ฟางเฉินเล่อไม่ทันสังเกตสีหน้าแปลกใจของโหยวเสี่ยวโม่ รวมถึงฝูจื่อหลินด้วย
เพราะพวกเขาต่างมุ่งหวังเื่การมีสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่งสักตนไว้ใน โดยเฉพาะฝูจื่อหลินที่ดวงตาลุกวาว เขารู้สึกผิดหวังกับตัวเองมาตลอดที่ไม่มีพลังการต่อสู้
แม้จะบอกว่านักหลอมโอสถกับนักฝึกตนอยู่กันอย่างพึ่งพาอาศัย แต่อันที่จริงนักหลอมโอสถหาได้มีแค่เส้นทางเดินนี้เสียเมื่อไหร่ พวกเขาเลือกทางอื่นได้ เพราะยังมีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า
และการสัตว์ปีศาจก็คือทางเลือกอีกอย่างหนึ่งของพวกเขา และเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะนักหลอมโอสถที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ พวกเขาต่างเลือกสัตว์ปีศาจมาเป็ตัวคุ้มกันตัวเอง หาใช่นักฝึกตนไม่
มีคำพูดหนึ่งกล่าวไว้ว่า ใจคนยากแท้หยั่งถึง!
บางเวลา แม้กระทั่งคนที่ใกล้ชิดเ้าที่สุดก็อาจทรยศเ้าได้ นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ข้างเ้าด้วยผลประโยชน์ ดังนั้นเทียบกับการต้องอยู่อย่างระแวดระวัง สู้เลือกหนทางที่เลี้ยงดูสัตว์ปีศาจจะดีกว่า
การเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจนั้นเป็ความสามารถรองลงมาของนักหลอมโอสถ ความสามารถนี้มีเพียงนักหลอมโอสถที่มี เพราะพวกเขามีพลังปราณิญญาที่นักฝึกตนไม่มี
สิ่งสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจของนักหลอมโอสถก็คือพลังปราณิญญา พลังปราณิญญาที่อ่อนนุ่มและแข็งแกร่งส่งผลให้โอกาสที่เลี้ยงดูสัตว์ปีศาจได้ยิ่งสูง แต่โอกาสเช่นนี้นั้นสำหรับสัตว์ปีศาจที่มีพลังต่ำ หากเป็สัตว์ปีศาจพลังสูง พื้นฐานนั้นล้วนเปิดดวงจิตการรับรู้แล้ว สัตว์ปีศาจขั้นสูงเช่นนี้ก็จะยากหน่อย
ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด อาศัยจังหวะที่พวกมันไม่ทันได้เปิดการรับรู้ หรือก็คือยังไม่เติบโตถึงขั้นเป็สัตว์ปีศาจขั้นสูง มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะทำให้สัตว์ปีศาจเชื่อฟังคำสั่งได้
สัตว์ปีศาจที่ถูกสั่งสอนมานั้น ในร่างพวกมันจะจดจำเครื่องหมายดวงิญญาของนักหลอมโอสถได้ และเครื่องหมายพวกนี้สามารถจำกัดสัตว์ปีศาจไว้ ไม่ให้มันเกิดจิตคิดทรยศเ้าของได้ ดังนั้นง่ายกว่าการหานักฝึกตนมาเป็มิตรเยอะเลย อย่างน้อยก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะถูกสัตว์ปีศาจทรยศ
แต่ใช่ว่าอยากมีก็มีได้เสียเมื่อไร เพราะการเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจขั้นสูงมีเพียงนักหลอมโอสถเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นในแผ่นดินหลงเสียงผู้ที่มีสัตว์ปีศาจขั้นสูงล้วนเป็นักหลอมโอสถขั้นสูง
เช่นนั้นแล้ว ก็ใช่ว่านักหลอมโอสถขั้นสูงทุกคนสามารถมีสัตว์ปีศาจไว้ในได้ เนื่องจากสายเืของสัตว์ปีศาจขั้นสูง ดังนั้นการเกิดรุ่นต่อไปนั้นทำได้ยาก ไม่เหมือนสัตว์ปีศาจชั้นล่างที่มีมากมาย
