ภายใต้แสงเทียนสีเหลืองอำพัน สตรีนางน้อยค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์บนร่างของนางออกทีละชิ้น ขาเรียวยาวของนางเยื้องย่างลงไปในอ่างอาบน้ำที่โรยด้วยกลีบดอกไม้จนเต็มพื้นที่ กลิ่นหอมรัญจวนของกลีบดอกไม้ฟุ้งกระจายทั่วทุกอนุอากาศ ไอน้ำห่อหุ้มใบหน้าแดงระเรื่อของนางเอาไว้
นางกำนัลด้านหลังทำหน้าที่สางผมไปพลางเอ่ยว่า “แม่นางงดงามเหลือเกินเ้าค่ะ”
นางกำนัลอีกคนพูดประจบ “ฝ่าาทรงเสด็จมาเยี่ยมพระสนมพระองค์อื่นเป็ครั้งคราว หากฝ่าาทรงเห็นรูปโฉมของแม่นางจะต้องหลงใหลเป็แน่เ้าค่ะ”
ดวงตางดงามของเหยียนอู๋อวี้มองลงต่ำ ภายในแววตาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่พึงพอใจ ประหนึ่งว่านางไม่แยแสกับการเป็ที่โปรดปรานของฝ่าาเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันนั้น นิ้วเรียวยาวได้แหวกผ้าม่านเปิดออก จากนั้นซ่งอี้เฉินที่สวมชุดลายัสีทองเหลืองอร่ามจึงโน้มตัวเดินเข้าไป
นางกำนัลที่อยู่ด้านในต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง ทว่าเขาคนนั้นกลับทำท่าทางให้นางกำนัลห้ามส่งเสียง นางกำนัลเข้าใจและถอยหลบไปด้านข้างทันที
เหยียนอู๋อวี้พบว่านางกำนัลที่คอยรับใช้หายไปนานพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางหันหน้ากลับไปจึงได้เห็นว่ามีบุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านม่านไอน้ำมาทางนาง นางตั้งสติรีบเอื้อมมือไปคว้าเสื้อคลุมปีกจักจั่นแล้วลุกขึ้นยืนทันที
ในวินาทีนั้นเอง ซ่งอี้เฉินรีบแย่งเสื้อคลุมจากมือนาง มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวที่เปียกชื้นของนางไว้ ริมฝีปากอบอุ่นเลื่อนผ่านพวงแก้มเนื้อเนียนละเอียดประหนึ่งเนื้อหยก ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้านาง “พระสนมที่รัก เจิ้น[1] คิดถึงเ้ายิ่งนัก”
แม้นเวลาจะล่วงเลยมาห้าปีแล้วก็ตาม เหยียนอู๋อวี้ยังคงสามารถแยกแยะน้ำเสียงของซ่งอี้เฉินได้อย่างชัดเจน นางยกมุมปาก แววตาส่อประกายความเกลียดชัง
กระนั้นนางยังคงปรับอารมณ์ให้กลับมาอ่อนโยนเย้ายวนได้อย่างรวดเร็วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หม่อมฉันเหยียนอู๋อวี้ ถวายบังคมฝ่าาเพคะ”
ซ่งอี้เฉินไม่เพียงไม่ประหลาดใจ ซ้ำยังแสดงสีหน้าเย้าหยอก “ที่แท้เ้าก็คือเหยียนอู๋อวี้นี่เอง เจิ้นเห็นเ้าในตำหนักครั้งก่อนเพียงแค่แวบเดียว ใบหน้าของเ้าตราตรึงอยู่ในใจของเจิ้นมาตลอด”
เขาเอ่ยพลางยื่นมือออกไปจับปลายคางมนของนาง ออกแรงเพียงนิดทำให้นางต้องสบสายตาโดยตรงกับเขา
บุรุษที่อยู่เบื้องหน้ารูปลักษณ์หล่อเหลาคมสัน โครงร่างใบหน้าไร้ที่ติประหนึ่งได้รับการแกะสลักอย่างประณีต อีกทั้งยังมีสิ่งที่ยิ่งทำให้คนเห็นแล้วคล้ายดั่งต้องมนตร์สะกด นั่นก็คือดวงตาเรียวยาวได้รูปอันงดงาม และแววตาที่ส่องประกายระยิบระยับ
“ฝ่าา หม่อมฉัน......” เหยียนอู๋อวี้มีท่าทีเหนียมอายพร้อมกับเอียงหน้าไปอีกทาง เส้นผมเงางามสีดำขลับยาวสยายพาดบ่าอยู่ด้านหลังราวน้ำตก ยิ่งขับให้แผ่นหลังเนียนละเอียดของนางดูยั่วยวน “หม่อมฉัน รู้สึกหนาวเพคะ”
ซ่งอี้เฉินแย้มยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู เขาโบกผ้าคลุมปีกจักจั่นพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก “เ้าเพียงสวมเสื้อตัวนี้ก็หายหนาวแล้วหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้ก้มหน้า สีหน้าแสดงท่าทีเย้ายวน “เช่นนั้นฝ่าาทรงเห็นว่า หม่อมฉันสวมเสื้อแบบใดจึงจะเหมาะสมเพคะ?”
