แต่ข้ารับผิดชอบแต่เื่สินค้าตัวอย่างกับแบบของกระเป๋า ไม่ได้ออกเงินทุน อืม ถ้าขอส่วนแบ่งจากกำไรหนึ่งส่วน ท่านว่าจะเป็การเรียกร้องที่สูงเกินไปหรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นถูกบีบนิ้วจนรู้สึกเจ็บ อยากดึงมือกลับมาจนแทบไม่ไหว
แต่เหลียนเซวียนกลับไม่ปล่อย เลื่อนจากนิ้วมือตรงไปที่จุดเหอกู่ [1] "ไม่สูง ถึงเวลาข้าจะคุยเอง ไม่ต้องกังวลไป"
"คิกๆ ขอบคุณท่านมาก" เขารับหน้าที่ไว้กับตัว เซวียเสี่ยวหรั่นย่อมจะเบาใจ แต่เห็นเขากดจุดนวดให้ พวงแก้มก็แดงระเรื่อ "คือว่า ท่านกดจุดนี้ทำไม"
ระดูของเธอยังไม่มาเสียหน่อย
"จุดนี้สามารถบรรเทาอาการปวด กระตุ้นเืลมให้ไหลเวียนสะดวก ช่วยขับความร้อนภายในร่างกาย"
เหลียนเซวียนอธิบายอย่างละเอียด แล้วกดจุดให้นางต่อไป มือเล็กจ้อยร้อนขึ้น ยิ่งอยู่ในฝ่ามือเขานานเท่าไรก็ยิ่งร้อน "เทียบยาที่ให้เ้ากินคราก่อน ไปจัดมาอีกห้าวัน"
"หืม? เทียบยาฉบับนั้น... ไม่รู้ข้าเอาไปวางไว้ไหนแล้วสิ"
นึกถึงรสชาติขมปี๋ราวกับหลวงเหลียนของมัน เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่อยากกินอีกแล้ว
"ต้องให้ข้าเขียนให้ใหม่อีกฉบับหรือไม่"
เหลียนเซวียนมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
"เอ้อ... ไม่ต้องดีกว่า เดี๋ยวข้ากลับไปหาดูก่อน"
สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นห่อเหี่ยวลงทันใด
คนผู้นี้จำเทียบยาจนขึ้นใจ เธอจะแกล้งทำเฉไฉย่อมไม่สำเร็จ
"อักษรของเ้าล่ะ"
เหลียนเซวียนค่อยๆ ปล่อยมือของนางลง แล้วเริ่มเคาะโต๊ะเบาๆ อีกครั้ง คำที่นางคุยโวเอาไว้ เขาจำได้ทุกคำ
สองวันผ่านไปแล้วยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของนาง ครานี้คิดจะเบี้ยวอีกย่อมไม่ได้ เหลียนเซวียนจดจ้องนางอย่างหยอกเย้า
"อักษรเหรอ เอ้อ ข้าคิดอยู่ว่าจะไปซื้อแบบฝึกคัดอักษรมาสักสองชุดน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาหลุกหลิก นึกได้ว่าตนเองเคยโม้เอาไว้ ก็หัวเราะแหะๆ "ก็สองวันมานี้ข้ายุ่งอยู่นี่นา"
เหลียนเซวียนจ้องมองนาง รอยยิ้มที่เห็นเลือนรางเหมือนถูกแพรโปร่งกั้นอยู่ ทว่าดวงตาโค้งเป็เสี้ยวจันทร์กลับทอประกายวับวาว
นิ้วมือที่เคาะโต๊ะอยู่เบาๆ ชะงักไปชั่วขณะ "อื้ม ไปเถอะ ซื้อแบบฝึกคัดของหลิวจ่างชิง หรือไม่ก็เหยียนต้าเจีย และอย่าลืมซื้อยามาด้วยล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นลุกขึ้นอย่างระริกระรี้ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย ก็ทำตาเขียวค้อนควักใส่เขา
เมื่อร่างเพรียวบางหมุนตัวออกไปจากห้อง ดวงตาของเหลียนเซวียนก็นิ่งขรึมลง
การผูกมิตรกับเมิ่งเฉิงเจ๋อเป็เื่ดี อย่างน้อยจะได้สืบดูว่าสกุลเมิ่งของพวกเขามีเครือข่ายอยู่ในแคว้นฉีบ้างหรือไม่
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูที่ปิดก็ถูกผลักเข้ามา