แต่โหยวเสี่ยวโม่ได้ได้รู้เื่พวกนี้เลย เพราะตำราการเลี้ยงดูสัตว์ปีศาจกับนักหลอมโอสถล้วนเก็บอยู่ในส่วนหอคัมภีร์ชั้นสาม ซึ่งเขาไม่มีอำนาจเข้าได้
ครั้งเดียวที่เคยเข้าไปก็เพียงสองชั่วยาม ไม่ได้มีเวลามากนักให้เขาได้ทันดูตำราอื่น อีกอย่างตำราด้านในมีมากมาย แม้เขาอยากจะหาก็คงหาไม่ทันเวลาที่กำหนด
เมื่ออารมณ์ตื่นเต้นหายไป โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามต่อ “ศิษย์พี่ใหญ่ แล้วเคล็ดวิชากับอาวุธนั่นล่ะ มันเป็ยังไงกัน? ในดินแดน์วิมานยังสามารถสร้างอาวุธกับเคล็ดวิชาได้ด้วยตัวมันเองหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว” ฟางเฉินเล่อหัวเราะกับคำพูดเขา ทั้งสองสิ่งเป็ของที่ทำจากฝีมืุ์ แล้วจะออกมาเองได้อย่างไร “ในดินแดน์วิมานแท้จริงคือโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่ง จากที่เล่าขานกันมามันคือเป็ห้วงที่มีจอมยุทธ์สร้างมันออกมาจากการแหวกประสาทเมื่อกาลก่อน เขาเลี้ยงดูนักฝึกตนและนักหลอมโอสถมากมายในห้วงมิตินั้น หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนพวกนั้นล้วนตายไปหมด ส่วนจอมยุทธ์คนนั้นก็คงสลายไป แต่เื่พวกนี้เป็เพียงการคาดเดา ความจริงเป็เช่นไร ในตอนนี้ไม่มีใครรู้ได้”
พูดถึงห้วงมิติ โหยวเสี่ยวโม่พลันนึกถึงห้วงของหลิงเซียว
พูดตามตรง วันที่ออกจากเมืองฮุยจี๋ หลิงเซียวทำเขาสะดุ้งโหยง เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลิงเซียวเองก็มีห้วงมิติของตัวเอง อีกอย่างห้วงมิตินั้นใหญ่โตกว่าของเขามากนัก กว้างไกลสุดสายตา
หากจะบอกว่ามีอะไรแตกต่างออกไป เห็นจะเป็ทะเลสาบกับธาตุปราณ ห้วงมิติของเขามีทะเลสาบ แต่ของหลิงเซียวไม่มี แต่ของหลิงเซียวมีธาตุปราณที่เข้มข้นหนาแน่น เป็สถานที่เยี่ยมยอดในการปลูกหญ้าเซียน
โหยวเสี่ยวโม่พึ่งรู้ตอนนี้ ทำไมหลิงเซียวถึงไม่สนใจห้วงมิติของเขา เพราะหลิงเซียวมีห้วงมิติอันกว้างใหญ่กว่าหลายเท่าเป็ของตัวเอง ดังนั้นก่อนหน้านั้นเขาวิตกไปเองทั้งนั้น
ส่วนที่ว่าทำไมหลิงเซียวถึงมีห้วงมิตินั้น คนซื่อบื้อที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนักฝึกตนเลย เดาเพียงว่าหลิงเซียวคงโชคดีเหมือนกับเขา ดังนั้นมีมีห้วงมิตินั่นได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ดินแดน์วิมานนั่นเริ่มเปิดเมื่อไหร่?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามด้วยความคาดหวัง
“จากข่าวคราว ดินแดน์วิมานจะเริ่มเปิดอีกสามเดือนให้หลัง หากศิษย์น้องเล็กอยากไป ก็ต้องรีบฝึกฝนพลังถึงจะได้” ฟางเฉินเล่อรู้ว่าเขาใจเต้น จึงไม่ได้ปิดบัง เพราะยังไงเื่นี้สำนักเทียนซินต่างก็รู้ทั่วกันแล้ว มีเพียงศิษย์น้องเล็กที่เอาแต่เก็บตัวถึงไม่รู้เื่
สามเดือนก็ถือว่านานพอควร โหยวเสี่ยวโม่นึกว่าครึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่งเสียอีก
แต่คำพูดสุดท้ายของฟางเฉินเล่อฟังแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี พลันเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ใหญ่ ทำไมต้องรีบฝึกฝน? ข้าไปไม่ได้งั้นหรือ?”
