“ขอบคุณขอรับคุณชายถัง”
ซือเยี่ยก้มศีรษะลงโดยไม่กล้าเงยขึ้นมา
เหยียนิฮ่วนหัวเราะเบา ๆ ยังคงจ้องมองผู้ที่้าจะใกล้ชิดสนิทสนม ั้แ่เขาขอแต่งงานกับตระกูลม่อ เพื่อให้การแต่งงานครั้งนี้มีความมั่นคง จึงเหมือนกับว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตราวกับผู้ฝึกตน[1] นานมากแล้วที่ไม่ได้ออกไปหาความรื่นเริง อีกทั้งม่อเสียวเสี่ยวนางโสเภณีน้อย[2]ผู้นั้นยังแสร้งทำเป็สงวนตัวทั้งยังไม่เต็มใจที่จะถูกละเมิดก่อนแต่งงาน ทำให้เขาต้องพึ่งตนเองทุกครั้งใน่เวลาเกือบหกเดือนที่ผ่านมา
้ามากจริง ๆ แต่ก็ไม่กล้าออกไปไหน จึงทำได้เพียงขอให้สาวใช้ในจวนขโมยเครื่องหอม[3] แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นผู้ที่เขาได้ััล้วนถูกท่านแม่พาหลบหนีออกไป เฮ้อ...
เมื่อความปรารถนาไม่ได้รับการเติมเต็มมาเป็เวลานาน ในยามที่ได้เห็นผู้ที่งดงามเป็อย่างมากจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระเหี้ยนกระหือรือ ประกอบกับได้รู้มาว่าเด็กน้อยซือเยี่ยผู้นี้เป็เพียงผู้ชายตัวเล็ก ๆ น่าสงสารที่ไม่มีภูมิหลัง ความเห็นอกเห็นใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่วันมานี้ได้ยืมคนมาช่วยงาน คนงามขยับไปมาอยู่ต่อหน้าเขา มันทำให้หัวใจของเขารู้สึกราวกับถูกแมวข่วน
เขาก็คิดว่าตนเคยอ่านดูคนมานับไม่ถ้วน[4] สาวงามอย่างม่อเสียวเสี่ยวก็ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเลือกนานแค่ไหน แต่ว่าในครั้งแรกที่ได้พบกับซือเยี่ยคนงามใจก็สั่นรัว เมื่อเทียบกับคืนส่งตัวเข้าหอกับฮูหยินคนใหม่แล้ว เขากลับใส่ใจคนน่ารักที่กำลังหลงทางผู้นี้มากกว่าว่าจะออกล่าอย่างไรดี?
หากสามารถนำคนงามเช่นนี้มาไว้ใต้ร่างได้มันต้องเป็ความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเป็แน่
ดวงตาของคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร้อนแรงดุจดวงอาทิตย์ที่แผดเผาบนท้องฟ้า นิ้วของซือเยี่ยสั่นเล็กน้อย ก้มหัวลงด้วยความอับอายมันราวกับเขากำลังถูกเปลื้องผ้า รู้สึกอึดอัดมากจริง ๆ
ในตอนแรก สำหรับคุณชายถังท่านนี้ในยามมาที่เยี่ยมจวนตระกูลเหยียนได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาเป็ครั้งคราว ทั้งยังแสดงความห่วงใยเขาจึงรู้สึกขอบคุณมาก แต่วันนี้เมื่อมาที่นี่เพื่อช่วยงานกลับพบว่า สายตาเป็ห่วงและเห็นอกเห็นใจของเหยียนิฮ่วนกลับกลายเป็ความปรารถนาอันแรงกล้า
ความซาบซึ้งเพียงเล็กน้อยในจิตใจจึงหายไปอย่างรวดเร็วราวกับเถ้าถ่าน และมีความขยะแขยงเข้ามาแทนที่ น่าขยะแขยงพอ ๆ กับคนที่เคยแสร้งทำหน้าตาบริสุทธิ์ให้เขาแต่กลับมีจิตใจสกปรก
“เ้าทำงานมาเกือบครึ่งวันแล้ว” เสียงของเหยียนิฮ่วนนุ่มนวล นิ้วเรียวปาดเหงื่อออกจากใบหน้า “ไปพักสักหน่อยเถอะ อย่าให้เหนื่อยจนเกินไป”
ัับนใบหน้าทำให้ซือเยี่ยก้าวถอยหลัง เขาเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างอดไม่ได้
“ไม่... ไม่เหนื่อย ขอบคุณคุณชายถังที่เป็ห่วงขอรับ”
หลังจากที่ในวันนี้ได้รับรู้ถึงจิตใจของเหยียนิฮ่วนเขาก็ตัวสั่น ดีที่วันนี้เป็วันสุดท้าย งานที่เขาได้รับมอบหมายเสร็จเกือบแล้ว พรุ่งนี้ไม่จำเป็ต้องมาอีก
“จะกลับไปไหน? ที่นี่ก็คือตระกูลเหยียนเช่นกัน...”