"เหลียนเซวียน ท่าน่ดูอาเหลยให้หน่อยนะ ข้าจะพาเสี่ยวเหล่ยกับหลันฮวาออกไปซื้อสมุดคัดอักษร ขากลับจะซื้อเนื้อตุ๋นจากร้านเนื้อร้อยปีตรงหัวถนนมาให้ท่าน แล้วก็แม่ไก่สักตัวไว้ทำน้ำแกง"
เซวียเสี่ยวหรั่นปล่อยอาเหลยไว้มุมห้อง ปลอบโยนมันสองสามประโยคแล้วทิ้งเกาลัดกำมือหนึ่งไว้ให้มัน ก่อนย่องออกไปจากประตูแล้วปิดให้เรียบร้อย
ข้างนอกคนเยอะ พาอาเหลยไปด้วยไม่สะดวก เซวียเสี่ยวหรั่นตัดสินใจจะหาเงินให้ได้มากๆ ต่อไปจะซื้อเรือนหลังใหญ่ที่มีลานสวน แล้วปลูกต้นไม้ให้อาเหลยได้เล่นสนุก
"ครร-ลึ-หัด-ลา-คา-แพง-มาก (คฤหาสน์ราคาแพงมาก) " อูหลันฮวาพยายามเอ่ยออกมาทีละคำ
่นี้นางกำลังฝึกพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ ต้องระวังตัวทุกชั่วขณะให้พูดช้าๆ
"พี่หลันฮวา คะ-รึ-หาด-รา-คา-แพง-มาก ต้องออกเสียงอย่างนี้" เซวียเสี่ยวเหล่ยแก้ไขส่วนที่ออกเสียงผิดให้นางทันที
อูหลันฮวาตั้งสติ ปรับตำแหน่งลิ้นแล้วออกเสียงซ้ำใหม่อีกครั้ง
"อื้ม เสียงนี้ถูกต้อง คฤหาสน์แพง ก็ต้องตั้งใจหาเงินให้ได้มากๆ พอมีเงินแล้วต่อไปก็ซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ หลังจากนั้นก็ส่งเสี่ยวเหล่ยไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา"
เซวียเสี่ยวหรั่นวางแผนหลังจากตั้งรกรากเอาไว้เรียบร้อย
เซวียเสี่ยวเหล่ยได้ยินแล้วก็ตกตะลึง "พี่สาว ข้าไม่ไปสำนักศึกษา เรียนเองที่บ้านก็ได้ หลางจวินสอนตัวอักษรให้ข้าตั้งเยอะ"
"ศึกษาก็ต้องต้องให้ถึงที่สุด มิเช่นนั้นจะไปสอบจ้วงหยวนได้อย่างไร ได้รู้จักกับสหายร่วมเรียน ได้เข้าสังคมมีมิตรสหายมากมายดีจะตาย ต่อไปหน้าตาและศักดิ์ศรีของสกุลเซวียต้องพึ่งพาเ้าแล้ว ศึกษาวิชาความรู้มากหน่อยไม่เสียหาย"
ในความรู้สึกของเซวียเสี่ยวหรั่น เด็กโตขนาดนี้แล้วจะไม่เรียนหนังสือได้อย่างไร
"ขะ... ข้าอายุสิบสองแล้ว มาเริ่มเรียนตอนนี้จะสายเกินไปหรือไม่" เซวียเสี่ยวเหล่ยพูดอ้อมแอ้ม เขาได้ยินมามาเด็กในเมืองอายุหกเจ็ดขวบก็เข้าสำนักศึกษากันแล้ว"
"มิสายๆ เ้าเฉลียวฉลาดปานนี้ ไม่ช้าก็ตามทัน ดูอย่างอักษรที่เ้าเขียนสิ ทั้งเรียบร้อยมีระเบียบ เก่งกว่าเด็กทั่วไปที่เพิ่งเข้าเรียนตั้งเยอะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบศีรษะเด็กชาย เขายังคงผอมมาก บำรุงมาเดือนกว่ายังไม่เห็นว่าจะมีเนื้อเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไร
เซวียเสี่ยวเหล่บแก้มแดงเรื่อ เขาโตเพียงนี้แล้ว จะเปรียบกับเด็กหกเจ็ดขวบได้อย่างไร
"คุณชายน้อยเขียนอักษรสวยมาก" อูหลันฮวาพยายามออกเสียงเป็ประโยคให้ชัดเจน
"อืม ประโยคนี้พูดได้ไม่เลว ออกเสียงถูกต้องไม่มีเพี้ยน" เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้าชื่นชม
อูหลันฮวาเหงื่อเต็มหน้า ยิ้มออกทันที
ทั้งสามเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ พวกเขามาที่นี่หลายวันแล้ว เดินเล่นบนถนนสายนี้จนคุ้นเคยแทบจะทุกซอกทุกมุม
