หรงจ้านมองพิจารณาเฉียวเยว่ รู้สึกว่าอาการของนางไม่ปรกตินัก แต่เขาคิดว่าเป็ไปไม่ได้ที่นางจะเพียงรู้สึกขัดเขิน
ดวงหน้าเล็กจ้อยขาวซีด เขาวางใจไม่ลง แต่หรงจ้านมักเงียบจนเป็นิสัย ไม่ว่าเื่ใดจะไม่พูดออกไปตรงๆ "เ้ากินเยอะจนท้องอืดรึ?"
บอกตามตรง นางอยากจะกัดเขาให้ตายจริงๆ
"หากท่านพูดไม่เป็จะไม่พูดก็ได้" นางเอ่ยอย่างหัวเสีย
"หน้าซีดราวกับผี ยังบอกว่าตนเองไม่เป็อะไร"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ในใจของหรงจ้านกลับกังวลอย่างมาก แต่เขาไม่แสดงออกมา เพียงแค่พูดว่า "ข้าว่าเ้าควรดูให้ดีเสียก่อนมิเช่นนั้นจะเป็การใส่ความผู้อื่น"
เฉียวเยว่พยายามข่มกลั้นไฟโทสะของตนเอง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด นางอยากระบายความโกรธมากจริงๆ พอเห็นคนผู้นี้ก็รู้สึกว่าย่ำแย่ไปเสียทุกสิ่ง อยากโมโห อยากอาละวาดให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้าง ฮึก ฮึก ฮึก
เฉียวเยว่พยายามสงบอารมณ์ก่อนเอ่ยปาก "ข้าไม่เป็อะไรจริงๆ"
อาจเป็เพราะพฤติกรรมการกินที่ไม่ดี นางเป็คนกินเยอะ มักเกิดปัญหารบกวนเช่นนี้บ่อยครั้ง
เฉียวเยว่มองไปทางสุขา แล้วส่งสัญญาณลับให้พวกเขา
หรงจ้านยังไม่รู้สึกถึงคำเตือน แต่ยังดีที่มีรัชทายาท เขายิ้มอย่างสุภาพอ่อนโยน สายตาที่มองเฉียวเยว่ละมุนละไมอย่างยิ่ง "เอาล่ะ พวกเราไปเรือนหน้ากันเถอะ"
หรงจ้านมองรัชทายาทปราดหนึ่ง ก่อนแค่นเสียงหึ น้ำเสียงมีความเ็ากว่าเดิมหลายส่วน "เ้าช่างเป็คนดีเสียจริง"
รัชทายาทยิ้มน้อยๆ "ช่วยไม่ได้ ใครให้ข้าเป็พี่ชายแสนดีเล่า แต่ใครบางคนที่ผ่านมาก็น่าบีบคอให้ตายจริงๆ"
คำกล่าวของรัชทายาททำให้เฉียวเยว่ตกตะลึง บอกตามตรง นางนึกว่าการแสดงออกของตนเองก็มิได้ชัดเจนมาก ดูท่าพวกเขาคงรู้กันหมดแล้วสินะ ฮือๆ แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เฉียวเยว่รู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่ง ที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้
นางเงยหน้าเอ่ยเสียงเบา "เสด็จพี่รัชทายาท ท่านพี่จ้าน พวกเราไปก่อนนะเพคะ" นางพยายามอดกลั้น พยายามควบคุมให้อยู่
ยื่นมือซ้ายมือขวาไปจูงข้างละคน แล้วรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
หรงจ้านมองเงาหลังของพวกนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ท่านช่างไร้ศีลธรรมยิ่งนักที่แพร่ข่าวลือเยี่ยงนั้นออกไปได้ หากเฉียวเยว่รู้ว่าต้นตอผู้กุข่าวลือเ่าั้คือท่าน ข้าว่าท่านคงจะไม่ได้รับผลดีอย่างแน่นอน" รัชทายาทเอ่ยเสียงเบา
หรงจ้านเลิกคิ้วอย่างมีความหมายล้ำลึก "ข้าไม่เข้าใจว่าเ้าพูดเื่อะไร หากเ้ารู้สึกว่าคนปล่อยข่าวลือคือข้า เช่นนั้นเ้าก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว"
รัชทายาทเลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ "ไม่รู้หรือ? เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่า การที่ข้าคุยกับเฉียวเยว่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้"