ฟางเฉินเล่อเห็นเขาท่าทีกังวลตื่นเต้น รีบปลอบใจ “อย่าพึ่งตื่นเต้น ศิษย์น้องเล็ก ที่จริงใช่ว่าเ้าจะไม่มีหวังซะทีเดียว ตามกฎระเบียบที่มีมาของสำนักเทียนซิน มีเพียงนักหลอมโอสถขั้นสามถึงมีสิทธิ์ไปได้ นั่นเท่ากับว่า หากเ้าอยากไป เ้าก็ต้องรีบฝึกฝนให้เป็นักหลอมโอสถขั้นสามให้ได้ในสามเดือนนี้”
โหยวเสี่ยวโม่พลันโล่งอก โชคดีจริง แม้ตอนนี้เขายังไม่ใช่นักหลอมโอสถขั้นสาม แต่เวลาสามเดือนก็เพียงพอแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าจะทำได้สำเร็จใน่ระหว่างนี้
“ศิษย์น้องเล็ก เ้าไม่ต้องท้อใจไป ยังมีเวลาอีกสามเดือน แม้เวลาจะกระชั้นชิดไปหน่อย แต่ขอเพียงเ้าพยายาม ศิษย์พี่ใหญ่เชื่อว่าเ้าต้องทำได้สำเร็จแน่นอน ถึงตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่จะช่วยเสนอรายชื่อเ้ากับอาจารย์…”
ฟางเฉินเล่อเห็นหน้าเขานิ่งเฉย เข้าใจว่าเขาอึ้งอยู่ จึงรีบสัญญาว่าจะเสนอชื่อเขา มีจุดหนึ่งที่ยังไม่ได้บอกไป แม้เป็นักหลอมโอสถขั้นสาม ก็ใช่ว่าจะไปได้ เพราะคนที่อยากไปมีเยอะแยะมากมาย ดังนั้นทัพพิภพได้สิทธิ์แค่หกรายชื่อเท่านั้น
เขากับจื่อหลินนั้นมีชื่ออยู่แล้ว เพราะเป็ความหวังของอาจารย์ ดังนั้นอาจารย์ต้องเก็บโอกาสไว้ให้พวกเขาแน่ แต่ศิษย์น้องเล็กไม่เหมือนกัน เขารู้สึกได้ว่า อาจารย์ไม่ได้โปรดปรานศิษย์น้องเล็กมากมาย รายชื่ออีกสี่ที่เหลือนั้นมีค่ายิ่งนัก อาจารย์ก็คงไม่เก็บไว้ให้เขาแน่
“ข้าช่วยเ้าขอเอง”
ขณะนั้นเอง ฝูจื่อหลินที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็พูดขัดฟางเฉินเล่อขึ้น
ทั้งสองหันขวับไปมองเขาอย่างประหลาดใจ กลับเห็นหน้าตาจริงจังของฝูจื่อหลินพูดกับโหยวเสี่ยวโม่ “เื่เขานทีเมฆา ข้าติดหนี้บุญคุณเ้าหนนึง รายชื่อนี้ข้าจะช่วยเ้าขอกับอาจารย์เอง ถือซะว่าเป็การตอบแทน”
“จื่อหลิน ให้ข้าช่วยขอพร้อมเ้าเถอะ”
ฟางเฉินเล่อส่ายหัวอย่างหน่ายใจ เขารู้ว่าจื่อหลินให้ความสำคัญกับเื่ตอบแทนศิษย์น้องเล็กมาตลอด จึงไม่ได้แย่งกับเขา แต่หากช่วยกันสองคนเห็นจะมีความเป็ไปได้สูงกว่า เพราะยังไงสิทธิ์การไปดินแดน์วิมานนั้นสำคัญมาก อาจารย์อีกสองท่านก็มีลูกศิษย์อีกหลายคนเหมือนกัน
ฝูจื่อหลินไม่ได้คัดค้าน เท่ากับเห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด คิดว่าเขาคงคิดเช่นเดียวกับฟางเฉินเล่อ