ดวงตาของเหยียนิฮ่วนมืดลง ค่อนข้างผิดหวังกับการถูกปฏิเสธ
“…”
ซือเยี่ยเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร จึงกัดริมฝีปากแน่นอย่างตระหนก ที่นี่แตกต่างจากเรือนของเหยียนลั่วอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ต้องกังวลใจถึงเพียงนี้เมื่อได้อยู่กับเหยียนลั่ว เพราะเหยียนลั่วจะไม่มองเขาด้วยท่าทางก้าวร้าวเช่นนี้ คุณชายสามเหยียนชิงและฮูหยินน้อยก็เป็ผู้คนที่อ่อนโยนเช่นกัน ล้วนปฏิบัติต่อเขาอย่างดี
อยู่ที่นั่น ทำให้เขารู้สึกราวกับได้รับการปกป้อง
เหยียนิฮ่วนมองคนที่กำลังกระสับกระส่าย แววตาที่ตื่นตระหนกอย่างระแวดระวังเช่นนี้ทำให้เขาอยากเข้าไปกอดปลอบ เขาจึงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอื้อมมือออกไปวางลงบนไหล่บางของซือเยี่ย
“เอาล่ะ ข้าเป็นายของที่นี่ เ้าไม่จำเป็ต้องกลัวการถูกว่ากล่าว ยามอู่แล้วได้เวลาพักผ่อนทานอาหาร มาทานอาหารให้เสร็จเถอะ ข้าเองก็เหนื่อยเหมือนกัน”
ช่างโง่เขลาเหลือเกิน กลับไปเป็บ่าวของเหยียนลั่วจะมีอะไรดี? มีความสุขกับชีวิตที่ได้สวมใส่ชุดสีทองและทานอาหารหยก[5] ของเขาไม่ดีกว่าหรือ?
“ขอบคุณขอรับคุณชายถัง เช่นนั้นบ่าวขอตัว”
ซือเยี่ยตื่นตระหนกจนต้องกำมือเอาไว้แน่น รีบหันหลังวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะโกรธหรือไม่ เขาไม่ได้อยากทำตัวไร้มารยาท แต่ว่า ผ่านอะไรมามากมาย ความกลัวจากจิตใต้สำนึกนี้หยั่งรากลึกมากจริง ๆ เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายมีความคิดชั่วร้ายเช่นนั้นเขาจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก
“ซือเยี่ย...”
