คำพูดของหลิ่วซื่อราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ดวงตาของอวิ๋นโส่วจู่เป็ประกาย เขาตบสะโพกของหลิ่วซื่ออย่างแรง ตื่นเต้นจนแทบะโ “ใช่แล้ว ทาสที่หนีออกมา ต้องเป็ทาสที่หนีออกมาแน่! ข้าเคยได้ยินมาว่าทาสในบ้านเศรษฐีที่ซื้อมา พออายุถึงก็จะได้มีคู่ครองเป็สาวใช้ พอมีลูก ลูกก็กลายเป็ทาสด้วย! หึ เป็แค่ครอบครัวทาส จะมาทำวางท่าทำไมกัน?”
“ไม่แปลกใจเลย ที่พวกมันต้องย้ายจากเมืองหลวงกลับมา ที่แท้ก็เป็เพราะหนีกลับมานี่เอง! เงินทองของพวกมัน ไม่แน่ว่าอาจจะขโมยเ้านายเก่ามา! รวมถึงรถม้าคันนั้นด้วย ต้องเป็ของที่ขโมยมาแน่!”
“แถมยังมีบ่าวชายกับสาวใช้พวกนั้นอีก ต้องแอบพาหนีออกมาด้วยเป็แน่! ดีจริงนะอวิ๋นโส่วจง เป็แค่ทาสที่หนีออกมา ยังกล้ามาทำอวดเบ่งใส่ข้า! ข้าจะไปที่ศาล ไปแจ้งความว่ามันเป็ทาสที่หนีออกมา! ได้ยินมาว่าหากแจ้งเบาะแสทาสที่หนีออกมา จะมีรางวัลให้ หากเ้านายใจกว้าง ไม่แน่ว่าอาจจะให้รางวัลเป็เงินแปดสิบหรือร้อยตำลึงเงินเลยก็ได้”
เห็นอวิ๋นโส่วจู่ตื่นเต้นจนตัวสั่น หลิ่วซื่อจึงเอ่ยถามว่า “เื่นี้จะบอกท่านแม่หรือไม่?”
อวิ๋นโส่วจู่รีบตอบ “ไม่ บอกท่านแม่ไม่ได้ หากบอกท่านแม่แล้ว เงินรางวัลนั่นคงไม่เป็ของพวกเราแน่!”
หลิ่วซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นด้วย หากเงินตกไปอยู่ในมือเถาซื่อ ก็คงถูกโยนลงไปในหลุมที่ไร้ก้นอย่างลูกคนที่ห้าของนางแน่ ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น อวิ๋นโส่วจู่ที่อารมณ์ดีก็เอื้อมมือเข้าไปในเสื้อของหลิ่วซื่อ บีบคลึงด้วยแรงอารมณ์ ไม่นานหลิ่วซื่อก็ส่งเสียงครางในลำคอ...
รุ่งเช้าวันต่อมา อวิ๋นโส่วจงก็ออกจากบ้านพร้อมกับอวิ๋นฉี่เยว่ เด็กหนุ่มต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาเอกชน เพื่อเป็การแสดงความเคารพต่ออาจารย์ อวิ๋นโส่วจงผู้เป็บิดาจึงต้องไปมอบของกำนัลและค่าเล่าเรียนด้วยตัวเอง
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ อวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่ซานสองพี่น้องก็เริ่มลงมือทำสบู่ทำมือในห้อง เนื่องจากการทำเครื่องประทินผิวต้องใช้กลีเซอรีน ดังนั้นทั้งสองคนจึงลองทำสบู่ทำมือก่อน เพื่อดูว่าสามารถสกัดกลีเซอรีนออกมาได้หรือไม่ ส่วนผสมล้วนซื้อมาแบบสำเร็จรูป พี่น้องทั้งสองคนจึงเริ่มทดลองทำตามสูตรที่อวิ๋นเจียวลอกมาจากหนังสือ
หลังจากลองผิดลองถูกมาทั้งเช้า เสียไขมันแพะและด่างไปไม่น้อย แต่ก็ยังทำสบู่ทำมือที่อวิ๋นเจียว้าไม่ได้ ได้มาเพียงสบู่ธรรมดากองโต แต่เื่ที่ทำให้อวิ๋นเจียวรู้สึกโล่งใจก็คืออวิ๋นฉี่ซานเพียงแค่ล้มเหลวสองสามครั้ง ก็สามารถสกัดกลีเซอรีนออกมาได้สำเร็จ! เมื่อมีกลีเซอรีนแล้ว ก็สามารถทำเครื่องประทินผิวได้ตาม้า!
หลังจากกินข้าวเสร็จ ก่อนที่อวิ๋นฉี่ซานจะไปที่บ้านตระกูลเฉียว อวิ๋นเจียวก็เอ่ยกับเขาว่า “พี่รอง พี่หาเวลาว่างทำพิมพ์สบู่สักหน่อย ทำแบบมีลวดลายนะ พอพวกเราทำสบู่ที่ดีกว่านี้ออกมา ก็เทใส่พิมพ์ เท่านี้ก็ดูสวยงามกว่าใส่ชามแบบนี้แล้ว!”