ส่วนโหยวเสี่ยวโม่เ้าตัวกลับฟังแล้วตะลึงงัน เขานึกว่าขอเพียงเลื่อนขั้นสามให้ได้ก็สามารถไปได้ ที่แท้ยังต้องมีรายชื่ออีก แต่ว่า เขาโชคดีมากที่จู่ๆ ก็มีศิษย์พี่ทั้งสองที่อยากตอบแทนน้ำใจเขา
โหยวเสี่ยวโม่คิดอย่างถ่อมตน…
โหยวเสี่ยวโม่แยกกับศิษย์พี่ทั้งสองตรงลานกว้าง จากนั้นตรงกลับห้องอย่างเร่งรีบ
แม้ไม่ได้เจอหลิงเซียวจะทำให้เขาเสียใจนิดหน่อย แต่เมื่อได้รับข่าวที่สำคัญมาก เขาก็ไม่มีอารมณ์คิดถึงเื่อื่นอีกต่อไป ในใจคิดว่า่เวลานี้คงไม่มีใครมาหา จึงมุดเข้าห้วงมิติ
หญ้าเซียนในห้วงมิติปลูกได้เพียงสองวัน แต่ก็งอกเป็ต้นกล้าแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่ปรายตามองแล้วรีบเดินเข้าไปบ้านไม้ ภาพแรกที่เห็นคือ ไข่อ่อนปีศาจขั้นแปดที่วางอยู่บนโต๊ะ
โหยวเสี่ยวโม่เดินไปอุ้มไข่ไว้ในอุ้งมือ จ้องมอง จู่ๆ ก็มีเสียงน่าฉงน
หรืออาจคิดไปเอง เขารู้สึกว่าเปลือกของไข่อ่อนใบนี้สว่างขึ้น ตอนนั้นสีเปลือกไข่เป็เพียงสีเทาขาว ดูสีทึมทึบราวกับว่าไข่ตายไปแล้ว ตอนนี้กลับส่องแสง เขารับรู้ได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจในนั้น แข็งแรงมีพลัง เหมือนเติบโตได้ไม่เลว
มีเสียงหัวใจเต้น มันหมายถึงไข่อ่อนกำลังจะฟักตัวหรือเปล่านะ?
โหยวเสี่ยวโม่ที่ไม่ค่อยรู้เื่เกี่ยวกับสัตว์ปีศาจแม้แต่น้อยครุ่นคิด เห็นทีเขาต้องรีบค้นคว้าข้อมูลเื่สัตว์ปีศาจแล้ว พูดถึง ตำราฝั่งตะวันออกชั้นสองของหอคัมภีร์ เขาก็อ่านได้พอสมควร แต่ไม่เคยเห็นตำราเกี่ยวกับสัตว์ปีศาจมาก่อน คงไม่ใช่อยู่ฝั่งตะวันตกหรอกนะ?
ใจเต้นไม่สู้ลงมือทำ โหยวเสี่ยวโม่รีบวางไข่ลงแล้วออกจากห้วงมิติ
เนื่องจากหลายวันก่อนเกิดเหตุขโมยขึ้น ดังนั้นเมื่อโหยวเสี่ยวโม่รีบไปถึงหอคัมภีร์นั้น เขาก็เห็นพวกชุดเกราะเดินลาดตระเวนอยู่กลุ่มหนึ่ง
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ หน่วยคุ้มกันชุดเกราะก็ดักเขาไว้ ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้ไล่เขากลับไป เมื่อรู้ว่าเขาเป็ศิษย์ผู้นำทัพพิภพ ้าไปดูหอคัมภีร์ชั้นสองจึงปล่อยผ่าน
เมื่อเดินเข้าหอคัมภีร์ ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ เมื่อเห็นเขาก็ไม่ได้โยนป้ายให้ทันที หากแต่กำชับให้เขาอย่าอยู่นานเกินไป จากนั้นค่อยโยนป้ายให้
โหยวเสี่ยวโม่รู้ความหมาย จึงพยักหน้ารับ จากนั้นถือป้ายเข้าไปยังฝั่งตะวันตก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้