ดาร์เรลกลับบ้านมาในสภาพที่ดูมอมแมมไม่น้อย เสื้อผ้าเลอะไปด้วยคราบสกปรกเพราะเกิดจากการต่อสู้
“พ่อครับ คืนนี้ผมฆ่าแวมไพร์ได้ 3 ตน เป็อัลฟ่า 2 ตน เบต้า 1 ตนครับ”
ดาร์เรลรายงานคนเป็พ่อที่นั่งพักผ่อนตรงห้องโถงกลางของบ้านเหมือนอย่างทุกวัน
“อืม”
ไวล์เลอร์เพียงพยักหน้ารับเบาๆ น้ำเสียงและสายตาที่มองมาอย่างเ็าทำให้ดาร์เรลเดินกลับเข้าห้องของตนไปแบบเงียบๆ
“วันนี้ผมฆ่าได้ 2”
ยังไม่ทันที่ดาร์เรลจะได้ก้าวเท้าเข้าห้องก็ได้ยินเสียงของเฟอร์กัลพี่ชายคนที่สองพูดขึ้น แม้รู้ว่าจะต้องเ็ปแต่เขายังเลือกที่จะนิ่งฟัง
“ผมฆ่าได้ 3” เฟนโน่พี่ชายคนโตเอ่ยขึ้นบ้าง
“ผมก็ฆ่าได้พวกมัน 3 ตนเหมือนกัน เป็อัลฟ่าทั้งหมดเลย เป็ไงครับพ่อพวกเราเก่งไหม ?” ปิดท้ายด้วยพี่ชายคนที่สามอย่างลาร์ซ
“พวกลูกเก่งมาก อยากได้อะไรก็เอาไปซื้อ ไม่ต้องใช้เงินตัวเองหรอก เงินส่วนตัวเก็บเอาไว้แต่งเมียในอนาคต”
คนเป็พ่อยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกๆ ยื่นบัตรเครดิตให้กับทั้งสามคนเพื่อใช้จ่าย
สำหรับเขาไม่มีแม้คำชม ก็คงไม่ต้องถามถึงรางวัล เพราะาแที่ปรากฏบนใบหน้าคนเป็พ่อยังไม่เคยถามไถ่หรือแม้แต่แสดงออกถึงความห่วงใย ดาร์เรลเลือกที่จะปิดหูตัวเอง รีบเดินเข้าห้อง ถอดเสื้อผ้าอย่างรีบร้อนและเข้าห้องน้ำไปชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากตัว เขาปล่อยให้ความเศร้า ความอิจฉาริษยาหายไปพร้อมกับสายน้ำไหลผ่านลำตัว มือเรียวขัดถูไปทั่วกายขาวจนมั่นใจว่าตัวเองสะอาดดีแล้วเขาจึงออกจากห้องน้ำ สวมชุดนอนแล้วซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนหนา
แต่ถึงชีวิตจะต่ำต้อยสักเพียงไหนดาร์เรลยังคงยืนหยัดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
“สักวันจะต้องทำให้พ่อภูมิใจ”
นั่นคือสิ่งที่เขาคิดมาเสมอ แต่ถ้าเขายังทำอะไรซ้ำๆ เดิม ๆ พ่อของเขาก็คงมองเขาไร้ค่าไม่ต่างจากที่เป็ ดังนั้นดาร์เรลจึงคิดว่าเขาควรอัพเลเวลตัวเองโดยการฆ่าแวมไพร์ที่มีชื่อเสียงและอายุยืนยาว
ดิ เฮลเซอร์ คือตระกูลนักล่าปีศาจที่มีชื่อเสียงของรัฐ เราล่าทุกอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์ โดยเฉพาะพวกแวมไพร์แสนชั่วช้าที่คร่าชีวิตมนุษย์เพื่อดื่มเื ตระกูลของเราสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนั้แ่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ผู้นำตระกูลในตอนนี้ก็คือ ไวล์เดอร์ ดิ เฮลเซอร์ ซึ่งเป็พ่อของเขา ในแต่ละรุ่นจะคลอดลูกชายที่เป็อัลฟ่าสายเืพิเศษหรืออัลฟ่าเอส มีพละกำลังมากกว่าอัลฟ่าทั่วไปถึงสามเท่า แน่นอนว่าลูกชายทั้ง 3 เป็อัลฟ่าเอส จะมีเพียงดาร์เรลเท่านั้นที่เป็โอเมก้าเืบริสุทธิ์
ั้แ่จำความได้พ่อไม่เคยเรียกเขาว่าลูกเลยสักครั้ง สายตาที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง รังเกียจ เหยียดหยาม
ดาร์เรลไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกเกลียดชังนัก จนกระทั่ง เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ ลาร์ซพี่ชายคนที่สามของเขาได้เล่าเื่ราวในอดีต
ย้อนกลับไปเมื่อ ค.ศ. 1998……….
