เลี่ยวจือหย่วนยกแขนขึ้น ทันใดนั้นก็มีแสงสีเงินสว่างวาบออกมาจากแขนเสื้อ ชั่วพริบตากล่องจิ่นเหอที่อยู่บนคานก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เมื่อเปิดดูก็พบว่ามีกระปุกยาขนาดเท่ากำปั้นอยู่เจ็ดแปดขวด เหอตังกุยจึงหยิบออกมาพิจารณา นางเปิดฝาขวดแล้วลองสูดดมกลิ่น ต้วนเสี่ยวโหลวคนช่างพูดรีบกำชับ “อันนี้กินไม่ได้นะ” คำพูดของเขาทำเอาทุกคนถึงกับกลอกตามองบนเลยทีเดียว
เหอตังกุยพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว สามขวดนี้เป็ยาอู่สือซั่นทั้งหมด ตามคุณภาพของแร่ดินแดงจะถูกแบ่งออกเป็สามระดับคือสูง กลาง ต่ำ และนอกจากยาตระกูลซั่นที่แม่ชีไท่เฉินพูดถึงแล้ว ยังมีเหอหวนตานและอี๋ฉิ่งลู่ที่ล้วนเป็ยาต้องห้ามประเภทเดียวกัน”
ต้วนเสี่ยวโหลวจ้องมองไปที่ใบหน้าน้อย ๆ ของเหอตังกุยด้วยความสงสัย เหมือนว่าเขาจะคิดอะไรบางอย่างออกจึงกล่าวถามต่อ “เ้ารู้จักยาพวกนี้ได้อย่างไร? ต่อให้จวนหลัวจะสอนลูกสาวเกี่ยวกับวัตถุดิบยา แต่สำหรับยาพวกนี้ก็คงไม่ให้เ้า… เอ๋ แล้วเ้ารู้ได้อย่างไรว่าบนคานมียาอยู่? พวกข้าทุกคนหาตั้งนานไม่ยักจะเจอ” เลี่ยวจือหย่วนพยักหน้าเห็นด้วย เขาก็สงสัยเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงหยิบขวดยาจินเฟิงอวี้ลู่ซั่นขึ้นมาวิเคราะห์ดูอย่างละเอียด ด้วยเขาไม่เคยเห็นยากระตุ้นอารมณ์มาก่อน ดังนั้นจึงดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อย ทว่าเหตุใดแม่นางผู้นี้ถึงดูออกได้?
เหอตังกุยตอบกลับ “อาจเพราะฟ้ามืดแล้ว ท่านทั้งสองจึงไม่เห็นว่าข้างนอกโรงยามีบ่อน้ำอยู่สองบ่อ โดยปกติน้ำที่ใช้สอยในวัดส่วนใหญ่ล้วนตักไปจากที่นี่ หากไม่พอใช้จริง ๆ จึงจะไปตักที่ลำธารในูเา เหตุเพราะคนที่มาตักน้ำกลับไปกลับมาทำให้น้ำสาดกระเซ็นเต็มเรือนไปหมด ดังนั้นที่โรงยาแห่งนี้จึงเกิดความชื้น ไม่เหมาะที่จะเก็บรักษายาไว้ อีกทั้งส่วนประกอบของสืออิงและแร่ดินแดงนั้นเป็สิ่งที่มีค่าที่สุดในยาอู่สือซั่นและซิงหยางซั่น ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ห้ามอับชื้นโดยเด็ดขาด จึงต้องซ่อนไว้ในที่แห้งและอากาศถ่ายเท”
เกาเจวี๋ยโต้แย้ง “ในเมื่อโรงยามีความชื้นมาก เหตุใดจึงไม่นำไปซ่อนไว้ที่อื่น? แล้วเหตุใดเ้าถึงได้รู้แน่ชัดนักว่ายาถูกซ่อนไว้ที่นี่?”