หรงจ้านสบตากับรัชทายาท หากพินิจให้ดีจะเห็นประกายไฟแตกเปรี๊ยะๆ ภายในดวงเนตรของรัชทายาท
หรงจ้านพลันรู้สึกหนักใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ไม่รู้ว่ามันเริ่มั้แ่เมื่อไร ดูเหมือนทุกคนล้วนแต่หมายตาเฉียวเยว่ เขาจะชอบใครสักคนไยต้องมีอุปสรรคขัดขวางไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ด้วย
รัชทายาทกล่าวอีกว่า "เฉียวเยว่เห็นข้าเป็พี่ชาย ข้าก็เห็นนางเป็น้องสาว มีคนรังแกน้องสาว ข้าจะไม่นิ่งดูดาย ญาติผู้พี่จ้าน คนเราจะคิดว่าตนเองถูกอยู่ฝ่ายเดียวมิได้"
หรงจ้านหัวเราะเยาะ "คำกล่าวประโยคนี้ ข้าก็ขอมอบให้แก่เ้าเช่นกัน อย่าคิดแต่ว่าตนเองถูกต้องเสมอไป"
รัชทายาทมองหรงจ้านอย่างคลางแคลง หรงจ้านสบตาเขา แล้วเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน "ข้าไม่มีทางทำเื่เช่นนี้ ไม่ว่าพวกเ้าจะคิดเช่นไร ข้าบอกว่าไม่ก็คือไม่" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วอมยิ้ม "อย่างไรเสียข้าก็ไม่ใช่คนต่ำช้าสามานย์เยี่ยงพวกเ้า"
รัชทายาทหลุบสายตา ย้อนถามอย่างหนักแน่น "เ้าไม่ใช่คนต่ำช้าสามานย์? ช่างน่าขันยิ่งนัก ครึ่งชั่งแปดตำลึง [1] อย่าไปพูดกับใครจะดีกว่า"
ทั้งสองต่างจ้องตาอีกฝ่าย ประหนึ่งว่าจะพุ่งเข้ากัดกันในอีกไม่ช้า
แต่เคราะห์ดี รัชทายาทยังคำนึงถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น จึงเอ่ยว่า "ข้าจะตรวจสอบให้แน่ชัดว่าใครเป็ผู้ปล่อยข่าวลือเหล่านี้ หากข้ารู้ว่าเป็ท่าน ข้าก็ไม่ถือสาที่จะบอกความจริงกับเฉียวเยว่"
แม้จะเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ รัชทายาทก็ยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนงามสง่า
หรงจ้านแค่นเสียงเยาะ "เ้าดูแลชายาของตนเองให้ดีเถอะ อย่าวิตกมากจนก่อเื่น่าอดสู เื่ของเฉียวเยว่ไม่เกี่ยวกับเ้า ข้าไม่อยากให้นางต้องเดือดร้อน"
"เ้ารู้ได้อย่างไรว่าความเดือดร้อนของนางมิได้เกิดมาจากตัวเ้า?"
รัชทายาทไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อย กล่าวอีกว่า "ยังมีอีกเื่ ข้าหวังว่าเ้าจะเข้าใจ ข้าไม่ปรารถนาให้เฉียวเยว่ถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับปัญหาระหว่างเ้ากับมู่หรงจิ่ว ใครสมองมีปัญหาก็ไปหาหมอหลวงรักษาเอาเอง หากเดือดร้อนมาถึงเฉียวเยว่ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ"
หรงจ้านมองรัชทายาทเงียบๆ สายตาฉายแววคลุมเครือ
"คนที่มู่หรงจิ่วส่งเข้ามาแฝงตัวในเมืองหลวง ข้าจะส่งไปให้ท่าน ท่านคงรู้เกี่ยวกับพวกเขาดีอยู่แล้วกระมัง?"
รัชทายาทนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวต่อไป "ข้าไม่รู้ว่าท่านมีแผนการอันใด แต่อย่าให้แผนการของท่านส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของจวนซู่เฉิงโหวเป็อันขาด ท่านควรรู้ว่านั่นคือจวนของพ่อตาข้า ท่านไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขาได้ แต่ข้าทำได้"
หรงจ้านหัวเราะหึๆ "ไฉนถึงหน้าใหญ่เป็กะละมังเช่นนี้ เ้าทำได้หรือ?"