อวิ๋นฉี่ซานรีบพยักหน้ารับปาก พร้อมกับชมว่าอวิ๋นเจียวฉลาด หลังจากที่อวิ๋นฉี่ซานออกจากบ้านไปแล้ว อวิ๋นเจียวก็งีบหลับยามบ่ายตามปกติครึ่งชั่วโมง หลังจากตื่นนอน นางไม่ได้ลุกขึ้นทันที แต่ครุ่นคิดถึงเื่สบู่ทำมือ
ต้นทุนสบู่ธรรมดาที่พวกเขาทำนั้นสูงเกินไป แคว้นต้าเยี่ยส่วนใหญ่จะใช้ขี้เถ้าจากพืชและไม้ทำสบู่ธรรมดา ไม่มีใครใช้โซดาไฟ ดังนั้นนางจึงต้องหาทางผลิตสบู่น้ำมันหอมระเหยใสชั้นดี จึงจะทำกำไรได้มาก เพียงแค่คิดถึงเื่ทำกำไรก้อนโต อวิ๋นเจียวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นางรีบซื้อน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเหมยกุย กลีเซอรีน แอลกอฮอล์ น้ำมันมะกอก น้ำมันซิ่งเหริน [1] และอื่นๆ อีกมากมายจากเถาเป่า จากนั้นก็วิ่งไปที่ห้องครัว สวมถุงมือและหน้ากากอนามัย ก่อนจะลงมือทำด้วยตัวเอง
อวิ๋นเจียวทำตามขั้นตอนที่ลอกมาจากหนังสือด้วยความระมัดระวังไปทีละขั้นตอนอย่างใจเย็นและรอบคอบ ในที่สุดเนื้อสบู่ในหม้อก็ข้นขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้ตามมาตรฐานที่หนังสืออธิบายไว้ อวิ๋นเจียวรู้ทันทีว่านางทำสำเร็จแล้ว!
นางเทเนื้อสบู่ลงในกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เตรียมไว้ จากนั้นใช้ผ้าเนื้อบางละเอียดปิดไว้เพื่อกันฝุ่น ก่อนจะยกกล่องสบู่ทำมือใสสีใสที่ส่งกลิ่นหอมของดอกเหมยกุยนี้เข้าไปในห้อง วางไว้บนขอบหน้าต่างเพื่อให้เย็นลง
จากนั้นอวิ๋นเจียวก็เริ่มทำเครื่องประทินผิว โดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ ทำตามวิธีการในหนังสือ เมื่อมีกลีเซอรีนแล้ว การทำเครื่องประทินผิวก็ง่ายขึ้นมาก อวิ๋นเจียวนำวิธีการทำเครื่องประทินผิวแบบโบราณของแคว้นต้าเยี่ย มารวมกับคู่มือวิธีทำเครื่องประทินผิวแบบสมัยใหม่ จากนั้นก็เริ่มทดลอง
เหตุผลที่นางนำสูตรโบราณมารวมกับวิธีการสมัยใหม่ ก็เพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นเกินไป! เพราะอย่างไรเสียวัตถุดิบบางอย่าง ต่อให้นางพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถหาได้ หากในอนาคตมีคนจับตามองสูตรลับนี้มากขึ้น นางก็แค่ขายสูตรที่ปรับปรุงแล้วก็พอ ส่วนพวกเขาจะทำเครื่องประทินผิวชั้นดีออกมาได้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เื่ที่นางต้องสนใจ
ที่สำคัญคือนางก็ทำเองไม่ได้ ของที่ขายไปนั้นก็ซื้อมาจากเถาเป่า ตอนนี้ที่ต้องทำงานมากมายขนาดนี้ ก็เพื่อตบตาคนอื่นเท่านั้น
ครั้นถึง่เย็น เมื่ออวิ๋นโส่วจงกับอวิ๋นฉี่เยว่กลับมาจากในตำบล อวิ๋นฉี่ซานกลับมาจากบ้านผู้เฒ่าเฉียว สูตรเครื่องประทินผิวที่ได้รับการปรับปรุงของอวิ๋นเจียวก็ทดลองสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพราะนางเป็อัจฉริยะ แต่เพราะมีทั้งสูตรและวัตถุดิบครบครัน ต่อให้พยายามจะล้มเหลวก็ยังยาก!