“ข้าชื่นชอบสตรีงดงามที่ไม่สวมใส่อาภรณ์ เช่นเดียวกับเ้าในยามนี้” สายตาของเขาสอดส่ายเลื้อยไปตามเรือนร่างเปลือยเปล่าของนาง น้ำเสียงของเขาเริ่มกระสันซ่าน ประหนึ่ง ‘าาผู้มักมากในรัก’ เขาเขยิบกายเข้าใกล้นางพลางใช้นิ้วมือไล้ไปบนเนินปทุมถันของนาง จากนั้นจึงขยับขึ้นไปส่วนบน
“หม่อมฉัน......”
“ชู่ว์.....” ซ่งอี้เฉินเอียงตัวไปคว้าชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนที่แขวนอยู่บนราวแขวน เขาใช้ชุดกระโปรงห่อหุ้มร่างกายที่เปลือยเปล่าของเหยียนอู๋อวี้ไว้ จากนั้นจึงก้มหน้าลงขบเม้มไปที่ซอกคอทิ้งรอยแดงไว้ให้นาง
จากนั้นเขาจึงคลายมือออก ยกยิ้มมุมปากเ้าเล่ห์ “สนมผู้เลอโฉม เจิ้นจะรอเ้า”
หลังสิ้นเสียงนั้น เขาหันหลังพร้อมสะบัดแขนเสื้อ สายตาที่แต่เดิมแลดูมักมากเ้าสำราญพลันเ็าขึ้นทันที ลักษณะที่เปลี่ยนไปนี้ทำให้คนที่พบเห็นยากจะคาดเดาหยั่งรู้ได้
เหยียนอู๋อวี้ที่ยืนอยู่บริเวณตรงกลางของอ่างอาบน้ำกอดชุดกระโปรงที่ห่อหุ้มร่างกายไว้แน่น มองซ่งอี้เฉินค่อยๆ เดินลับสายตาไป ใบหน้าที่เหนียมอายออดอ้อนแต่เดิมพลันเปลี่ยนเป็ดุดันโหดร้ายขึ้นมาทันใด
นางกำหมัดแน่น ภายในใจนึกเกลียดชังสุดจะทน ซ่งอี้เฉิน ยามนั้นเ้าเ็าไร้น้ำใจต่อข้า ทว่าเมื่อเ้าเห็นสตรีเลอโฉม กลับกลายเอ็นดูรักใคร่! ต่อไปข้าจะให้เ้าได้เห็น ‘สตรีเลอโฉม’ อย่างข้าที่จะค่อยๆ เฉือนเนื้อเ้าออกมาเป็พันเป็หมื่นชิ้น
หลังเหยียนอู๋อวี้ชำระล้างร่างกายเสร็จสิ้น นางกำนัลจึงพานางไปยังเรือนหลินหลางซึ่งเป็สถานที่พำนักของซิ่วหนี่ว์[2]
ขณะที่นางกำลังจะเดินเข้าไปภายในเรือนพลันได้ยินเสียงสิ่งของตกกระทบกันจนเกิดเสียงดังอย่างยิ่ง เรือนหลินหลางที่แต่เดิมมืดสนิทเริ่มทยอยจุดตะเกียงส่องสว่างทีละดวง
“ใครบางคนหนอ อาศัยใบหน้างดงามเย้ายวนไม่รู้จักประเมินตนเอง เข้าวังหลวงมาเพื่อลาภยศสรรเสริญจริงๆ เสียด้วย? มีผู้ใดไม่รู้บ้าง เวลานี้ฝ่าาทรงหลงใหลรักใคร่พระสนมซูเฟยเพียงพระองค์เดียว นางกำนัลรับใช้ข้างกายต่างทราบกันโดยทั่ว ไฉนจึงต้องทำให้ตนเองถูกดูิ่เช่นนี้?”