เหยียนิฮ่วนไม่คาดคิดว่าเขาจะวิ่งหนีไป จึงยกมือขึ้นด้วยความหงุดหงิด
“คุณชาย อาหารกลางวันพร้อมแล้วขอรับ”
บ่าวรับใช้เดินเข้ามาจากทางด้านหลัง มองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบซือเยี่ยแล้ว ได้เห็นสีหน้ามืดมนของผู้เป็นายแห่งจวนนี้อีกครั้ง เดาสิ่งใดได้ล้วนไม่กล้าถาม
“ช่างมันเถอะ”
เหยียนิฮ่วนพูดจบก็เดินเหวี่ยงแขนออกไป คนตัวเล็กที่น่าสงสารช่างไม่รู้จักดีเลว เขาอุตส่าห์สั่งให้คนเตรียมอาหารเลิศรสเอาไว้ให้ โดยคิดว่าจะได้ไม่ต้องไปกินข้าวร่วมกับบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ แต่ไม่คิดว่าจะรีบวิ่งหนีไปอย่างคนไร้สติเช่นนี้
ซือเยี่ยวิ่งออกมาจากสวนหลังเรือน ข้ามแปลงดอกไม้เล็ก ๆ ไปสองสามแปลงแล้วถึงได้หยุดวิ่ง มือเปื้อนโคลนกุมผสานอยู่ตรงหัวใจพร้อมกับหายใจหอบอย่างตื่นตระหนก เหงื่อออกอย่างเห็นได้ชัด แสงดวงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้า แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเซียว แขนขาล้วนสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
นั่งคุกเข่าถือต้นกุ้ย[6] สี่ฤดูเอาไว้ รอเวลาผ่านไปสักพักเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามมาจึงค่อย ๆ สงบลง
“เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
มีเสียงอ่อนโยนดังเข้ามา ซือเยี่ยใมากจนรีบลุกขึ้นยืน หันไปมองด้วยใบหน้าแข็ง ๆ เห็นเป็ชายผู้หนึ่งที่แต่งกายสุภาพเรียบร้อย แต่กลับดูดีมาก ดวงตาอ่อนโยนแลดูใจดี และมีรอยยิ้มเป็ห่วงปรากฏบนริมฝีปาก ในมือถือกองไม้กลมขนาดเล็กอยู่หนึ่งมัด ราวกับเพียงแค่ผ่านทางมา
“ข้า... ข้าไม่เป็อะไร...”
ซือเยี่ยยิ้มออกมา คนผู้นี้เคยพบกันใน่สองสามวันที่ผ่านมา เขาเป็คนรักของช่างไม้ ชั้นวางดอกไม้และการซ่อมแซมเครื่องเรือนไม้ของเรือนฮูหยินถังในยามนี้ล้วนเป็พวกเขาทำทั้งสิ้น
“จริงหรือ ข้าว่าสีหน้าเ้าไม่ค่อยดีนะ...”
หลินซิวเดินเข้ามา เมื่อเห็นเขาซีดและเหงื่อออก จึงยิ้มให้เขาอย่างนุ่มนวล
“หากเ้ารู้สึกไม่สบายก็เข้าไปแจ้งเื่กับพ่อบ้านได้ อย่ารอช้า ข้าจำได้ว่าเ้ามาจากเรือนของคุณชายสาม คุณชายสามเป็คนช่างพูดยิ่งนัก”
ซือเยี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยักหน้าลง “ได้... ข้าทราบแล้ว ขอบคุณเ้า...”
หลินซิวยังคงยิ้ม “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน นี่น่าจะได้เวลาอาหารแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”
“ได้”
หลังจากซือเยี่ยตอบกลับก็เดินออกไป ความรู้สึกตื่นตระหนกในที่สุดก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
หลินซิวมองแผ่นหลังของเขา รอยยิ้มค่อย ๆ จางหายไป รูปลักษณ์ของซือเยี่ยโดดเด่นมาก ลักษณะใบหน้าเพียงมองก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเป็คนนอกด่าน จึงอดไม่ได้ที่จะสอบถามที่มาและได้รู้ว่าคุณชายใหญ่พากลับมาจากเขตที่เกิดโรคระบาด ทั้งยังเป็คนยากจน โชคดีที่ได้พบกับคนดี ๆ มิเช่นนั้น ด้วยใบหน้าเพียงอย่างเดียวก็อาจนำหายนะมาให้เขาได้
ซือเยี่ยอยากจะอ้างว่าไม่สบายแล้วกลับไปยังจวนตระกูลเหยียน แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนยุ่งมากก็รู้สึกละอายที่จะพูดออกไป หลังจากตามทุกคนไปรับประทานอาหารอย่างเลื่อนลอยแล้ว ก็กัดฟันตั้งใจทำงานสุดท้ายในสำเร็จก่อนจากไป ยังดีที่ใน่บ่ายไม่ได้พบกับเหยียนิฮ่วนอีก
จนถึงในยามที่เขาวางดอกไม้ต้นสุดท้ายเข้าที่เรียบร้อยและเตรียมตัวจบงานอย่างสมบูรณ์ อาิบ่าวรับใช้ของเหยียนิฮ่วนกลับเดินเข้ามาพร้อมกับออกคำสั่งว่า
“ซือเยี่ย คุณชายของข้าบอกว่าหลังจากเ้าทำตรงนี้เสร็จแล้ว ให้ไปที่ลานหน้าเรือนเพื่อเลือกหลันฮวา[7] สองกระถางยกเอาไปส่งให้เขาที่ลานเรือน แทนกระถางต้นไม้เก่า”
“เอ่อ? ข้า...”