เหอตังกุยหลุบตาลงพลางยิ้ม “ซ่อนใบไม้ไว้ในป่า ซ่อนหยาดน้ำค้างไว้ในทะเลสาบ ซ่อนยาไว้ในโรงยา นั่นคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดเ้าค่ะ แม้ว่าคนที่ไม่เข้าใจเื่ยาจะพบเข้าแต่ความลับก็จะยังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือโรงยาแห่งนี้ควบคุมโดยแม่ชีไท่เฉินเพียงผู้เดียว คนอื่นจะเข้ามาใกล้ยังมิได้ สำหรับนางแล้วโรงยาถือเป็ที่ที่น่าไว้วางใจที่สุด”
เกาเจวี๋ยกล่าวเสียงเย็น “คนอื่นไม่มีทางเข้าใกล้ได้กระนั้นรึ? นี่หมายความว่าเ้ากำลังขอร้องแทนคนอื่น ๆ อย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ!”
“ขอร้อง?” เหอตังกุยโบกมือปฏิเสธด้วยความบริสุทธิ์ใจ “ประการแรก ข้าไม่ได้หน้าใหญ่พอที่จะทำให้ขุนพลจิ่นอีเว่ยผู้ยิ่งใหญ่มาเห็นแก่ข้าเช่นนั้นได้ ประการที่สอง พวกท่านยังไม่รู้ว่าแม่ชีของวัดสุ่ยซังแห่งนี้ใจดำยิ่งนัก หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีจากพวกนางเลย ไม่เพียงแต่ไม่ให้ข้าวให้น้ำ ยังสาปแช่งลับหลังข้าอีกมากมาย ตอนนี้พวกนางพบพานเื่โชคร้าย ข้าอยากตบไม้ตบมือหัวเราะดีใจจะแย่ ไยข้าต้องขอร้องแทนพวกนางด้วย?”
เมื่อลู่เจียงเป่ยและต้วนเสี่ยวโหลวได้ฟัง พวกเขาถึงกับเหม่อลอยพลางคิดในใจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพบเจอเด็กสาวที่ตรงไปตรงมาและปากไวเช่นนี้มาก่อน โดยปกติแล้วต่อให้ในใจของหญิงสาวผู้นั้นจะเคียดแค้นเพียงใด ก็ยังจะต้องกล่าวขอร้องแทนศัตรูด้วยน้ำตาคลอเบ้า แม้ท้ายที่สุดแล้วการขอร้องแทนนั้นจะไม่สำเร็จและเป็การขอร้องที่สูญเปล่า แต่ก็ทำให้หญิงสาวเ่าั้ได้หน้าไปไม่น้อย
จู่ ๆ เหอตังกุยก็เปลี่ยนเื่ “หากข้าเป็ขุนนางจะไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ข้าจะจับแม่ชีเ่าั้ไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันภายหลัง! น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่ขุนนาง ใต้เท้าทุกท่านล้วนจัดการเื่คดีความอย่างยุติธรรม ไม่เหมือนกับข้าที่จับคนมั่วซั่วอย่างแน่นอน ท่านใต้เท้าลู่ว่าจริงหรือไม่?”