อวิ๋นฉี่ซานกลับมาพร้อมกับพิมพ์สบู่มากมาย
“นี่ของเจียวเอ๋อร์!” อวิ๋นฉี่ซานวางพิมพ์สบู่ทั้งหมดลงบนโต๊ะในห้องโถง มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายลวดลาย แกะสลักอย่างประณีตและสวยงาม
“ท่านอาจารย์ได้ยินว่าเจียวเอ๋อร์อยากได้ จึงใช้เวลาทั้งบ่ายทำมาให้ ข้าเองก็เป็ช่วยด้วย!” เห็นอวิ๋นเจียวชอบ อวิ๋นฉี่ซานก็ดีใจ
อวิ๋นเจียวรีบพูด “พี่รอง ตอนที่ไปพรุ่งนี้ก็ฝากขอบคุณท่านปู่เฉียวด้วย รอให้สบู่ตากเสร็จแล้ว ท่านก็นำไปให้ท่านปู่เฉียวที่บ้านสักสองสามก้อนเถิด”
เมื่อมีพิมพ์สบู่แล้ว พรุ่งนี้นางก็สามารถทำสบู่ทำมือได้อีก พอคิดถึงตรงนี้ อวิ๋นเจียวก็พูดต่อว่า “พี่รอง อีกประเดี๋ยวข้าจะวาดแบบพิมพ์ให้ พอพี่ทำเป็แล้ว พี่ก็ช่วยทำพิมพ์สบู่ให้ข้าด้วยนะเ้าคะ!”
อวิ๋นฉี่ซานรีบพยักหน้า “เจียวเอ๋อร์วางใจเถิด ไม่นานพี่รองก็ทำเป็แล้ว!”
พออาหารเย็นถูกยกขึ้นโต๊ะมา อวิ๋นฉี่ซานกับอวิ๋นฉี่เยว่ก็ช่วยอวิ๋นเจียวยกพิมพ์สบู่เข้าไปเก็บไว้ในห้อง ตระกูลอวิ๋นไม่ได้เคร่งครัดเื่ห้ามพูดคุยระหว่างกินข้าว อวิ๋นโส่วจงและฟางซื่อต่างก็้าให้ลูกๆ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องมีข้อจำกัดมากนัก
ทันทีที่นั่งลงบนโต๊ะ อวิ๋นเจียวก็เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ สำนักศึกษาเอกชนเป็อย่างไรบ้าง? ท่านคุ้นเคยกับที่นั่นหรือยังเ้าคะ?”
อวิ๋นฉี่เยว่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ราบรื่นดี ท่านอาจารย์เป็บัณฑิตจวี่เหริน ท่านไม่สนใจเส้นทางการรับราชการ ทุ่มเทให้กับการสอนลูกศิษย์ เป็คนที่น่านับถือยิ่งนัก”
อวิ๋นเจียวรู้ดีว่าพี่ชายไม่ค่อยชมใคร นางคิดว่าอาจารย์ที่พี่ชายพูดถึงต้องเป็คนที่ไม่ธรรมดาแน่
อวิ๋นฉี่ซานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “แล้วพี่ได้เจอท่านอาห้าหรือไม่?”
เื่ที่อวิ๋นโส่วหลี่เรียนอยู่ที่สำนักศึกษาเอกชนในตำบล เป็เื่ที่คนทั้งหมู่บ้านไหวซู่รู้กันดี และเป็คนเดียวในหมู่บ้านนี้ด้วย! คำว่า ‘ครอบครัวบัณฑิต’ หมายถึงครอบครัวเ้าของที่ดินที่มั่งคั่ง เห็นได้ชัดว่าบ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีเงินทองมากพอที่จะส่งเสียให้ใครเรียนหนังสือ แต่พวกเขากลับทำเช่นนั้น
อวิ๋นฉี่เยว่ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเฉยเมย “ไม่ได้เจอ แต่อาจารย์เอ่ยถึงว่ามีคนชื่ออวิ๋นโส่วหลี่เรียนอยู่ห้องสอง”
สำนักศึกษาเอกชนในตำบลแบ่งห้องเรียนตามความก้าวหน้าและความสามารถในการเรียน แบ่งออกเป็สามห้อง คือ ห้องหนึ่ง ห้องสอง และห้องสาม โดยอาจารย์ที่สอนห้องสามและห้องสอง เป็บัณฑิตซิ่วไฉสองคน ส่วนห้องหนึ่ง เป็บัณฑิตจวี่เหรินแซ่ฉีสอนด้วยตัวเอง
หลังจากที่จวี่เหรินฉีทำการทดสอบความรู้ อวิ๋นฉี่เยว่ก็ถูกจัดให้อยู่ห้องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามีความรู้ความสามารถมากแค่ไหน อาจารย์เคยบอกว่ามีเพียงคนในห้องหนึ่งเท่านั้นที่มีความสามารถในการสอบซิ่วไฉ ส่วนห้องสามเป็เพียงแค่เริ่มต้นการศึกษา ห้องสองมีความรู้มากขึ้นเล็กน้อย หาก้าสอบซิ่วไฉ จำต้องพากเพียรอ่านตำราต่อไป
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยเื่สำนักศึกษาเอกชน ก็ได้ยินเสียงของอากุ้ยดังมาจากนอกประตู “นายท่านใหญ่มาหรือขอรับ? เชิญเข้ามาเลยขอรับ นายท่านกับฮูหยินกำลังทานอาหารเย็นอยู่พอดีเลยขอรับ”
เชิงอรรถ
[1] ซิ่งเหริน (杏仁) หมายถึง อัลมอนด์