ซือเยี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง มองไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ลานเรือนของเหยียนิฮ่วนอยู่ข้างหลังของเขาอีกด้านหนึ่งของทางเดิน อยู่ไม่ไกล แต่เขาไม่อยากไป...
อาิเห็นความไม่เต็มใจของเขาจึงกล่าวอย่างเ็าว่า
“มัวลีลาอะไรอยู่ ยังไม่รีบตามมาอีก ข้าจะไปกับเ้า เ้ากับข้ายกไปคนละกระถาง”
ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดคุณชายจะต้องหาข้ออ้างในการพาตัวขอทานน้อยผู้นี้ไปด้วย เรียกหาโดยตรงไม่ง่ายกว่าหรือ แต่รูปลักษณ์ของซือเยี่ยในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนหน้า
ถูกท่าทีของอีกฝ่ายทำให้ใกลัว ซือเยี่ยจึงทำได้เพียงตามไปเท่านั้น เดินไปยกหลันฮวาสองกระถางเพื่อนำไปส่งที่ลานเรือนของเหยียนิฮ่วนอย่างกระวนกระวายใจ
เดินผ่านเส้นทางคดเคี้ยว เมื่อผู้นำทางอย่างอาิเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คนแล้ว จู่ ๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงมืดมน
“ถือเป็ความโชคดีของเ้าที่คุณชายเห็นเ้าแล้วรู้สึกชมชอบ เ้ายังไม่ยอมเข้าไปเอาอกเอาใจ เ้าช่างไม่รู้จักดีเลว”
“ข้าเป็เพียงบ่าวรับใช้ของคุณชายใหญ่เหยียนเท่านั้น”
สิ่งที่ได้กลับมาจากคำตอบของซือเยี่ยกลับเป็การเยาะเย้ยจากอาิ “จะแสร้งโง่ไปทำไม”
ผู้ที่ก่อนขึ้นเตียงของคุณชายต่างแสดงตนว่ายึดมั่นในพรหมจรรย์ หลังจากได้รับการอบรมจากคุณชายแล้วใช้เวลาเพียงครู่กลับตอบสนองได้ดียิ่งกว่าคณิกาชายแห่งชิงโหลว[8] เสียอีก เขาได้เห็นมามากแล้ว เขารู้ดีถึงวิถีแห่งคุณชายของเขา
เดิมทีซือเยี่ยคิดว่าเหยียนิฮ่วนจะไม่อยู่ที่นั่น ไม่คิดว่าเมื่อเขาตามอาิที่ผลักประตูเข้าไปยังลานเรือนสำหรับรับรองแขกแล้ว คนผู้นั้นจะกำลังเอนกายจิบชาอยู่บนเบาะตัวนุ่ม มีขนมชั้นเลิศวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า ใบหน้าดูมีความสุข เมื่อเห็นซือเยี่ยมุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นมา รอยยิ้มนั้นทำให้ฝ่ามือของซือเยี่ยมีเหงื่อออกอย่างไม่รู้ตัว
“คารวะคุณชายถัง”
ซือเยี่ยกล่าวทักทายด้วยความกระวนกระวายใจ แล้วจึงเดินตามอาิเข้ามาก่อนจะรีบวางกระถางดอกไม้ไว้บนขอบหน้าต่างในของโถงรับรองแขก กำลังคิดจะขอลาแต่ไม่คิดว่าอาิจะเดินออกไปก่อนแล้วแถมยังปิดประตูจากภายนอก
หัวใจรู้สึกเย็นเยียบขึ้นมากะทันหัน ซือเยี่ยทำได้เพียงยืนหยัดหันศีรษะไปหาคนที่อยู่บนเบาะนุ่มแล้วถามเสียงเบาว่า
“คุณชายถังยังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่?”
