล่า…มามองย้อนกลับไปตอนนี้นางถึงรู้สึกว่าตนเองช่างงี่เง่าไร้เหตุผลและลืมตัวจริงๆ
โกรธเด็กอย่างหนานิเหอเนี่ยนะ!
เยี่ยนเจาเจานับดูแล้วก็พบว่าตนมีอายุเยอะกว่าหนานิเหอในตอนนี้อยู่มาก นางทะเลาะกับเด็กคนหนึ่ง ช่างไร้สาระอย่างยิ่ง
พอร้องไห้เป็บ้าเป็หลังไปแล้ว เยี่ยนเจาเจาก็รู้สึกว่าใจตนไม่ได้โกรธจัดขนาดนั้นอีก ทุกอย่างจะผ่านพ้นเพียงนอนหลับ แค่สูญเสียพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ แม้นเ็ปจากความอึดอัดคับข้องใจแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้
ยาออกฤทธิ์แล้ว เยี่ยนเจาเจาเริ่มรู้สึกง่วงนอนสะลึมสะลือ อย่างไรเสียยามนี้ฝนข้างนอกยังคงตกอยู่ และนางก็ไม่มีอะไรทำ มิสู้เรียนรู้จากคนงามเ่าั้ทำตัวเป็ไห่ถังนอนไม่พอ[2] สักครั้ง
เยี่ยนเจาเจาเข้านอนแล้ว เสี่ยวชุ่ยก็จุดธูปหอม ก่อนจะเย็บพื้นรองเท้าผ้าบนเบาะนุ่มตรงปลายเท้าเพื่อคอยเฝ้านาง
ทั้งห้องเงียบสงัดลง
แต่ไม่รู้เหตุใดปี้สี่และเฝ่ยชุ่ยจึงถูกเรียกออกไปอีก คนในเรือนของเยี่ยนเจาเจายามนี้จึงมีไม่มากนัก ยิ่งไม่มีคนสนิทดั้งเดิม กอปรกับหญิงรับใช้ใหญ่ไม่อยู่ เลยจำต้องให้หงซิ่วกับไฉ่หลวนซึ่งเป็สาวใช้ขั้นสองมานั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูแทน
ยามนี้เยี่ยนเจาเจานอนหลับสนิท หงซิ่วกับไฉ่หลวนที่อยู่ข้างนอกไม่มีอะไรทำจึงกระซิบคุยเล่นกัน จนกระทั่งมีแขกไม่ได้รับเชิญมาสองคน
สองคนนั้นคือหญิงรับใช้ข้างกายของเยี่ยนฟางชิงและเยี่ยนฟางเยว่จากบ้านใหญ่ ปกติไม่ค่อยได้พบบ่อยนัก หงซิ่วเห็นเลยรู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
ทว่าไฉ่หลวนกับซูเอ๋อร์ที่เป็สาวใช้ข้างกายเยี่ยนฟางเยว่ไม่กินเส้นกันเล็กน้อย พอเห็นนางมาในชุดเสื้ออ๋าว[3] ไร้แขนกลางเก่ากลางใหม่ ดูยากจนคร่ำครึอย่างยิ่ง หางจิ้งจอก[4] ของตนก็เริ่มงอกขึ้นมา
“อ้าว ข้าก็ว่าใครกัน? ไม่ใช่ซูเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายคุณหนูสามหรอกหรือ ตอนอยู่ในเรือนออกจะหยิ่งผยองแท้ๆ กะอีแค่อาภรณ์ใหม่ไยยังใส่ไม่ได้เล่า? ”
ไฉ่หลวนเชิดหน้าแทบหงาย ส่งสายตามองเหยียดหยาม
ซึ่งความจริงอาภรณ์บนร่างไฉ่หลวนเองก็ไม่ได้ดูใหม่เอี่ยมขนาดนั้น แต่เนื้อผ้าดีกว่าของซุนเอ๋อร์มากจริงๆ
“เ้าลดเสียงลงหน่อย หากเสียงดังจนปลุกคุณหนูตื่นขึ้นมา เ้าจะแย่เอา!”