ทันทีที่คริสติน่ารู้ตัวว่าเธอตั้งท้องลูกคนที่สี่ เธอดีใจมากจึงรีบบอกสามีและลูกชายทั้งสาม ในตอนนั้นทุกคนต่างดีใจที่จะได้มีสมาชิกเข้ามาเพิ่ม ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของคริสติน่า ไวล์เดอร์เคยขอให้เธอเอาลูกออกเพื่อความปลอดภัย แต่ด้วยความรักของคนเป็แม่ที่มีต่อลูกน้อย เธอจึงยืนกรานที่จะเก็บดาร์เรลไว้
เพราะคริสติน่ารู้ดีว่าลูกน้อยในท้องของเธอพิเศษกว่าพี่ชายทั้งสาม เธอจึงประคบประหงมดูแลอย่างดีตามคำแนะนำของบาทหลวง ถึงแม้ว่าการตั้งครรภ์ครั้งนี้จะทำให้เธอทรมานเจียนตายแต่เธอก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือบอกสามีเลยสักครั้ง เธอยังคงอดทนและเฝ้ารอวันที่จะได้เจอลูกน้อยผู้เป็ที่รักยิ่ง
ทุกๆ ครั้งที่เธอเผลอทานเนื้อสัตว์จะสำรอกและอาเจียนออกมาจนหมด ในบางครั้งก็มีเืผสมออกมาด้วย ตลอดระยะเวลาที่เธอตั้งครรภ์ดาร์เรลจึงทานได้เพียงแค่พืชเท่านั้น ทุกอย่างที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ไม่สามารถแตะต้องมันได้แม้แต่นิดเดียว พอเข้าเดือนที่ 9 ท้องใหญ่มากจนน่ากลัวราวกับว่าท้องแฝด ทุกคนในตระกูลต่างเป็กังวลอย่างมากจึงต้องตามหมอมาดูแลอย่างใกล้ชิด แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อถึงเวลาที่ทารกน้อยจะคลอดออกมา ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากแม้แต่หมอก็ตั้งตัวไม่ทัน กระแสพลังบริสุทธิ์สีขาวดุจปุยเมฆแผ่กระจายออกมาก่อนจะห่อหุ้มทารกน้อยเอาไว้ราวกับเป็โล่เพื่อป้องกันภัยอันตราย เพศรองของทารกน้อยปรากฏชัดเจนั้แ่ออกจากท้องแม่โดยไม่ต้องรออายุครบสิบขวบ
หมอได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งมหัศจรรย์ตรงหน้า เพราะเขาก็ไม่เคยพบเจอมากก่อน กว่าหมอจะได้สติคริสติน่าก็ได้จากโลกนี้ไปแล้วเนื่องจากเสียเืเยอะจนเกินไป
เพราะการกำเนิดที่ผ่าเหล่าจึงทำให้ดาร์เรลเป็เหมือนตราบาปของตระกูล และยิ่งเป็ที่เกลียดชังของทุกคนเมื่อเขาคือสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องตาย
วันที่ดาร์เรลได้ถือกำเนิด นั่นคือวันที่คริสติน่าได้จากโลกนี้ไปตลอดกาล
“ตอนนี้มึงเข้าใจรึยังว่าทำไมกูกับพี่ชายถึงได้เกลียดมึงนัก มึงมันไม่ได้ต่างจากปีศาจแวมไพร์พวกนั้นสักนิด มึงฆ่าแม่ มึงเอาคนที่พ่อและพวกกูรักไป มึงมันไม่น่าเกิดมาจริงๆ”
นั่นคือคำพูดของลาร์ซพี่ชายของเขาที่ยังดังกึกก้องอยู่ในหูจนมาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ทุกคนที่เ็ปแต่เขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าใคร เด็กในวัยเดียวกันมีแม่ให้กอดและมีครอบครัวที่อบอุ่น มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ซึ่งมันแตกต่างกับเขามาก เขาไม่มีโอกาสได้ััอ้อมกอดแสนอบอุ่นของแม่เลยสักครั้ง ไม่มีใครที่รักเขา และไม่มีใครที่้าเขา หากแม่ยังอยู่ชีวิตเขาคงมีความสุข และหากเขาเกิดเป็เบต้าเหมือนกับแม่ก็คงดี
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเติบโตให้สมเกียรติคนของตระกูลนักล่าปีศาจ แม้ว่าจะไม่แข็งเกร่งเท่าพี่ชายทั้งสามก็ตาม
“อย่าปล่อยกลิ่นเน่าๆ ของแกออกมา จะอ๊วก !”
