เจินจูหิ้วผลไม้เชื่อมและเกาเตี่ยนหนึ่งห่อใหญ่ตามหลังกลับมาช้านิดหน่อย
หลังจากจ่ายค่ายาสมุนไพรของฟางเสิงไปแล้ว สี่คนก็บอกลาท่านหมอจาง
เกวียนล่อเคลื่อนไปทางฝั่งตะวันตกของเมืองช้าๆ
อาชิงตื่นเต้นดีใจมาก เพิ่งออกจากวัดเฉิงหวงมาแค่สิบวันเป็เวลาสั้นๆ ชีวิตท้อแท้ยากลำเค็ญในเมื่อก่อนคล้ายกับห่างออกมาไกลมากแล้ว
ทะลุผ่านป่าผืนเล็กนั้นไป วัดเฉิงหวงทั้งเก่าทั้งชำรุดยังคงตั้งตระหง่านอยู่
“อาหยุน อากาง ก่าจื่อ…”
อาชิงเห็นเงากายคุ้นเคยสองสามคนหน้าวัดเฉิงหวง จึงร้องะโออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อาชิง”
เด็กหนึ่งกลุ่มร้องขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
เกวียนล่อค่อยๆ หยุดลง อาชิงะโลงไป
เด็กสองสามคนห้อมล้อมเขา ทั้งะโทั้งส่งเสียงดัง ต่างพากันดีใจอย่างมาก
ในวัดมีคนยื่นตัวออกมาสังเกตการณ์ หลังพบว่าเป็สองศิษย์อาจารย์ ล้วนทยอยกันเดินออกมา
“อาชิง พวกเ้ากลับมาแล้ว” คนชราขาเป๋เดินออกมาอย่างกะโผลกกะเผลก
“นายท่านหลิน!” อาชิงยิ้มและร้องทักทาย แล้วยังะโไปทางข้างหลังเขาอีกด้วย “อาสะใภ้หยาง”
คนในวัดทยอยเดินออกมาอย่างต่อเนื่อง ล้อมรอบพวกเขาทักทายอยู่พักหนึ่ง
“อาชิง ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เ้าล้วนมีเนื้อมีหนังขึ้นแล้ว”
“อาจารย์ฟาง ร่างกายของท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
“คุณหนูหู คุณหนูใจดี ตาเฒ่าติงให้พวกข้ามาขอบคุณท่านกับบิดาของท่าน”
“นายท่านหู ครั้งก่อนร้านข้าวและธัญพืชนำข้าวสารและแป้งหมี่มามอบให้มากมายเพียงนั้น ขอบคุณพวกท่านมากๆ เลย”
“…”
หูฉางกุ้ยประคองฟางเสิงลงมาจากเกวียนล่อ แล้วย้ายของทั้งหมดบนเกวียนลงมา
ทุกคนในวัดกระตือรือร้นพากันเข้าไปช่วย
“ไอ๊หยา ในตะกร้านี้เป็กระต่ายหลายตัวเลยนี่”
“ตะกร้านี้ก็เป็กระต่ายเช่นกัน รูปร่างค่อนข้างใหญ่มากด้วย”
ทุกคนรีบเข้าใกล้รุมล้อมทันที
เจินจูเดินมาข้างหน้า ยิ้มแล้วอธิบาย “นี่เป็กระต่ายที่ครอบครัวข้าเลี้ยงไว้ มาครั้งนี้ตั้งใจนำมาให้พวกท่านโดยเฉพาะเจ็ดตัว ตัวผู้หนึ่งตัว ตัวเมียหกตัว เลี้ยงดีๆ ไม่ต้องใช้เวลานาน กระต่ายตัวเมียจะสามารถออกลูกกระต่ายได้ พอเลี้ยงลูกกระต่ายให้โตก็สามารถนำกระต่ายตัวผู้ไปขาย ส่วนกระต่ายตัวเมียเก็บไว้สืบพันธุ์รุ่นต่อไป วนเวียนซ้ำกันไปเช่นนี้ นานวันไปในอนาคตกระต่ายจะยิ่งมากขึ้น ทุกคนสามารถใช้การเลี้ยงกระต่ายนี้มาเสริมค่าใช้จ่ายในชีวิตได้ด้วย”
คำพูดของนางราวกันหยดน้ำร่วงลงหม้อน้ำมันร้อนผ่าว ทำให้ทุกคนโดยรอบเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมาฉับพลัน
ในวัดเฉิงหวงแห่งนี้ รับช่วยเหลือคนที่ตกยากและผิดหวังมาไม่น้อย คนที่เข้มแข็งหายดีหรือหาช่องทางได้แล้วจากไปก็มีมากเช่นกัน ในบางครั้งจะมีคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากที่นี่และหันกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขา ส่วนใหญ่ที่มีกำลังความสามารถล้วนนำข้าวธัญพืชหรือเงินทองเล็กน้อยมาให้บ้าง แต่เหมือนเช่นสกุลหู ที่ปูทางเพื่ออนาคตให้พวกเขาเช่นนี้ กลับไม่เคยพบมาก่อนเลย
พวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนถูกคนในครอบครัวหรือคนในตระกูลเดียวกันทอดทิ้ง สภาพจิตใจสามารถผ่านไปได้หนึ่งวันก็นับเป็หนึ่งวัน มีน้อยคนนักที่จะคิดวางแผนเพื่ออนาคต แน่นอนว่าต่อให้มีความคิดเช่นนี้ก็ต้องมีความสามารถด้วยถึงจะทำได้
การกระทำนี้ของสกุลหู เป็การคิดใคร่ครวญเพื่อพวกเขาอย่างจริงใจโดยไม่ต้องสงสัย
ความรู้สึกในใจของทุกคนล้วนมีบางอย่างสาดซัด สายตาที่มองสองพ่อลูกสกุลหูล้วนมีความเคารพนับถืออย่างเข้มข้น
“กระต่าย เลี้ยงให้มีชีวิตได้หรือ?”
อาหยวนสาวน้อยบนใบหน้ามีปานมาแต่กำเนิดถามด้วยความจริงจัง
“เลี้ยงได้สิ แค่มีบางเื่ต้องใส่ใจระวังมากหน่อย อีกสักครู่ข้าจะบอกแก่พวกท่านโดยละเอียด” เจินจูยิ้มแย้มอ่อนโยน
นางใคร่ครวญแผนช่วยเหลือมาไม่น้อย สำหรับคนชรา คนอ่อนแอ คนป่วย และคนพิการในวัดเฉิงหวง ที่มีชีวิตความเป็อยู่เช่นทุกวันนี้ ต้องพึ่งพาคนบริจาคหรืออาศัยการประคับประคองของตาเฒ่าติงคนเดียว ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่ใช่แผนการที่จะดำเนินชีวิตในระยะยาว
หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้ [1] เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเื่ต่างๆ หรือเคลื่อนไหวชีวิตกันเองได้ อย่างน้อยพวกเขาต้องมีทักษะความชำนาญในการใช้ชีวิตหนึ่งอย่างที่เอาออกมาใช้ได้
ทักษะที่เจินจูเอาออกมาให้ได้ตอนนี้มีเพียงการเลี้ยงกระต่ายอย่างเดียว
นางเคยคิดจะให้คนในวัดขายช่วนช่วนเซียง วัดเฉิงหวงอยู่ใกล้เขตอำเภอ วัตถุดิบพวกน้ำแกงสามารถปรุงเตรียมไว้ได้ เข้าเมืองไปขายสะดวกสบายมากๆ
แต่สูตรลูกชิ้นปลาได้ขายให้กับสือหลี่เซียงไปแล้ว และการปรุงรสอาหารเดิมทียังไม่เรียบร้อยดีทั้งหมด หากขาดลูกชิ้นไปยิ่งไม่ค่อยเหมาะ
คิดไปใคร่มา สุดท้ายเลยละทิ้งโครงการนี้ไป
การเลี้ยงกระต่ายต้นทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย แม้ระยะรอบในการเจริญเติบโตของกระต่ายจำเป็ต้องใช้เวลานิดหน่อย แต่ขอแค่จัดการดูแลอย่างเหมาะสม หลังจากที่กระต่ายกลายเป็ฝูงแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่เลวเลย
ลากเกวียนล่อไปผูกไว้หน้าประตูวัด สิ่งของบนเกวียนล้วนย้ายลงมาทั้งหมด
ผ้าพับกองอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะที่ขาไม่สมประกอบข้างอารามวัด
ขนมหวานและผลไม้เชื่อม ไข่ไก่กับเนื้อตากแห้งวางไว้บนโต๊ะตัวเดียวกัน
ไข่ไก่หนึ่งตะกร้ากับเนื้อกวางหนึ่งชิ้นใหญ่เป็ของที่นำมาจากบ้านโดยเฉพาะ
“มีเนื้อด้วย!”