เรือนหลินหลางจัดวางผังเป็รูปแบบสี่เหลี่ยมวนรอบ หน้าต่างด้านหลังของเหยียนอู๋อวี้มีคนผลักให้เปิดออกและค้ำด้วยท่อนไม้ที่ขอบบานหน้าต่าง เผยให้เห็นใบหน้าที่ชวนให้รู้สึกน่าเห็นใจ ทว่าหลังจากที่คำพูดถูกเอ่ยออกมาแล้วกลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่พึงพอใจ
เหยียนอู๋อวี้หันหน้าไปแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ไฉนเซวียซิ่วหนี่ว์จึงต้องเข้าวังหลวงด้วยเล่า?”
“เ้า......” เซวียซิ่วหนี่ว์ถูกดักคอจนพูดไม่ออก นางโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ
“เ้าเป็เพียงบุตรสาวเ้าเมือง กล้าเปรียบเทียบกับแม่นางเซวียได้อย่างไร? ช่างวาจาสามหาวนัก!”
เสียงนี้ดังมาจากห้องด้านข้าง และยังเป็ผู้ที่ขว้างปาสิ่งของจนเกิดเสียงดังอึกทึกอีกด้วย ครั้งนี้หาได้ยากนักที่นางสามารถเก็บอารมณ์ตนเองและเอ่ยออกมาเช่นนี้
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยตอบด้วยท่าทีเหมาะสมไม่หยิ่งทะนงเกินควร “ข้ากับนางมีฐานะเป็ซิ่วหนี่ว์เหมือนกัน ตำแหน่งเหมือนกัน เหตุใดจะเปรียบเทียบไม่ได้?”
เซวียซิ่วหนี่ว์เกิดอารมณ์ขุ่นเคืองภายในใจ ทว่าใน่เวลาอันสั้นนางไม่สามารถหาคำพูดมาหักล้างคำกล่าวของเหยียนอู๋อวี้ได้เลย จึงได้แต่ตอบโต้กลับไปด้วยท่าทีบึ้งตึง “พอได้แล้ว พวกเ้าพูดเื่ไร้สาระกับนางเพื่ออันใดกัน? นางก็เป็แค่คนใกล้ตายแล้วกระมัง”
“ใช่สิ ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน......ทว่าสตรีเลอโฉมแทบทุกคนที่ฝ่าาพึงพอใจ นอกจากพระสนมซูเฟยแล้ว แต่ละคนล้วนมีจุดจบที่น่าอนาถนัก”
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเยาะภายในใจ นางรวบผมเผยให้เห็นลำคอขาวนวลก่อนจะหันหลังเดินกลับห้อง
ขณะที่นางเดินกลับห้องนั้น เซวียซิ่วหนี่ว์สายตาเฉียบคม มองเห็นรอยจ้ำแดงจากการกดจูบบนลำคอของนาง
“ที่แท้ก็เป็หญิงงามยั่วยวนจริงๆ อยู่ในวังหลวงยังกล้าแอบกินกันอีก” นางเม้มริมฝีปากก่อนจะปิดบานหน้าต่างด้วยสีหน้าสุขใจเมื่อเห็นผู้อื่นตกที่นั่งลำบาก
หลังเหยียนอู๋อวี้เข้าไปในห้องพลันปรากฏสตรีนางหนึ่งเดินถือถาดทองแดงเข้ามา ทันใดนั้น ผ้าไหมที่ปกปิดใบหน้าท่อนล่างของสตรีผู้นี้พลันถูกลมพัด เผยให้เห็นรอยแผลเป็ลักษณะเป็หลุมเป็บ่อบนใบหน้า
“แม่นาง คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
เหยียนอู๋อวี้เปลี่ยนลักษณะท่าทางอ่อนโยนและอ่อนแอเมื่อครู่ คิ้วของนางยกขึ้นส่งผลให้ท่าทางของนางแลดูเด็ดเดี่ยวกล้าหาญขึ้นมาก
“ทุกอย่างราบรื่นเ้าค่ะ” นางรับถาดทองแดงก่อนวางลงตรงชั้นวาง นางก้าวเดินด้วยท่วงท่าแลดูสง่างามอ่อนช้อยประหนึ่งผีเสื้อกำลังโบยบิน “ป้าโฉ่ว ข้าปวดใบหน้านัก ท่านช่วยใส่ยาให้ข้าสักหน่อย”
สตรีที่เปลี่ยนมาเป็ป้าโฉ่วขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “แม่นาง ยาชนิดนี้......ท่านไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป มันจะเร่งให้ภายในร่างกายของท่าน......”