เสียงของเฟนโน่เอ่ยขึ้นเมื่อเขาเดินมาที่โต๊ะอาหารใน่สายของวัน หากรู้ว่าพี่ชายทั้งสามยังไม่ออกไปไหนดาร์เรลก็คงไม่ออกจากห้องเพื่อมาฟังคำพูดด่าทอจิกกัดของอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และทุกครั้งพ่อจะไม่อยู่ตรงนี้ แต่ถึงอยู่ท่านก็ไม่เคยคิดห้ามปรามสักครั้ง
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ดาร์เรลบอกในขณะตักอาหารใส่จานของตน
“รู้ตัวก็ออกไปห่างๆ จากพวกเราซะ กินข้าวไม่ลง”
ลาร์ซพูดเสียงดุและตวัดสายตามองหน้าน้องชายด้วยความไม่พอใจ
“ครับ”
ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกไล่ ดาร์เรลก็ตั้งใจว่าตักอาหารเสร็จจะออกไปนั่งทานที่ข้างบ้านอย่างทุกวัน
“ไปสะได้ก็ดี เมื่อไหร่มันจะมีผัวสักที จะได้ไปให้พ้นๆ บ้านหลังนี้ก็ไม่รู้”
ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าผ่านพ้นประตูห้องครัวเสียงของเฟอร์กัลก็ดังเข้าโสตประสาท ถึงแม้ใจบอกว่าอย่าฟังแต่เท้าเขากลับชะงักนิ่ง
“เอาน่า เชื่อกูคงอีกไม่นานหรอก” เฟนโน่
“เออๆ กูเห็นวันก่อนไอ้ริชาร์ทมันชวนไปซื้อของด้วยกันที่ในเมือง สงสัยไอ้ดาร์เรลน่าจะชอบวะเห็นไปกับเขา”
“เหอะ ตาต่ำ พวกโอเมก้านี่ร่านดีจริงๆ”
ลาร์ซเค้นเสียงในลำคอ ก่อนพูดออกมาอย่างรังเกียจปลายตาไปมองดาร์เรลที่ยืนฟังอยู่
“พูดดีไปเถอะ ถ้าได้เมียเป็โอเมก้าขึ้นมากูจะขำเข้าให้ แต่ถ้าไอ้ดาร์เรลมันเอาไอ้ริชาร์ททำผัวจริงๆ ก็ตาต่ำอย่างมึงพูด”
เฟนโน่พูดขึ้นอย่างเห็นด้วยกับน้องชาย ถึงแม้ไอ้ริชาร์ทจะเป็อัลฟ่าแต่ก็ไม่ใช่อัลฟ่าเืพิเศษ ที่สำคัญฐานะของมันต่ำต้อยกว่าครอบครัวของเรามากนัก
“ถ้าไม่ได้กับไอ้ริชาร์จก็ว่าก็คงได้กับกุ้ยข้างถนนที่เป็เบต้าชั้นต่ำ”
สิ้นเสียงพูดของลาร์ซ ดาร์เรลจึงเดินออกมานั่งทานอาหารเงียบๆ ที่ข้างบ้านซึ่งอยู่ติดกับลำธาร
เห้อออออออ !
ดาร์เรลนั่งถอนหายใจไปพร้อมๆ กับทานขนมปังที่อยู่ในมือ ถึงแม้ว่ามันจะไม่อร่อยเอาเสียเลย
“อ่าว มานั่งเศร้าอะไรตรงนี้ละลูก ?”