อากางอายุเก้าปีสองตาเป็ประกาย มองชิ้นเนื้อบนโต๊ะ นานแล้วที่ไม่ได้ััรสชาติเนื้อ เมื่อนึกถึงรสชาติของเนื้อ น้ำลายของเขาล้วนไหลลงมา
ส่วนเด็กอายุน้อยไม่กี่คนล้อมอยู่รอบขนมหวานและผลไม้เชื่อม แววตามีความปรารถนาประกายออกมา
“นี่ให้ ทุกคนล้วนชิมดู” เจินจูเปิดขนมออกหนึ่งห่อ นำลี่จื่อเกาในห่อยื่นไปตรงหน้าเด็กๆ คนละชิ้น
บนใบหน้าของเด็กๆ เขินอายไม่เป็ธรรมชาติ และปรากฏให้เห็นความดีใจเล็กน้อย
เด็กที่ได้รับลี่จื่อเกามีรอยยิ้มสว่างไสวไร้เดียงสา
กระต่ายเจ็ดตัวขังอยู่ในตะกร้ามาสองถึงสามชั่วยาม ต่างไม่มีชีวิตชีวาดูอ่อนล้าไปนานแล้ว
หูฉางกุ้ยกับเจินจูสองคนมอบหมายงานกันทำ
หูฉางกุ้ยรับผิดชอบนำผู้ชายสองสามคนสร้างกรงกระต่ายที่เหมาะสม เจินจูรับผิดชอบสอนหัวข้อการเลี้ยงกระต่ายแต่ละอย่างที่ควรระมัดระวัง ตลอดจนให้รู้จักหญ้าเลี้ยงสัตว์แต่ละอย่างที่กระต่ายชอบกินแก่ผู้หญิงสองสามคน
วัดเฉิงหวงชำรุดทรุดโทรม ขณะนี้มีเสียงดังครึกครื้นปนเปกันไปชั่วขณะ
อาหยวนจะเป็คนรับผิดชอบเลี้ยงกระต่ายเป็หลัก
นางเป็พี่สาวคนหนึ่งที่โตที่สุดในหมู่เด็กๆ
นางฉลาดมาก หลายเื่ที่กล่าวออกมารอบเดียวนางก็จำได้แล้ว
ได้ยินว่าภายใต้การสั่งสอนของซิ่วฉายหยางและมารดาของอาหยุนอยู่ตลอดเวลา นางนับเป็คนที่รู้ตัวอักษรได้ดีที่สุดคนหนึ่ง
อาหยวนรูปร่างไม่สูง หากไม่มองตำหนิบนหน้าผากขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ นับเป็แม่นางที่สวยสดงดงามคนหนึ่งเลย
อุปนิสัยใจเย็นละเอียดรอบคอบ น้องชายน้องสาวภายในวัดนางล้วนช่วยดูแล
ทำการเลือกสถานที่เลี้ยงกระต่ายให้อยู่ในห้องข้างห้องโถงใหญ่และห้องสำคัญ เป็ห้องที่สองศิษย์อาจารย์เคยอยู่
เมื่อเก็บกวาดจนสะอาด และใส่กรงกระต่ายเข้าไป ดูไปแล้วก็ได้มาตรฐานอยู่เช่นกัน