ดังนั้นย่อมรู้ว่าร้านขายตำราอยู่ตรงไหน
พวกเขาเดินเลี้ยวเข้าสู่ถนนเล็ก เดินต่อไปอีก่หนึ่ง ป้ายร้าน "โม่เซียง" ก็ปรากฏสู่สายตา
่บ่ายในร้านคนไม่เยอะ
พวกเซวียเสี่ยวหรั่นเดินเข้าไป เด็กในร้านออกมาต้อนรับ หลังสอบถามความ้าที่ชัดเจนแล้ว ก็พาพวกเขาไปยังตู้หนังสือด้านหน้าซึ่งเป็ที่วางแบบฝึกคัดอักษร
เซวียเสี่ยวหรั่นลองพลิกดู เธอเองก็ไม่รู้ว่าแบบไหนจะดีกว่า พลันนึกถึงถ้อยคำกำชับของเหลียนเซวียน "พี่ชาย สมุดคัดอักษรของเหยียนต้าเจียกับหลิ่วจ่างชิงคือเล่มไหน"
ลูกจ้างร้านรีบค้นตำราสิบกว่าเล่มมาวางตรงหน้าของเธอ
"เยอะขนาดนี้เชียว?" เซวียเสี่ยวหรั่นอุทานเบาๆ "เสี่ยวเหล่ยเลือกมาหนึ่งเล่ม หลันฮวาเ้าก็เลือกหนึ่งเล่ม พวกเราจะซื้อคนละเล่ม"
"หา?" อูหลันฮวาเบิกตากว้าง ซื้อแบบคัดอักษรให้นางทำไม
"ข้ากับเสี่ยวเหล่ยต่างเขียนอักษร เ้าคิดจะแอบอู้คนเดียวหรือไร ถ้าฝึกเขียนอักษรทุกคนก็ต้องฝึกด้วยกัน" เซวียเสี่ยวหรั่นกล่าวอย่างมีเหตุผล
อูหลันฮวาอึ้งงัน เอิ่ม... ปัญหาไม่ใช่ว่าแอบอู้หรือไม่แอบอู้เสียหน่อย
"ต้าเหนียงจื่อ ข้าไม่เอาหรอก ข้าหัวทึบ เรียนไม่เก่ง"
พอใจร้อน ลิ้นก็เริ่มรัวพูดไม่ชัด
ทำเอาลูกจ้างร้านที่อยู่ด้านข้างเผยแววตาตกตะลึง
ชั่วขณะนั้น อูหลันฮวาก็นึกหงุดหงิด
"การอ่านตำราเขียนอักษรใช่ว่าวันสองวันแล้วจะสำเร็จ ต้องค่อยเป็ค่อยไปทีละขั้น เหมือนกับการเย็บปักถักร้อยนั่นแหละ ตอนเริ่มต้นฝีเย็บของใครบ้างจะไม่บูดๆ เบี้ยวๆ พอฝึกฝนมากเข้าก็ใช้ได้เอง เช่นเดียวกับงานฝีมือของพวกเราสองคน ก็ได้มาจากการฝึกฝนตลอดหลายวันมานี้มิใช่หรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นขยิบตาให้นางอย่างภาคภูมิใจ ฝีมือการเย็บของพวกนางนับวันยิ่งดีขึ้น กระเป๋าที่ทำออกมา่สองวันนี้ แทบจะหาตะเข็บเบี้ยวไม่พบแล้ว
อูหลันฮวามานึกดูก็เป็เช่นนั้นจริง
ตอนเริ่มต้นพวกนางสองคนงุ่มง่ามกันมาก กระเป๋าใบหนึ่งเย็บแล้วรื้อ รื้อแล้วเย็บไม่รู้กี่รอบ ฝีเข็มก็บูดเบี้ยวดูไม่ได้เลย
แต่สองวันมานี้กระเป๋าใบใหม่ที่เย็บออกมานับว่าพัฒนาสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
"อีกอย่าง เ้าไม่ยอมคัดอักษรเป็เพื่อนข้า เพราะอยากเห็นข้าถูกทรมานอยู่คนเดียวใช่หรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นพูดอีก
คำปฏิเสธของอูหลันฮวากลายเป็หมอกควันในพริบตา
ทั้งสามซื้อสมุดคัดอักษรมาคนละเล่ม และซื้อชุดพู่กันหมึกแท่นฝนหมึกสองชุด และกระดาษขาวเพิ่มอีกปึกหนึ่ง
พอถึงยามคิดเงิน ให้ตาย จ่ายไปอีกเจ็ดตำลึงกว่า
ขณะจ่ายเงิน เซวียเสี่ยวหรั่นเสียดายแทบตาย แต่แน่นอนว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า
ฝ่ายอูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยต่างใกับจำนวนเงินจนตะลึงตาค้างไปแล้ว หากตนเองยังแสดงท่าทีปวดใจ ของก็ไม่ต้องซื้อกันแล้ว
...
[1] จุดเหอกู่ อยู่บริเวณง่ามนิ้วโป้งและนิ้วชี้