เสียงคุณป้าแมรี่ที่ดังขึ้นทำให้ดาร์เรลต้องรีบปรับสีหน้าให้ดูสดใสอย่างทุกวันเพราะไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจที่เห็นเขาทุกข์ใจ
“เปล่าหรอกครับคุณป้า ผมแค่อยากหาที่นั่งเงียบๆ” มุมปากอวบอิ่มยกยิ้มบางๆ ให้กับคุณป้าซึ่งเป็พี่สาวของพ่อ
“ถ้ามีเื่ไม่สบายใจอะไรเล่าให้ป้าฟังได้นะลูก ป้าพร้อมรับฟังดาร์เรลเสมอ ป้าก็เหมือนแม่ของลูกนะ ดาร์เรลจำที่ป้าบอกได้ไหม ทุกครั้งที่ลูกคิดถึงแม่ ป้าอยู่ตรงนี้เสมอ”
“ขอกอดคุณป้าหน่อยได้ไหมครับ ?” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างแ่เบาราวกับกระซิบ
“ได้สิ มาๆ” ป้าแมรี่พูดพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น อ้าแขนรอหลานชายและมองอย่างอ่อนโยน
“อื้อออ ขอบคุณนะครับ”
ดาร์เรลโอบกอดป้าเอาไว้แน่น มือเรียวที่ลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบโยน ความรู้สึกที่พยายามส่งมามันชั่งอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจ
“ดาร์เรล แปลว่า ผู้เป็ที่รักยิ่ง นั่นหมายความว่า ถึงแม้จะไม่มีใครรักลูก แต่แม่คริสติน่ายังคงรักลูกเสมอ ดาร์เรลเข้าใจใช่ไหม?”
คำปลอบโยนของป้าเหมือนน้ำเย็นที่คอยปลอบประโลมเขาทุกครั้งที่อ่อนแอ
“ครับคุณป้า ผมคือที่รักของคุณแม่”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นในขณะที่ยังคงกอดป้าเอาไว้แน่นก่อนจะผละออกพร้อมรอยยิ้มสวยเหมือนคนเป็แม่ เขาไม่เคยเห็นแม่ยิ้มจริงๆ หรอก ได้เห็นเพียงแค่ในรูปถ่ายเท่านั้น
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมคนเก่งของป้า ถ้าอย่างนั้นป้าขอตัวก่อนนะลูกพอดีนึกขึ้นได้ว่าจะต้องเข้าเมืองไปซื้อของ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
แมรี่เดินออกมา ก่อนขึ้นรถเธอหยุดมองหลานชายด้วยความสงสารจับใจ ไหล่เล็กๆ ที่กำลังสั่นไหวนั่นคงแบกรับอะไรเอาไว้มากมาย เธอจึงทำได้เพียงปลอบใจแทนคริสติน่าเท่านั้น เพราะเป็เื่ภายในครอบครัวเธอไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้มากกว่านี้ ที่สำคัญไวล์เดอร์น้องชายของเธอนั้นดื้อรั้น ไม่ยอมเชื่อฟังใครและยังเอาความคิดของตัวเองเป็หลัก
“พรุ่งนี้ก็จะอายุครบ 27 แล้วสินะ”
เมื่อวันสำคัญเวียนมาถึงในรอบปี มันคืออีกหนึ่งวันที่เขาจะขังตัวเองอยู่ในห้องหรือหายออกไปที่ไหนสักแห่งเงียบๆ และกลับมาในตอนค่ำ
ดาร์เรลเลือกที่จะออกจากบ้านั้แ่เช้าของวัน และกลับเข้าบ้านอีกครั้งของเช้าวันใหม่เพื่อหลบเลี่ยงคำด่าทอจากพี่ชายทั้งสาม และรุ่งเช้าในวันถัดมาเขาถึงจะไปเคารพแม่ที่หลุมศพ
ข้อดีของเืบริสุทธิ์คือเขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันจากอัลฟ่ามากนัก เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเจอกับพวกระดับเอสแบบพ่อและพี่ชาย ส่วนอีนิกม่าเขายังไม่เคยเจอ
………………………………………………….