คนผู้นี้ต้องโกรธเื่เมื่อยามอู่จนอยากสั่งสอนเขาเป็แน่... แท้จริงแล้วเขาไม่กลัวที่จะถูกดุด่า เพียงแค่หวังว่าเหยียนิฮ่วนจะเห็นแก่ที่ยืมตัวเขามาจากฮูหยินเหยียนแล้วยอมไม่ลงมือทำอย่างอื่น
เหยียนิฮ่วนมองดูท่าทางสั่นเทาของเขาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา เข้ามาใกล้จนซือเยี่ยได้กลิ่นเหล้าบนร่างของเขา จึงถอยหลังไปตามจิตใต้สำนึกราวกับเหยียนิฮ่วนกำลังเล่นสนุกกับเขาจึงเดินเข้ามาทีละก้าวอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขาถอยไปถึงขอบหน้าต่าง
เหยียนิฮ่วนหันมองหลันฮวาที่เพิ่งถูกย้ายเข้ามาใหม่ด้วยรอยยิ้ม “ดอกไม้ที่เลือกมาช่างงามยิ่งนัก”
ซือเยี่ยเหลือบมองด้วยใบหน้าซีดเซียวและพยักหน้า “ขอรับ”
“เ้ากลัวข้าหรือ?” เหยียนิฮ่วนเอนตัวเข้ามาใกล้ จากนั้นจึงหายใจใส่รูหูของเขา “ท่าทางประหม่าเช่นนี้ ข้าขอคิดได้ไหมว่าเ้าเข้าใจความ้าของข้าจนมีอาการเขินอาย...”
อาการตื่นตระหนกด้วยทางท่าไร้เดียงสาเช่นนี้มันทำให้เขารู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาจริง ๆ
ซือเยี่ยเบี่ยงศีรษะออกเงียบ ๆ แล้วถอยห่างจากเขาอีกครั้ง
“หากคุณชายถังไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว บ่าวคงต้องขอตัวก่อน หลินชวนกำลังรอบ่าวเพื่อที่จะกลับไปพร้อมกัน”
ในทุกวันที่เขามาหรือกลับไปที่จวนตระกูลเหยียนล้วนไปกับหลินชวน ใกล้ถึงเวลากลับแล้ว หวังว่าหลินชวนจะตามหาเขาในอีกไม่ช้า
เหยียนิฮ่วนยกมือขึ้นบีบคางให้เงยขึ้นมา
“ข้าในอาิไปบอกเขาแล้วว่าเ้าจะตามกลับไปในภายหลังหรืออาจจะไม่กลับไปแล้วก็เป็ได้ ซือเยี่ย ข้าชอบเ้า เ้าควรรู้สิ่งนี้...”
ใน่หลายวันมานี้เขาแสดงออกอย่างชัดเจนมาก เด็กน้อยก็ยังคงกลับมาที่นี่ทุกวัน แสดงว่าไม่ได้ต่อต้าน
พฤติกรรมต่ำทรามเช่นนี้ทำให้ซือเยี่ยทั้งโกรธและวิตกกังวล จากจิตใต้สำนึกทำให้ยกมือขึ้นปัดมือเขาออกไป
“คุณชายถังได้โปรดอย่าทำให้บ่าวต้องลำบากใจเลยนะขอรับ”
ไม่แรงมากนัก แต่เหยียนิฮ่วนรู้สึกว่าหลังมือของเขาชา ดวงตาเ็าขึ้นมาในทันที คิดว่ากลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ[9] ของเขานั้นมันเลยเถิดเกินไปแล้ว จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป อ้าแขนออกพร้อมใช้ข้อได้เปรียบจากขนาดร่างกายจับคนไว้กับขอบหน้าต่าง
“ใจของข้าที่แสนอ่อนโยนด้วยอยากรักหยกถนอมบุปผา[10] ถูกเ้าเข้าใจผิดทั้งยังสร้างความลำบากให้แก้เ้า เ้าถึงได้แสดงท่าทางอึดอัดเช่นนี้ ข้าจริงจังมากนะ ซือเยี่ย หากเ้าติดตามข้าจะได้เป็หนึ่งในเ้านายในจวนแห่งนี้ ต่อแต่นี้จะได้สวมใส่ชุดสีทองและทานอาหารหยกไปตลอดชีวิต ไม่ต้องเป็บ่าวที่คอยดูสีหน้าผู้คน ข้าสงสารเ้าจริง ๆ...”