กระต่ายป่าผ่านการสืบพันธุ์มาสองสามรุ่นแล้ว ไม่ได้นิสัยก้าวร้าวฝึกยากเพียงนั้น รวมกับเจินจูให้ผลผลิตจากมิติช่องว่างเลี้ยงอยู่บ่อยๆ แม้กระต่ายจะอ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรง แต่มีความนุ่มนวลไม่ทะเลาะกันอีก
หูฉางกุ้ยกับเจินจูยากที่จะปฏิเสธการเชื้อเชิญได้ จึงทานมื้อกลางวันร่วมกับทุกคนอยู่ในวัดเฉิงหวง
อาหารกลางวันธรรมดามาก เคี่ยวโจ๊กข้าวที่ค่อนข้างเข้มข้น ผัดพริกถั่วฝักยาวหนึ่งกะละมัง ผัดผักดองใส่เนื้อกวางหนึ่งกะละมังกับน้ำแกงผักกาดเขียวใส่ไข่ไก่หนึ่งกะละมัง
เนื้อกวางตัดออกมาเพียงหนึ่งชิ้นเล็ก หั่นเป็แผ่นบางๆ ผัดกับผักดองหนึ่งกะละมังใหญ่ แบ่งไปในถ้วยของทุกคนมีเนื้อสองสามชิ้นได้ก็ไม่เลวแล้ว
แต่จากการแสดงออกเห็นได้ว่าทุกคนล้วนหน้าบานด้วยความปีติยินดี พวกเขาพึงพอใจมาก
“อร่อยจริงๆ เ้าค่ะท่านแม่ นานแล้วที่ข้าไม่ได้ทานเนื้อ” ดวงตาสีดำขาวแยกชัดเจนของอาหยุนมีน้ำตาคลอวิบวับ คิ้วกับตาโค้งด้วยความดีใจ
“อื้ม อาหยุนทานมากหน่อย” มารดาของอาหยุนเลือกเนื้อหนึ่งแผ่นในถ้วยตนเองออกมา คิดจะวางเข้าไปในถ้วยของอาหยุน
อาหยุนย้ายถ้วยหลบไปด้านหนึ่ง “ท่านแม่ ท่านทานเองเถอะเ้าค่ะ ท่านหมอบอกแล้วว่าท่านต้องทานของมากหน่อย ร่างกายถึงจะเปลี่ยนมาดีได้ ท่านพ่อบอกว่า ให้อาหยุนเฝ้าท่านแม่ทานข้าวดีๆ”
“…” มารดาของอาหยุนมองลูกสาวที่รู้ความด้วยความเ็ปใจ
อาการป่วยของนาง นางรู้ ไม่แน่ว่าจะจากไปกะทันหันตอนไหนก็เป็ได้
นางทำใจไม่ได้จริงๆ
เบ้าตาอดแดงรื้นขึ้นมาไม่ได้ มารดาของอาหยุนรีบพุ้ยข้าวเข้าในปากตนเองอย่างระงับอารมณ์ไว้
เจินจูมองเหตุการณ์ของสองแม่ลูกอยู่ในสายตา
แล้วจึงคิดขึ้นได้ว่าเื่ของซิ่วฉายหยางยังไม่ได้ตัดสินใจเลย
หรือว่า... เขาจะไม่กลับมาทานข้าวกลางวันในวัดหรือ?
ขณะที่คิดก็เห็นว่าอาหยุนวิ่งออกไปทางประตูวัด
“ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว!”