ป้าโฉ่วยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค เหยียนอู๋อวี้พลันเอ่ยตัดบทว่า “ป้าโฉ่ว ท่านทำตามที่ข้าบอกเป็พอ”
ป้าโฉ่วถอนหายใจ จนแล้วจนรอดก็จำต้องหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด
เหยียนอู๋อวี้ยื่นมือออกไปหยิบเม็ดยา ทว่ามือของป้าโฉ่วพลันหดกลับก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย “แม่นาง......”
“ป้าโฉ่วให้ข้าเถิด” เหยียนอู๋อวี้ขมวดคิ้ว “สิ่งนี้คือพลังที่ข้าจะได้มีชีวิตรอด”
“เฮ้อ......” ป้าโฉ่วถอนหายใจยาวพลางยื่นเม็ดยาใส่มือของเหยียนอู๋อวี้พร้อมดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “แม่นาง ร่างกายเป็สิ่งสำคัญที่สุด มีชีวิตอยู่ต่อจึงจะมีหวัง”
“ข้ารู้ตัวเองดีเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ยกแขนเสื้อขึ้นปิดบริเวณริมฝีปากก่อนจะกลืนเม็ดยาลงไป
เพียงครู่เดียวนางก็เริ่มมีอาการจุกแน่นหน้าอกเสมือนถูกหนอนแมลงวันไชออกมาจากหัวใจ อีกทั้งใบหน้าขาวนวลยังเริ่มปรากฏเส้นใยสีแดง เส้นใยสีแดงที่เปรียบเสมือนพิษร้ายที่ค่อยๆ กลืนกิน แผ่กระจายไปทั่วผิวหน้าของนาง
ป้าโฉ่วที่อยู่ด้านข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“แม่นาง ไยท่านต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้?”
หลังสิ้นเสียงพูด ปลายทางเดินปรากฏคนรับใช้สี่คนเดินเข้ามา ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าถือโคมตะเกียง จังหวะก้าวเดินค่อนข้างเร็ว ทุกย่างก้าวหนักแน่น ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใด มีเพียงแสงไฟของโคมตะกียงที่กวัดแกว่งไปมา
“เหยียนอู๋อวี้ เหยียนซิ่วหนี่ว์อยู่หรือไม่?”
เหยียนอู๋อวี้ยกแขนเสื้อขึ้นปกปิดใบหน้า ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่ารอยเส้นใยสีแดงบนใบหน้าจะหายไป ใบหน้านางกลับมางดงามหยาดเยิ้มเหมือนดังปกติ จากนั้นนางจึงพยักหน้าให้กับป้าโฉ่ว
“ที่แท้เป็เว่ยกงกงนี่เอง พวกเราซิ่วหนี่ว์เตรียมจะเข้านอนแล้วเ้าค่ะ”
เว่ยกงกงได้ยินเช่นนั้นจึงยกแขนเสื้อขึ้นปิดริมฝีปากก่อนเอ่ยแย้มยิ้ม “วันนี้พวกเ้าซิ่วหนี่ว์คงจะมิได้พักผ่อนเป็แน่ ยินดีด้วยเหยียนซิ่วหนี่ว์ ฝ่าากำลังเสด็จมาเรือนหลินหลาง”
เหยียนอู๋อวี้ในใจยิ้มเยาะเ็า ทว่าใบหน้ากลับแสดงอารมณ์ปลาบปลื้มเป็อย่างยิ่ง ขณะที่นางกำลังลุกขึ้นแสร้งทำเป็ตื่นเต้นจนทำให้เก้าอี้ล้ม เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์ต่างก็แสดงท่าทีขวยเขิน ใบหน้าแดงก่ำ “เว่ยกงกง ที่ท่านพูดมาจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน ต่อให้ข้าใจกล้าอย่างไรก็ไม่กล้ากล่าวเท็จรับสั่งของฝ่าาอย่างแน่นอน” เว่ยหรูไห่พินิจพิเคราะห์หญิงสาวอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยในใจว่ามิน่ารูปโฉมงดงามเช่นนี้เองฝ่าาจึงต้องทรงเสด็จมารับด้วยองค์เอง
“เหยียนซิ่วหนี่ว์รีบไปเตรียมตัวเถิด ไม่เกินครึ่งชั่วยามฝ่าาจะทรงเสด็จมาแล้ว”