รัชทายาทเอ่ยอย่างจริงจัง "ญาติผู้พี่จ้าน ข้ารู้ท่านเก่งกล้าสามารถ และแข็งแกร่งกว่าพวกเราทุกคน แต่ท่านหัวรุนแรงเกินไป ในความเห็นของข้า เฉียวเยว่ถึงจะสำคัญที่สุด"
"ก็เพราะความคิดเช่นนี้ของเ้าถึงทำให้คนเข้าใจผิด และทำให้พวกเขาคิดว่าเฉียวเยว่จะแต่งมาเป็ชายารองของจวนรัชทายาท แต่ข้าขอเตือนเ้า อย่าคิดว่าตนเองถูกต้องเสมอไป ท่าทีของเ้าเองนี่แหละที่จะสร้างปัญหามาให้เฉียวเยว่ไม่จบไม่สิ้น และทำให้ชายาของเ้าเองเข้าใจผิดเช่นกัน อ้าปากก็เฉียวเยว่หุบปากก็เฉียวเยว่ มีสักกี่ประโยคที่เ้าเอ่ยถึงซูอิ้งเยว่ เ้าควรตระหนักได้ว่าชายาของตนเองแท้จริงแล้วคือใครกันแน่"
พูดจบ หรงจ้านก็หันหลังจากไป ไม่ร่วมทางไปพร้อมกับรัชทายาท
เขาเดินมาสวนด้านหลัง แล้วนั่งอยู่ที่นั่นเงียบๆ เพียงลำพัง ในใจสับสนว้าวุ่นห้าอารมณ์ผสมปนเป หรงจ้านเป็คนที่มีความมั่นใจในตนเองสูง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็มนุษย์คนหนึ่ง ่นี้ถูกคนปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจไหนเลยจะไม่สั่นคลอนแม้แต่ส่วนเสี้ยว
หากพวกเขาบอกว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเฉียวเยว่ เขาก็สามารถโต้แย้งได้ แต่นี่กลับไม่ใช่
พวกเขาล้วนแต่เอาเื่ความปลอดภัยของเฉียวเยว่มาเป็หลักประเมิน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หรงจ้านย่อมไร้ถ้อยคำตอบโต้ เื่ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด และเฉียวเยว่ก็สำคัญที่สุดจริงๆ
หรงจ้านนั่งใคร่ครวญเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
พวกเฉียวเยว่สามคนเดินกลับมาพร้อมกัน เห็นหรงจ้านนั่งอยู่ข้างบันไดอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ชวนให้คนรู้สึกหดหู่ ซึ่งเป็อารมณ์ที่ไม่เคยมีใครรู้สึกกับหรงจ้านมาก่อน
ถึงขั้นให้ความรู้สึก... เปราะบางและอ่อนแอ
ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ
เฉียวเยว่คิดแล้วก็เอ่ยว่า "พวกเ้ารอข้าสักครู่"
นางเดินเข้าไปถึงข้างกายหรงจ้าน มองเขาแล้วเอ่ยว่า "คนคลั่งความสะอาด ท่านไม่รังเกียจความสกปรกบ้างหรือ?"
หรงจ้านเงยหน้า ชั่วขณะที่เขารู้สึกอับจนและสับสนหลงทางอย่างที่สุด เฉียวเยว่ก็มาปรากฏตัวต่อหน้า
ชั่วพริบตานั้นเขาพลันรู้สึกอบอุ่นใจ
ใช่ เขาชอบเฉียวเยว่ หรือไม่ก็อาจเป็... ความรัก
ทุกคนต่างคิดว่าเขาไม่อาจดูแลนางอย่างดี คิดว่าเขาจะทำให้เฉียวเยว่ต้องเดือดร้อน แต่แล้วอย่างไรเล่า เขาเข้าใจหัวใจของตนเองกระจ่างชัดยิ่ง รู้ว่าไม่อาจปล่อยนางไปได้ และรู้ว่าตนเองสามารถปกป้องเฉียวเยว่ได้อย่างแน่นอน
เมื่อเขาชอบนางจริง เขาก็จะใช้กำลังความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้อง นางไม่จำเป็ต้องหวาดวิตกกับเื่ราวใดๆ
เขาจะทะนุถนอมเฉียวเยว่ดุจบุปผาในอุ้งมือ เขาทำได้!
นึกมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าหรงจ้านจะรู้แจ้งในชั่วพริบตา
ใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่หรงจ้านทำไม่ได้ เมื่อเป็เช่นนี้ มีสิ่งใดที่จะต้องลังเลใจอีกเล่า
"ข้าจะรังเกียจความสกปรกหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับแม่หนูน้อยอย่างเ้า?" หรงจ้านเอ่ยเสียงเรียบ
ไม่ว่าในใจจะชอบเฉียวเยว่ปานใด คำพูดของเขาก็ยังทำให้คนอึดอัดใจได้เสมอ เฉียวเยว่ฟังแล้วมุมปากกระตุก หัวคิ้วย่นเข้าหากัน "ช่างเป็สุนัขกัดหลี่ว์ต้งปิน ไม่รู้จักเจตนาดีของผู้อื่นจริงๆ"
หรงจ้านอมยิ้ม "เ้าว่าผู้ใดเป็สุนัข?"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ บอกไปตามตรง "เป็ท่าน เป็ท่าน เป็ท่าน!"