กล่าวถึงโจโฉ โจโฉก็มา [2]
ซิ่วฉายหยางอายุยี่สิบต้นๆ รูปร่างไม่สูง ลักษณะผอมซูบ สวมเสื้อคลุมชายยาวสีดำ ท่าทางสุภาพมีมารยาท ค่อนข้างมีความเป็ปัญญาชนเล็กน้อย
มารดาของอาหยุนรีบวางถ้วยและตะเกียบลง เดินเข้าไปหาข้างหน้า สองคนกระซิบกระซาบกันสองสามประโยค
ซิ่วฉายหยางวางตะกร้าหนังสือที่แบกอยู่บนหลังลง เดินไปข้างกายอาจารย์ฟางเสิงและอาชิง
บนใบหน้าทั้งสองคนมีรอยยิ้มประดับอยู่ ต่างฝ่ายต่างทักทายปราศรัยกัน
หลังทักทายกันแล้ว อาชิงก็พูดแทรกขึ้นมากะทันหันสองสามประโยค
สีหน้าของซิ่วฉายหยางงุนงง แสดงออกราวกับว่าลังเลใจแล้วกลับไปท่าทางห่อเหี่ยวอีกครั้ง
มารดาของอาหยุนไปข้างแท่นเตา ยกอาหารกลางวันที่เก็บไว้ให้เขาออกมา
บนใบหน้าป่วยอ่อนแอผอมซูบของซิ่วฉายหยางมีความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจได้
เขาจัดระเบียบส่วนบนของเสื้อคลุมจีน หลังจากนั้นเดินมาทางหูฉางกุ้ยกับเจินจู
“ข้าน้อยหยางเสี่ยนซาน คารวะนายท่านหู คุณหนูหู” ซิ่วฉายหยางประสานมือโน้มตัวคำนับ
“มิ... มิบังอาจ” ชั่วพริบตาเดียวหูฉางกุ้ยมีสีหน้าแดงลุกลามขึ้น รีบโบกมือพัลวัน
เจินจูตีแขนของหูฉางกุ้ยเบาๆ แสดงเจตนาให้เขาไม่ต้องตื่นตระหนกจนเกินไป
“นายท่านสกุลหูสั่งสมคุณธรรมความดี มีความเมตตากรุณาแผ่ไปถึงลูกหลาน ท่านเป็คนมีคุณธรรมนัก แน่นอนว่าพวกข้ารับไว้ได้” หยางเสี่ยนซานโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้ง
“นี่ ข้า… ไม่ใช่…” หูฉางกุ้ยเหงื่อซึมออกมาบนหน้าผากเล็กน้อย แล้วยิ่งตื่นตระหนกขึ้นจนกล่าวตะกุกตะกัก
“ความหมายของท่านพ่อข้าคือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเหนื่อยเท่ายกมือเท่านั้นเอง พวกข้าแบกรับหมวกใบใหญ่เพียงนั้นไว้ไม่ได้หรอก [3]” เจินจูไม่มีทางเลือก จึงรับเอาหน้าที่กล่าวแทนผู้เป็บิดามา
“สั่งสมคุณธรรมความดีไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หากสั่งสมมานานก็กลายเป็คุณธรรมอันสูงส่งยิ่งใหญ่ได้ นายท่านหูไม่จำเป็ต้องถ่อมตัว” ซิ่วฉายหยางสีหน้าท่าทางเข้มงวด
“…” ซิ่วฉายหยางผู้นี้จะเคร่งในกฎเกณฑ์เกินไปแล้วหรือไม่?
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมอง แล้วฟังเขากล่าวต่อ “เมื่อสักครู่นี้ได้ฟังอาชิงกล่าว นายท่านหูเปิดโรงเรียนในหมู่บ้าน ไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายเด็กอายุน้อยในหมู่บ้านที่เล่าเรียนตัวอักษรและฝึกฝนการต่อสู้ป้องกันตัว เป็การกระทำที่ดีงามจริงๆ ทำให้คนระดับข้าที่สามัญธรรมดามองด้วยความเคารพศรัทธาและเลื่อมใสนัก”
ทั้งตื้นตันจนน้ำตาจะร่วง ทั้งโบราณคร่ำครึ หากรวมกับความดื้อดึงอนุรักษ์นิยม เช่นนั้นค่อยเลือกคนมาเป็ฟูจื่ออีกทีดีกว่า
“ได้ฟังมาว่ากำลังตามหาฟูจื่อของโรงเรียน ไม่ทราบว่าพอจะเป็ไปได้หรือไม่ที่ข้าน้อยจะเสนอตัวเอง?” หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปทันที ซิ่วฉายหยางถามออกมาตามตรง