เหอตังกุยจ้องเขม็งไปยังลู่เจียงเป่ยด้วยสายตาแยกแยะผิดชอบชั่วดี จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนมีมือน้อย ๆ ที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดหัวใจ จึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับพลางตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
เหอตังกุยหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะถอดชุดคลุมยาวคืนให้แก่เกาเจวี๋ยพลางกล่าวลา “ข้าเพียงเข้าใจเื่การจดจำยาเท่านั้น ส่วนเื่การสืบคดี ข้าคงช่วยอะไรมิได้จริง ๆ มีอยู่เื่หนึ่ง ข้าเคยได้ยินว่าแม่ชีไท่เฉินนั้นตระหนี่ถี่เหนียวและใจดำ นางชอบทำบัญชีเป็ที่สุด ไม่มีขาดไม่มีเกินเลยแม้แต่น้อย หากใต้เท้าสามารถหาบัญชีดำของนางพบ ไม่แน่ว่าในนั้นอาจจะมีบันทึกผู้สมรู้ร่วมคิดของนางไว้ก็เป็ได้ นั่นอาจจะทำให้พวกท่านจับไม่ผิดคนและทำให้ไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดรอดพ้นความผิดนี้ไปได้ ฮัดชิ่ว! ดึกแล้ว น้ำค้างเยอะ ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ต้วนเสี่ยวโหลวมีปฏิกิริยาว่องไว เขายึดเอาเสื้อคลุมจากในมือเกาเจวี๋ยไปคลุมไว้ที่ร่างของเหอตังกุยอีกครั้ง ปากก็ตำหนินางด้วยว่า “ดูเ้าสิ เพิ่งจะถอดคืนกลับมาก็หนาวสั่นเสียแล้ว เมื่อรู้ว่าร่างกายอ่อนแอ เหตุใดจึงไม่ดูแลตัวเองให้ดี! จะเกรงใจพวกข้าไปไย ให้ข้าไปส่งเ้าดีหรือไม่?”
เลี่ยวจือหย่วนหลุดขำเสียงดังลั่น เขาเป่าผงยาในขวดที่อยู่ในมือให้ลอยออกไปในอากาศ ผงยาเ่าั้เคลื่อนที่ดุจมีดวงตา มันตกเข้าไปในปากของเกาเจวี๋ยที่กำลังอ้าปากหาวราวกับจับวาง อีกทั้งเกาเจวี๋ยยังกลืนผงยานั้นลงไปอีกด้วย
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ลู่เจียงเป่ยที่อยู่ด้านข้างจึงช่วยป้องกันไว้ไม่ทัน เขาเบิกตาโพลงพลางมองไปยังเกาเจวี๋ยที่กินผงยาลงไป “เฮ้ย เกา…เกาเจวี๋ย เจ…เ้าโดนเข้าแล้ว…” เกาเจวี๋ยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเช่นกัน ในชั่วพริบตาเดียว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็สีแดงเถือกและดูทรมานยิ่ง เลี่ยวจือหย่วนที่เป็ผู้ก่อเหตุหัวเราะออกมาอีกครั้ง ทำให้ลู่เจียงเป่ยที่อยู่ด้านข้างตกอกใจนรีบเม้มปากแน่นและกลั้นหายใจไว้ทันที
ต้วนเสี่ยวโหลวละสายตาจากเหอตังกุยก่อนจะมองไปทางสหายของตน พบว่าใบหน้าของบางคนดูแปลกไป ต้วนเสี่ยวโหลวจึงถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา “เฮ้ พวกเ้าเป็อะไรไป? ง่วงแล้วรึ พวกเรากลับไปนอนกันก่อนดีหรือไม่?”
เกาเจวี๋ยผลักทุกคนออกอย่างแรง แล้วพุ่งไปจับข้อมือของเหอตังกุยไว้พลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะถามขึ้นว่า “ยาขวดนั้นคือยาอันใด?”
เหอตังกุยกะพริบตาปริบ ๆ พลางตอบเสียงเบา “เหมือนจะเป็…จินเฟิงอวี้ลู่ซั่นน่ะเ้าค่ะ” นางยังใจดีบอกเพิ่มไปอีกว่า “ยากระตุ้นอารมณ์เหล่านี้ไม่มียาแก้ มีแต่ทางแก้เ้าค่ะ”
ลู่เจียงเป่ยวิ่งหน้าตั้งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเหอตังกุย “เมี่อกี้ข้าตกตะลึงเกินไปจึงเผลออ้าปาก จู่ ๆ เลี่ยวจือหย่วนก็เป่ามา… เหมือนข้าจะได้กินเข้าไปด้วยนิดหนึ่ง นิดเดียวเท่านั้น ฤทธิ์ยามันจะหายไปเองได้หรือไม่?”
เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็หัวเราะจนท้องแข็ง “ฮ่า ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ! ตลก ตลกจริง ๆ เ้า...พวกเ้าสองคน ฮ่า ๆ ๆ ๆ …” เลี่ยวจือหย่วนผู้เป็สาเหตุในครั้งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากแอบขำเช่นกัน
เกาเจวี๋ยไม่มีเวลาคิดบัญชีกับเหล่าสหายทั้งหลาย เขาเร่งถามกึ่งขู่เหอตังกุย “มีหนทางแก้อันใด รีบพูดมา!”
เหอตังกุยลูบไปที่ดอกเหมยดอกหนึ่งที่อยู่บนแขนเสื้อพลางกล่าวตอบ “บทกวีของฉินเส่าโหยวในราชวงศ์ซ่งเหนือกล่าวว่า ‘เมฆบนนภาผันเปลี่ยน ดาวบนฟ้าถ่ายทอดความเศร้าโศกเสียใจ ค่อย ๆ ผ่านแม่น้ำทางช้างเผือกในคืนนี้ไป เพื่อพบเจอกันหนึ่งหนในวันชีชี ช่างเป็สิ่งที่ดีกว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้’ ใต้เท้าคือหนุ่มเลี้ยงวัวผู้นั้น หาสาวทอผ้าสักคนก็จบแล้วเ้าค่ะ... จริงสิ ใต้เท้ากับใต้เท้าลู่ล้วนกินยากระตุ้นอารมณ์ หากทั้งสองคนร่วมด้วยช่วยกันก็อาจจะแก้ได้เช่นกันเ้าค่ะ”
ต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนได้ยินดังนั้นก็หยุดขำพลางมองหน้ากันไปมา ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับบิดเบี้ยว เหตุ...เหตุใดเด็กสาวอายุสิบขวบถึงรู้มากเพียงนี้? ทั้งยังพูดเื่อย่างว่าออกมาเช่นนั้นด้วย?
คงจะมีเพียงคำว่า ‘ตกตะลึงถึงขั้นสุด’ เท่านั้นที่สามารถบรรยายสีหน้าของเกาเจวี๋ยในตอนนี้ได้ เมื่อครู่ก็สืบคดีอยู่ดี ๆ นึกไม่ถึงว่าจะไปกินยากระตุ้นอารมณ์เข้า ตอนนี้ก็ยังให้เด็กสาวคนหนึ่งสอนวิธีแก้ฤทธิ์ยาให้ตนอีก เกาเจวี๋ยรู้สึกว่าเื่ที่น่าอายที่สุดในชีวิตเขาได้เกิดขึ้นแล้วในคืนวันนี้ น่าอายเสียยิ่งกว่าตอนที่แพ้สามร้อยเพลงดาบในสนามรบนองเืถึงร้อยเท่า เมื่อคิดถึงเื่นี้ขึ้นมา ทั้งหมดมันเป็เพราะเลี่ยวจือหย่วน เกาเจวี๋ยจึงหันไปจ้องเลี่ยวจือหย่วนเขม็ง ทว่ากลับไปสบเข้ากับสายตาของลู่เจียงเป่ยอย่างไม่ทันระวัง เกาเจวี๋ยและลู่เจียงเป่ยเป็สหายเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา เมื่อได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ของเหอตังกุย ทั้งยังไปมองสบตากับฝ่ายตรงข้ามอีก ทำให้เกาเจวี๋ยอึดอัดใจจนอยากจะเอาหัวชนกำแพงไปให้รู้แล้วรู้รอด
ในใจของเหอตังกุยขำจนปวดท้องไปหมด แต่ใบหน้านั้นยังคงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ใต้เท้าอย่าได้วิตกไปเลย บางทีข้าอาจจะพอช่วยได้”
“เ้า...เ้า!” ใบหน้าของต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนบิดเบี้ยวกว่าเดิมเสียอีก
เหอตังกุยพยักหน้า “แต่ว่าข้าไม่เคยลองมาก่อน ไม่รู้จะสำเร็จหรือไม่ หากเกิดความผิดพลาดอันใด ข้าต้องขอแสดงความเสียใจกับท่านทั้งสองด้วย... เอาล่ะ พวกท่านยังอยากจะรักษาต่อหรือไม่?”