น้ำเสียงและท่าทางไม่มีที่ติ ไม่พูดไม่ได้ว่า การเกลี้ยกล่อมของผู้ที่ผ่านลมวสันต์มาอย่างช่ำชองเอามาเทียบกับคนทั่วไปไม่ได้จริง ๆ คำที่เต็มไปด้วยความรักเช่นนี้ หากเป็คนทั่วไปจะต้องใจเต้นอย่างแน่นอน น่าเสียดาย ซือเยี่ยไม่ใช่คนทั่วไป
“คุณชายถังกำลังจะแต่งงานในอีกไม่ช้า ทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ดีนะขอรับ”
ั้แ่รู้จักกับเหยียนลั่วและเว่ยซูหาน จนถูกพาเข้าสู่จวนตระกูลเหยียนมา เขารู้สึกว่าตระกูลเหยียนราวกับเป็ประตูที่ตั้งตรง[11] แม้ว่าจะเป็ตระกูลคหบดีแต่ก็มีบรรยากาศที่สง่างาม แต่ในยามนี้ เหยียนิฮ่วนทำให้เขาตระหนักได้ว่า ยิ่งสถานที่นั้นสว่างมากเพียงใด ก็ยิ่งมีเงามืดที่เข้มขึ้นมากเท่านั้น
ซือเยี่ยรู้ว่าตนเองไม่มีศิลปะป้องกันตัว ความแข็งแกร่งทางกายภาพก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหยียนิฮ่วน ทำได้เพียงใจเย็นและถ่วงเวลาต่อไป แม้ว่าห้องโถงจะยังมีแสงสว่าง แต่ก็ค่อย ๆ มืดลงอย่างช้า ๆ ด้านนอกพระอาทิตย์กำลังตกแล้ว หลินชวนจะต้องมาแน่
เหยียนิฮ่วนที่กำลังจิตใจมืดบอดไปด้วยตัณหาได้ยินเช่นนี้ก็ให้ชื่นใจ คิดว่าสามารถเปลี่ยนใจเขาได้ แขนที่กักขังคนไว้จึงผ่อนคลายลง ฝ่ามือไล้เบา ๆ บนหลังและเอวของเขา
“การแต่งงานครั้งนี้เป็เพียงแค่การจับคู่จากคำพูดของบิดามารดา สุดท้ายจึงไม่ใช่ผู้ที่เป็ที่สุดของหัวใจ ซือเยี่ย ข้าชอบเ้า ชอบจากใจจริง...”
น้ำเสียงแหบแห้ง เต็มไปด้วยแรงตัณหา เลียริมฝีปากแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า
“เ้าอยู่กับข้า ข้าสัญญาว่าจะทะนุถนอมเ้าไว้ในฝ่ามือ[12]”
“ข้าไม่ชอบท่าน ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว...”
ซือเยี่ยทนไม่ได้กับการกระทำของเขา เขาควบคุมริมฝีปากที่สั่นเทาแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค หลังจากนั้นในขณะที่เหยียนิฮ่วนกำลังตกตะลึงเขาจึงพยายามออกแรงเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกคุมขัง ไม่คิดว่าคนที่จับอยู่จะเตรียมตัวไว้เป็อย่างดี แทนที่จะกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นกลับกระแทกเขาไปกับขอบหน้าต่าง แล้วส่งเสียงออกมาราวกับมันเป็เื่ตลก
“ทุกคนที่อยู่รอบตัวเ้าล้วนตายหมดแล้ว จะมีคนรักมาจากที่ไหนได้อีก อย่าโกหก... ยิ่งใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับเช่นนี้ก็ยิ่งสนุก แต่หากมากเกินไปมันจะน่าเบื่อ...”
ไม่รอให้ซือเยี่ยพูดอะไรอีก ก้มลงขบตรงลำคอโดยไม่สนใจความสมัครใจของอีกฝ่าย
“ปล่อย... ข้าไม่ได้ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับนะ...”
ซือเยี่ยหวาดกลัวมากจนคิดอะไรไม่ออก รู้แล้วว่าแผนการถ่วงเวลาเมื่อครู่มันไม่ได้ผลอีกต่อไป
“ไม่เป็ไรขอแค่ให้ข้าได้รักเ้า เด็กดี...”
เหยียนิฮ่วนยิ้มเยาะ มือหนึ่งโอบรอบเอว อีกมือจับใบหน้าของเขาให้หันมา กำลังจะกดลงไปขบบนริมฝีปากที่เฝ้าฝันมานาน
“เ้าปล่อยข้า...”