หงซิ่วไม่ชอบยุ่งเื่พวกนี้ นางเป็เด็กสาวจริงใจไม่มีพิษมีภัย ทำงานตามแบบแผนจนค่อนข้างซื่อบื้อ เมื่อเห็นไฉ่หลวนอวดตนเช่นนั้นเลยขมวดคิ้วตักเตือนออกไปโดยไม่รู้ตัว
ไฉ่หลวนไม่สนใจหงซิ่ว หลังร้องเหอะเสียงแ่เบาก็เดินวนรอบซูเอ๋อร์
ใบหน้าซูเอ๋อร์พลันแดงก่ำ ทำเพียงก้มหน้านิ่งไม่เอ่ยคำใด
กลับเป็สาวใช้อีกคนที่ดูผ่อนคลายกว่า แม้จะโกรธไฉ่หลวนมากเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ต่อปากต่อคำ ทำเพียงยื่นกล่องไม้ใบเล็กในมือส่งให้แล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนูของข้าส่งพวกเรามามอบของให้ คุณหนูได้ยินว่าคุณหนูห้าป่วย แม้ใจจะกระวนกระวายแต่ไม่สะดวกมาเอง จำต้องส่งสิ่งนี้มาแสดงน้ำใจเล็กน้อยแทน”
ไฉ่หลวนยังคงพูดฉีกหน้าคนอื่นต่อ จนกระทั่งสาวใช้บ้านใหญ่สองคนจากไปแล้ว นางก็อุ้มกล่องไม้ใบเล็กเดินเข้าห้องส่วนตัวของเยี่ยนเจาเจาอย่างภาคภูมิใจ
“เ้าบ้าไปแล้วหรือ!” หงซิ่วกระชากแขนไฉ่หลวน คิ้วขมวดแน่นเป็ปม “พวกเราเป็แค่สาวใช้ขั้นสอง หากคุณหนูไม่เรียกก็ห้ามเดินเข้าออกตามอำเภอใจ ไยเ้าขวัญกล้าเพียงนี้!”
ไฉ่หลวนกลอกตามองนาง ก่อนจะด่าออกมาว่า “เ้าจะรู้อะไร ยามนี้ตำแหน่งหญิงรับใช้ใหญ่ว่างอยู่พอดี ใครบ้างไม่อยากคว้าไว้?
คุณหนูให้ความสำคัญกับครอบครัวที่สุด ตอนนี้เหล่าพี่สาวส่งของมา ย่อมต้องเอาไปวางไว้ตรงหน้านางเป็คนแรก เ้านายถึงจะพอใจ
ท่อนไม้อย่างเ้าคงได้แต่พึ่งพาแม่แก่ๆ เป็ได้แค่สาวใช้ขั้นสองไปทั้งชาติ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างหรอก!”