ลู่เจียงเป่ยเบิกตาโพลง “เ้ารักษาโรคและถอนพิษเป็เช่นนั้นรึ?” เกาเจวี๋ยก็มองไปที่ยัยหนูข้างหน้าด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
เหอตังกุยพยักหน้าอีกครั้ง “แต่ก่อนทำการรักษา ข้ามีข้อแม้สองข้อ ข้อหนึ่ง ความสามารถด้านการแพทย์ของข้าไม่ได้เก่งกาจ ตอนนี้เป็เพียงการทดลองรักษา รักษาหายแล้วไม่ต้องให้ค่าตอบแทน รักษาไม่หายก็อย่าได้โทษข้า ข้อสอง ในยามที่ข้ากำลังรักษาจะต้องมีแค่ผู้ป่วยเท่านั้นที่อยู่ในเหตุการณ์ หลังจากจบเื่นี้ ท่านทั้งสี่ก็อย่าได้พูดเื่ที่ข้ารู้การแพทย์กับผู้อื่น”
ต้วนเสี่ยวโหลวเห็นนางพูดเป็การเป็งานจึงเกิดความสงสัยเป็อย่างมาก “เ้าสามารถถอนพิษให้พวกเขาได้จริง ๆ หรือ ใช้วิธีผิดศีลธรรมหรือไม่?”
“ได้ไม่ได้ก็คงทำได้เพียงลองดู” เหอตังกุยยิ้มน้อย ๆ “ใต้เท้าต้วนและใต้เท้าผู้วางยาท่านนี้ รบกวนพวกท่านทั้งสองออกไปเฝ้าประตูด้วยเ้าค่ะ จำไว้ว่าหากข้าอนุญาตให้ท่านเข้ามา ท่านจึงจะเข้ามาได้ หากเป็เพราะการรบกวนของคนอื่นทำให้ส่งผลผิดพลาด ข้าไม่ขอรับรองเ้าค่ะ”
ต้วนเสี่ยวโหลวและเลี่ยวจือหย่วนทำได้เพียงเดินออกจากโรงยาพลางชะเง้อคอมองเท่านั้น ในใจเกิดความกระสับกระส่าย เมื่อครู่ยังพอจะหัวเราะได้ ทว่าตอนนี้เมื่อลองคิดดูว่าเกาเจวี๋ยและลู่เจียงเป่ยกินยากระตุ้นอารมณ์บุรุษเข้าไป ยากที่พวกเขาจะไม่โดนฤทธิ์ยาครอบงำ… หากปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังกับคุณหนูเหอจะไม่เป็อันตรายจริงหรือ?