ซือเยี่ยพยายามดิ้นรนและเบี่ยงหน้าหนีเพื่อไม่ให้เขาทำสำเร็จ ด้วยรู้แล้วว่าคงไม่อาจสื่อสารด้วยคำพูดได้ เขากัดฟัน ยกขาขึ้น งอเข่า แล้วกระแทกลงไปยังหน้าท้องส่วนล่างที่ไร้การป้องกันของเหยียนิฮ่วนอย่างแรง ภายใต้เสียงคร่ำครวญของคนที่ไม่ทันได้ระวังตัว ยกมือขึ้นพร้อมผลักเขาออกไปจนล้มลงกับพื้น คำรามออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุด
“เ้าสมควรตาย!”
โดนตบหน้าอย่างแรง ซือเยี่ยรู้สึกว่าจิตใจของเขาสั่นไหว ไม่นานก็ได้รสชาติคาวในปาก แต่เขาไม่ใส่ใจรีบลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนกถึงขีดสุด ใบหน้าที่บวมไปครึ่งซีกพร้อมกับดวงตาแดงก่ำจ้องมองชายที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความโกรธด้วยตัวที่สั่นเทา
“การใช้กำลังไม่ใช่วิถีของสุภาพบุรุษ คุณชายถังมีสถานะที่โดดเด่น เหตุใดต้องมายุ่งเกี่ยวกับบ่าวรับใช้แสนต่ำต้อยอย่างข้า”
เชิงอรรถ
[1] ผู้ฝึกตน (清修) หมายถึงผู้ประพฤติตนบริสุทธิ์มีความประพฤติใสสะอาดและดีงาม ไม่พูดไม่ถามเื่ไร้สาระ ฝึกฝนเงียบๆ
[2] โสเภณีน้อย (小娘们) หากแปลตรงตัวจะแปลได้ว่าอวัยวะเพศน้อย ซึ่งถือเป็คำที่มีความรุนแรง เป็คำใช้เรียกเด็กผู้หญิงเพื่อดูถูกเหยียดหยาม และแสดงความรังเกียจ
[3] ขโมยเครื่องหอม (偷香) หมายถึง มีความสัมพันธ์กับผู้หญิง
[4] อ่านคนมานับไม่ถ้วน (阅人无数) หมายถึง การได้เห็นคนจำนวนมาก มีปฏิสัมพันธ์กับคนจำนวนมาก มีประสบการณ์ทางสังคมมาก และมองเห็นคนได้อย่างแม่นยำ
[5] สวมใส่ชุดสีทองและทานอาหารหยก (锦衣玉食) อุปมาถึงการอยู่ดีกินดี เป็การบรรยายชีวิตที่หรูหรา ได้ทานอาหารล้ำค่า สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง
[6] ต้นกุ้ย (桂树) หรือต้นหอมหมื่นลี้ คนส่วนมากจะรู้จักดอกของมันเป็อย่างดี คือต้นของดอกไม้ที่เรียกติดปากว่าดอกกุ้ยฮวาหรือดอกหอมหมื่นลี้
[7] หลันฮวา (兰花) แปลว่าดอกกล้วยไม้
[8] ชิงโหลว (青楼) แปลว่าซ่องโสเภณี
[9] กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ (欲擒故纵) หมายถึง การที่คุณ้าจับใครสักคน แล้วคุณจงใจปล่อยเขาอยู่อย่างสบายไปก่อนเพื่อให้เขาไม่ระวัง เป็การอุปมาของการจงใจผ่อนคลายเพื่อที่จะควบคุมได้ดียิ่งขึ้น
[10] รักหยกถนอมบุปผา (怜香惜玉) ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อคนที่รัก เป็คำอุปมาสำหรับความอ่อนโยนและความรักของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิง
[11] ประตูที่ตั้งตรง (门风端正) อุปมาถึงคนที่มีความบริสุทธิ์ ซื่อตรงไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีความคิดและไม่มีการกระทำที่ชั่วร้าย
[12] ทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือ (捧在手心) หมายถึงการทะนุถนอม จริงจังกับบางสิ่ง และถือว่ามันเป็สิ่งล้ำค่าในฝ่ามือของตน