สายตาหูฉางกุ้ยเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว คำพูดของซิ่วฉายหยางเขาฟังจนเหนื่อยยากลำบากอยู่บ้าง ทำได้เพียงมองไปทางบุตรสาวของตนเอง
เจินจูยิ้มอย่างสวยงาม “ซิ่วฉายหยาง ท่านไปทานข้าวกลางวันก่อนเถอะเ้าค่ะ เื่ฟูจื่อไม่รีบร้อน รออีกเดี๋ยวพวกเราค่อยคุยรายละเอียดกัน”
มารดาของอาหยุนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ได้ยินดังนั้นจึงรีบยิ้มแล้วจูงซิ่วฉายหยางไป นิสัยของเขาบางครั้งดื้อรั้นพูดจาไม่เหมาะไม่ควร หากดื้อรั้นขึ้นมาต้องได้ข้อสรุปทันทีถึงจะเลิกลาได้
ซิ่วฉายหยางก็รู้ข้อเสียของตนเองดี จึงเชื่อฟังความคิดเห็นของมารดาอาหยุน
เจินจูผ่อนลมหายใจ นาง้าหาอาจารย์ที่สมเหตุสมผลและชำนาญในด้านการพลิกแพลง ปัญญาชนที่คร่ำครึและยึดมั่นเกินไป แิที่ไม่สอดคล้องกันยากที่จะสื่อสาร หากเชิญกลับไปทำได้เพียงเพิ่มความกลัดกลุ้มใจให้ตัวเองเท่านั้น
นางมองซิ่วฉายหยางผู้นี้ค่อนข้างมีความคร่ำครึของปัญญาชนอยู่เล็กน้อย สนทนากับเขาให้มากหน่อยแล้วค่อยทำการตัดสินใจชี้ขาดแล้วกัน
หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ หูฉางกุ้ยเห็นบุตรสาวยังไม่คิดจะกลับอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม จึงอยู่ในห้องเลี้ยงกระต่ายต่อ ช่วยซ่อมแซมประตูหน้าต่างที่ทั้งเก่าทั้งชำรุด
เจินจูอยู่กับอาหยวน กาจื่อและเด็กน้อยค่อนข้างโตสองสามคนในทุ่งกว้างที่ไม่ไกลจากวัด มาหาหญ้าเลี้ยงสัตว์ชนิดต่างๆ ที่กระต่ายชอบกิน
ผู่กงอิง [4] ต้นแปลนทิน [5] หญ้าหางแมว ต่างๆ เหล่านี้เป็ผักป่าและหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่กระต่ายกินได้ทั้งนั้น
เจินจูพาพวกเขาไปรู้จักแต่ละชนิดให้ชัดเจน อธิบายวิธีการเลี้ยงกระต่ายแต่ละหัวข้ออย่างไม่รู้เบื่อ
รอให้รู้จักผักป่าและหญ้าเลี้ยงสัตว์แต่ละชนิดชัดแจ้งแล้ว ตอนกลับมาที่วัด ในมือพวกเขาก็อุ้มกลับมาเป็กองเป็มัดด้วย
“พี่สาวสกุลหู ผู้เฒ่าติงกลับมาแล้ว!”
เชิงอรรถ
[1] หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้ หมายถึง สอนความรู้ให้กับคนอื่น สู้สอนวิธีหาความรู้ใส่ตัวไม่ได้ เป็คำสอนของเหลาจื่อ ที่ยกตัวอย่างของปลามาเพื่อเปรียบเทียบว่า หากให้ปลาไปคนที่ได้รับจะอิ่มในมื้อนั้นๆ แต่มื้อถัดไปเขาจะไม่สามารถหาทานเองได้
[2] กล่าวถึงโจโฉ โจโฉก็มา หมายถึง กำลังพูดถึงใคร คนนั้นก็ผ่านมาพอดี
[3] แบกรับหมวกใบใหญ่เพียงนั้นไว้ไม่ได้หรอก หมายถึง ไม่กล้ารับคำพูดยกยอสูงส่งขนาดนั้นไว้
[4] ผู่กงอิง (蒲公英) คือ ดอกแดดดิไลออน
[5] ต้นแปลนทิน (车前草) คือ หนึ่งในสมุนไพรที่สามารถพบเห็นได้ในไร่นาหรือตามเขตอบอุ่น ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Plantago เป็ที่รู้จักกันในชื่อกล้า, กล้ามากขึ้น, ข้าวฟ่าง, หูของกระต่าย, แพลนทาโก, ลันเตน, เซียเทเนอร์วิโอส หรือเซเทคอสตัส
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้