หลังจากนั้นก็หมุนตัวจากไป นางไม่เหมือนแม่นางน้อยอายุสิบสามทั่วไป ในความสงบนิ่งแฝงเจือไปด้วยความเอียงอายของดรุณีน้อย แต่ก็ร่าเริงสดใสดุจดวงตะวัน
เฉียวเยว่เดินมาถึงข้างกายหรงฉางเกอ ก็บ่นอุบ "เด็กในครอบครัวของพวกเ้าอบรมสั่งสอนกันมาอย่างไร ถึงไม่มีใครปรกติสักคน"
หรงฉางเกอมุมปากกระตุก หลังจากนั้นก็ทุบเฉียวเยว่ "เ้าว่าใคร เ้าว่าใครไม่ปรกติฮึ!"
เฉียวเยว่เบี่ยงตัวหลบพลางหัวเราะคิกคัก
งานเลี้ยงจวนรัชทายาททุกอย่างเป็ไปด้วยดี แต่ทุกอย่างที่ว่านั่นไม่รวมถึงเฉียวเยว่ นางไม่รู้ว่าตนเองเป็อะไร รู้สึกปวดท้องหน่วงๆ อยู่ตลอดเวลา แต่จะว่าท้องเสียก็ไม่ใช่
เฉียวเยว่ใคร่ครวญอยู่ครึ่งวัน ตรองดูว่าตนเองกินอะไรผิดสำแดงหรือไม่ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้
นางถอนหายใจ ด้วยความรู้สึกทรมาน
"อวิ๋นเอ๋อร์ ข้าอยากไปสุขาอีกรอบ เ้าไปเป็เพื่อนข้าหน่อยสิ"
อวิ๋นเอ๋อร์เห็นเฉียวเยว่อาการไม่ดี ก็ตอบทันที "เ้าค่ะ คุณหนูไม่สบายตรงไหนหรือเ้าคะ พวกเรากลับกันก่อนดีหรือไม่?"
ทั้งสองลุกขึ้นออกไปข้างนอกอีกหน หยาดเหงื่อเท่าเมล็ดถั่วของเฉียวเยว่ร่วงเผาะลงมา "ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็อะไร แค่ไม่สบาย แต่มิใช่ปัญหาใหญ่โต อย่ารบกวนผู้อื่นดีกว่า"
"คุณหนูเจ็ดสกุลซู" สวี่ม่านหนิงก็อยู่ นางเดินมาข้างกายเฉียวเยว่ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "คุณหนูเจ็ดไม่สบายหรือ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้าอมยิ้ม "ขอบคุณมากที่ห่วงใย"
หลังจากนั้นก็ดึงอวิ๋นเอ๋อร์จากไป
พี่สาวของนางย่อมไม่เชื้อเชิญสวี่ม่านหนิง แต่องค์หญิงหรงเหยียนเป็คนพานางมา
องค์หญิงหรงเหยียนเป็พระขนิษฐาแท้ๆ ของรัชทายาท ย่อมสามารถพาแขกไปได้ แม้สวี่ม่านหนิงจะไม่ได้รับเชิญ แต่นางเป็คนพาคนมา ทุกคนย่อมไม่อาจว่ากล่าว แต่อาจเป็เพราะมีสวี่ม่านหนิงอยู่ บรรยากาศโดยรวมจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะในหมู่หญิงสาวเ่าั้ที่ค่อนข้างจะอึดอัดใจเป็พิเศษ
เฉียวเยว่ไม่อยากเจอหน้าสวี่ม่านหนิง จึงพูดกับอวิ๋นเอ๋อร์ "พวกเรารีบไปกันเถอะ"
สวี่ม่านหนิงมองเงาหลังของเฉียวเยว่ที่ไปไกลแล้ว แววตาดำทะมึน
แต่ไม่ช้าหรงเหยียนก็เดินมาข้างกาย เอ่ยว่า "เหตุใดออกมานานนักเล่า?"
"พบกับคุณหนูเจ็ดสกุลซูเพคะ" สวี่ม่านหนิงตอบ
หรงเยียนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "อ้อ...."
หางเสียงลากยาว แววตาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างแฝงไปด้วยเจตนาร้าย...
...
[1] ครึ่งชั่งแปดตำลึง มีความหมายว่าพอๆ กัน ไม่แตกต่างกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้