“เว่ยกงกง ปกติข้าเองชอบกินจุบกินจิบ เข้าวังหลวงมาก็ได้นำขนมจากบ้านมาเล็กน้อย หากกงกงไม่รังเกียจเชิญหยิบไปชิมได้เ้าค่ะ” เหยียนอู๋อวี้เอ่ยจบจึงหันหลังไปหยิบลูกกลมขนาดเท่าเม็ดเมล็ดเหอเถา[3] จากลิ้นชักยัดใส่มือเว่ยหรูไห่
เว่ยหรูไห่รับไว้ในมือก่อนก้มหน้ามองลงไป พบเป็ลูกบอลทองคำที่แกะสลักอย่างประณีต เพียงดูลวดลายที่แกะสลักอย่างละเอียดประณีตก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็สิ่งของมีค่าที่หาได้ยากยิ่ง
ขันทีอย่างเว่ยหรูไห่ดำรงตำแหน่งนี้มา ปกติองค์ชายและองค์หญิงในวังล้วนประทานสิ่งของดีๆ ให้มากมายอยู่แล้ว ทว่าน้อยครั้งนักที่จะมีคนมอบสิ่งของล้ำค่าดั่งใจปรารถนาเช่นนี้
เว่ยหรูไห่แย้มยิ้ม น้ำเสียงแฝงด้วยความพึงพอใจ “เช่นนั้นข้าน้อยขอขอบคุณซิ่วหนี่ว์ ข้าน้อยขอตัว”
หลังเว่ยหรูไห่กลับไป เรือนหลินหลางพลันคึกคักขึ้นมาราวกับตลาดนัดทันใด
ลือกันว่าฝ่าาไม่หลงในอิสตรี ตำหนักหลังในวังหลวงไร้ทายาท ไม่มีแม้แต่การคัดเลือกซิ่วหนี่ว์ หลังครองบัลลังก์มาสามปีพระตำหนักหลังยังคงว่างเปล่า ทว่าสองปีมานี้ฝ่าาทรงเปลี่ยนไปมากนัก จู่ๆ ก็คล้ายจะหมดอาลัยละทิ้งราชกิจ หันไปหลงใหลในอิสตรี
ครั้งนี้พระองค์ทรงริเริ่มคัดเลือกนางสนม ดังนั้นขุนนางและประชาชนทั่วทุกสารทิศต่างพยายามคัดสรรสตรีเลอโฉมจากสตรีกว่าห้าพันนางอย่างยากลำบาก ผลสุดท้ายสตรีที่ผ่านการคัดสรรอย่างดีเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าาเหลือเพียงแค่เก้าคน และเหยียนอู๋อวี้ก็คือหนึ่งในนั้น
แปดนางที่เหลือมักจะจับผิดนางก็เป็เพราะเหยียนอู๋อวี้มีรูปโฉมโดดเด่นกว่าพวกนางนัก บัดนี้นางได้รับเลือกเป็คนแรกจริงๆ อีกทั้งฝ่าายังทรงเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง ทุกคนต่างอิจฉาอยู่ในใจ
“ได้ยินมาว่าฝ่าาไม่หลงใหลในอิสตรี ทรงรักแต่พระสนมซูเฟย เหตุใดวันนี้พระองค์จึงเสด็จมาหาเหยียนอู๋อวี้ด้วยพระองค์เองเช่นนี้?”
“ไม่แน่ว่านางอาจจะเล่นหูเล่นตาหว่านเสน่ห์ ใบหน้างดงามเช่นนี้ย่อมร้อยเล่ห์มารยาเป็แน่แท้”
“ไม่ว่านางจะได้รับความเอ็นดูอย่างไรก็ไม่มีทางสั่นคลอนตำแหน่งพระสนมซูเฟยได้เป็แน่”
“หากใช้รูปโฉมล่อลวง กาลเวลาล่วงเลยสิ่งนั้นย่อมหายสิ้น”
......
คำพูดตำหนิแกมริษยาด้านนอกดังไม่หยุดปาก ทว่าเหยียนอู๋อวี้ที่อยู่ภายในห้องกลับนิ่งเฉยไม่แยแส นางส่องกระจกแต่งหน้าทาปาก แววตาเกลียดชังสุดขั้น
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม พระที่นั่งของซ่งอี้เฉินเสด็จมาถึงทางเข้าเรือนหลินหลางตรงเวลา เว่ยหรูไห่เดินเหยาะไปด้านหน้าเอ่ยว่า “เหยียนซิ่วหนี่ว์ ฝ่าาเสด็จ!”
เชิงอรรถ
[1] เจิ้น หมายถึง สรรพนามเรียกแทนตัวเองของกษัตริย์ในสมัยโบราณ
[2] ซิ่วหนี่ว์ หมายถึง สตรีที่ได้รับคัดเลือกเข้าพระราชวังใน่แรก จะเป็นางกำนัลหรือนางสนมในพระราชวัง และมักจะมาจากฐานะประชาชนทั่วไป
[3] เหอเถา หมายถึง วอลนัท
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้