ทั้งสองเอาหูแนบประตูฟังอย่างระมัดระวัง ทว่าข้างในไม่มีเสียงอะไรขยับเลยสักนิด เฮ้...ไอ้ตระกูลเกาเฮงซวยคนนั้นคงไม่ได้สกัดจุดนางไปแล้วใช่หรือไม่ เลี่ยวจือหย่วนรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที เขาโทษตัวเองว่าไม่ควรหยิบยาขวดนั้นขึ้นมาเล่น นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะทำให้คุณหนูเหอตกอยู่ในอันตราย เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช้าราวกับว่าเวลาไม่ได้เดินไปข้างหน้า ต้วนเสี่ยวโหลวทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงคิดจะเปิดประตูเข้าไปดูสถานการณ์
แอ๊ด… จู่ ๆ ประตูก็เปิดออก เกาเจวี๋ยและลู่เจียงเป่ยวิ่งตามกันออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ ต้วนเสี่ยวโหลวรีบเข้าไปในโรงยาด้วยความตื่นใ เขากวาดสายตามองหาไปทั่ว สุดท้ายก็หาสาวน้อยคนหนึ่งเจอ นางแต่งตัวเรียบร้อยดีและยังมีชีวิตอยู่ ต้วนเสี่ยวโหลวจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เป็อย่างไรบ้าง? พวกเขาไม่ได้เสียมารยาทกับเ้าใช่หรือไม่ ถอนฤทธิ์ยาได้รึยัง?” ต้วนเสี่ยวโหลวเปิดปากถามนางให้แน่ใจว่านางปลอดภัย
เหอตังกุยปัดมือพลางลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มตอบ “ข้าเพียงทำให้ยาออกฤทธิ์ช้าลงเท่านั้น และบอกวิธีแก้ที่ไม่รู้ว่าจะแก้ได้หรือไม่ให้แก่พวกเขาไป อีกทั้งวัตถุดิบยาในโรงยาก็ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ตอนนี้พวกเขาคงจะลงเขาไปหายาแล้ว ท่านอย่าได้ห่วงไปเลย แม้วิธีของข้าจะไม่ได้ผล แต่หากพวกเขาวิ่งวนบ้าคลั่งเช่นนั้นสักครึ่งวัน ฤทธิ์ยาก็จะหายไปได้เช่นกัน หากไม่หายจริง ๆ ที่ตำบลทู่เอ๋อร์ของเราก็มีหอนางโลมอยู่สี่ห้าแห่ง… อย่างไรเสียพวกเขาก็หาทางช่วยตัวเองได้ ดึกมากแล้วข้าขอตัวก่อน”
ต้วนเสี่ยวโหลวเห็นว่าเหอตังกุยถอดชุดคลุมออกจึงรีบหยุดนางไว้ “ช้าก่อน อย่าถอดนะ! ยามอยู่ในห้องเ้ายังจามเลย หากออกไปจะไม่หนาวยิ่งกว่ารึ? เสื้อคลุมนี้แม้ว่าจะเป็ของเ้าหน้าอึมครึม อาจจะขัดหูขัดตาไปเสียหน่อย แต่อย่างไรมันก็กันหนาวได้ เ้าใช้ไปก่อนเถอะ ไป ข้าจะไปส่งเ้า” ต้วนเสี่ยวโหลวจ้องใบหน้าใสและซีดเซียวของเหอตังกุย เขาอดไม่ได้ที่จะถามอีกรอบ “เ้ารู้จักยาพวกนั้นได้อย่างไร? ต่อให้ตระกูลหลัวจะสืบทอดวิชากันมา แต่ก็คงไม่เอายาพวกนี้มาให้เ้าร่ำเรียนหรอกใช่หรือไม่?”
หญิงสาวเผยรอยยิ้มที่แสนเหนี่อยล้าราวกับลมที่พัดผ่านแม่น้ำในเดือนหนาว ทำเอาต้วนเสี่ยวโหลวถึงกับหายใจติดขัด
“คุณชายต้วน วิธีการช่วยคนนั้นไม่ควรแบ่งแยกว่าสูงหรือต่ำ เมื่อมีคนเป็โรคหรือว่าถูกพิษอันใดมา ในฐานะของหมอก็ควรจะรู้ว่านี่คือโรคใดหรือพิษใด ไม่ว่าโรคหรือพิษนั้นจะเหลืออดเหลือทนเพียงไหน หากไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันเลยก็จะช่วยคนไม่ได้ อีกอย่างวิชาการแพทย์ของข้าก็ไม่ได้เรียนมาจากตระกูลหลัว คนที่สอนวิชาการแพทย์ให้แก่ข้าไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ ดังนั้นสำหรับเื่นี้แล้ว อย่างไรก็ขอให้พวกท่านทั้งสองปิดเป็ความลับด้วย ข้าจะซาบซึ้งใจเป็อย่างยิ่ง”