พูดจบไฉ่หลวนก็สะบัดแขนหงซิ่ว แล้วเดินบิดเอวเข้าเรือนหลักของเยี่ยนเจาเจาไป
เสี่ยวชุ่ยเคยพบไฉ่หลวนสองสามครั้งเลยจำนางได้ ฟังนางพูดโม้น้ำไหลไฟดับสักพักก็ยังไม่ปล่อยนางเข้าไป เพียงสั่งให้นางทิ้งของไว้แล้วออกไปเท่านั้น
ไฉ่หลวนโกรธจัด หลังสบถด่าบางอย่างเบาๆ ก็หมุนตัวจากไป
เสี่ยวชุ่ยเพิ่งเรียนรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าของที่ข้างนอกส่งมาห้ามมอบให้ถึงมือคุณหนูโดยตรงเด็ดขาด ต้องตรวจสอบด้วยตนเองก่อน
ดังนั้นนางจึงเปิดออกดู พบว่าในกล่องไม้ใบเล็กใส่ผ้าไหมผูกคอกลางเก่ากลางใหม่เส้นหนึ่ง แม้เนื้อผ้าจะยังดูดี ทว่าการนำมามอบเป็ของขวัญนั้นค่อนข้างโทรมไปหน่อย
เสี่ยวชุ่ยพับผ้าไหมผูกคอเก็บกลับลงไปในกล่องไม้ บังเอิญได้ยินเยี่ยนเจาเจาร้องครางเบาๆ เหมือนจะตื่นแล้ว จึงรีบเช็ดมือแล้วไปช่วยพยุงนางขึ้นจากที่นอน
เดิมทีมันเป็เหตุการณ์เรียบง่ายธรรมดาที่สุด และทุกอย่างก็ปกติสุขดี คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เยี่ยนเจาเจาจะเริ่มหนาวสะท้านและไข้ขึ้น ขณะทานข้าวเย็น่พลบค่ำ ก็เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุดว่าปวดแขนขาและหลังของตน
เหล่าสาวใช้มองเพียงว่าอาการหวัดของนางแย่ลง แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าพอตกกลางคืนเยี่ยนเจาเจาจะลุกจากเตียงไม่ขึ้น ปากพูดเพ้อไม่เป็ศัพท์ ป้อนยาก็ไม่เข้า พอป้อนเข้าก็โดนนางสำรอกออกทันที
องค์หญิงได้ฟังครั้งแรกยังไม่ใส่พระทัยนัก แต่แปลกที่พระองค์รู้สึกร้อนอกร้อนใจอยู่ตลอด ยามค่ำจึงถือตะเกียงมาดูด้วยตนเอง
ขณะที่องค์หญิงหยิบผ้ามาเช็ดเหงื่อให้เยี่ยนเจาเจา เมื่อม้วนแขนเสื้อของเยี่ยนเจาเจาขึ้นก็เห็นตุ่มแดงเป็พืดเต็มแขนของนาง องค์หญิงร้องเสียงต่ำด้วยความใทันที ก่อนจะรีบเรียกหมอหลวงสวีผู้ติดตามเยี่ยนเจาเจาเข้ามาตรวจ
“องค์หญิง คุณหนูขึ้นฝีแล้ว องค์หญิงได้โปรดออกไปเพื่อรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เชิงอรรถ
[1] หวงเหลียน หมายถึง หนึ่งในสมุนไพรแห้งของจีน มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด มักใช้สำหรับการรักษาความร้อนในตับและหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลุกลามไปยังม้าม กระเพาะอาหาร และปอด มีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรีย ทำให้มีประโยชน์ในการรักษาการติดเชื้อในลำไส้
[2] ไห่ถังนอนไม่พอ หมายถึง ประโยคที่ฮ่องเต้ถังเสวียนจงตรัสกับหยางกุ้ยเฟยตอนเรียกนางเข้าเฝ้า แล้วนางเมาหลับปลุกไม่ตื่น สื่อความหมายว่านอนหลับไม่ตื่น หรือเกียจคร้าน
[3] เสื้ออ๋าว หมายถึง เสื้อที่ตัดเย็บแบบสองชั้นสำหรับกันหนาว มีทั้งแบบยัดฝ้ายไว้ตรงกลางระหว่างเนื้อผ้าสองชั้นเพื่อเก็บความอุ่นป้องกันความหนาว และแบบไม่ยัดฝ้าย ซึ่งเรียกว่า “เสื้ออ๋าวชายสั้น” จะมีชายยาวประมาณเอวคลุมถึงสะโพก ส่วน “เสื้ออ๋าวชายยาว” จะมีชายยาวลงไปถึงบริเวณหัวเข่าหรือยาวเลยเข่าลงไป
[4] หางจิ้งจอก หมายถึง พฤติกรรมร้ายกาจหรือเจตนาไม่ดี