สองปีมานี้ เหล่าองค์ชายทั้งหลายในราชสำนักก็เริ่มที่จะต่อสู้กันทั้งแบบลับๆ และเปิดเผย พวกเขาต่างมีความคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการทหารมากขึ้นเรื่อยๆ
การคงอยู่ของอวี้ฉู่จาวกลายเป็แรงกระตุ้นให้พวกเขาอยู่เสมอ เพราะอำนาจเ่าั้ใช้บังคับให้ผู้คนทำตามเจตจำนงของตนได้ เหล่าองค์ชายจึงได้ทำการเกณฑ์ทหารเพื่อรวมไพร่พลอย่างลับๆ รวมถึงกำลังเฝ้ารอโอกาส
ที่เื่ราวกลับกลายมาเป็เช่นนี้ เป็ผลมาจากการที่ฮ่องเต้ฉงเต๋อขึ้นครองราชย์
เริ่มจากการที่พระอนุชาของพระองค์หรืออวี้หนานถังช่วยกำจัดเหล่าผู้คนเห็นต่างและชาวต่างชาติ ต่อมาก็มีอวี้ฉู่จาวคอยปกป้องผืนแผ่นดิน จากนั้นไม่นาน ราชวงศ์อวี้ค่อยๆ เจริญก้าวหน้าและกลายเป็ราชวงศ์ที่มั่งคั่ง
เื่ราวของผู้คนเหล่านี้ส่งผลให้ฮ่องเต้ฉงเต๋อมีชื่อเสียงขจรไปไกลทั่วทุกสารทิศ
แม้ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ไปก็อาจยังคงถูกกล่าวถึง
มนุษย์เราก็เป็เช่นนี้ เมื่อลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจกับตำแหน่งมักยากที่จะถอนตัว หลังจากความปรารถนาอันพลุ่งพล่านกระจายไปทั่วถึงเริ่มที่จะหวาดกลัว เกิดความสงสัยและหวาดระแวง
กลัวว่าใครต่อใครจะมา่ชิงอำนาจและลากตนเองลงจากบัลลังก์ ท้ายที่สุดกลับเกิดความสงสัยไปจนถึงคิดว่าอาจมีการก่อฏ
ซึ่งฮ่องเต้ฉงเต๋อก็ทรงเป็เช่นนั้น
ดังนั้น แม้แต่เหล่าข้าราชบริพารต่างก็พากันเรียกร้องให้เกิดการสถาปนาองค์ชายรัชทายาท พระองค์จึงมีความคิดแค่ว่า อาจเป็เพราะเหล่าราชโอรสของตน้าดึงพระองค์ลงจากบัลลังก์
พระองค์เคยตรัสว่าในตอนนี้ พระองค์กำลังอยู่ใน่เวลาสำคัญ ยังไม่จำเป็ต้องแต่งตั้งองค์รัชทายาท เหล่าองค์ชายยังคงจำเป็ต้องฝึกฝนอีกมากเพื่อที่จะได้เลือกองค์ชายที่เหมาะสมกับตำแหน่งมากที่สุด
ทว่า ต่อให้เหล่าโอรสของพระองค์จะสามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้...แต่พระองค์ก็จะยังคงตรัสดังเดิม
ไม่ว่าจะเป็โอรสของฮองเฮาอย่างอวี้ฉู่ซวน โอรสของพระสนมเอกอย่างอวี้ฉู่หลิง หรือแม้แต่วีรบุรุษของต้าอวี้อย่างอวี้ฉู่จาว
พระองค์ยังไม่มีความคิดที่จะแต่งตั้งใครเป็องค์ชายรัชทายาท และยิ่งผ่านไปนานเท่าไร พระองค์กลับยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่แสดงออกของฮ่องเต้ได้กระตุ้นและนำพาให้หลายคนเริ่มเป็สุนัขจนตรอก แอบซุ่มสร้างกองทหาร จัดเตรียมอาวุธเอาไว้ใช้ในยาม้า
ไม่มีประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ไหนที่เป็เช่นนี้ เมื่อขึ้นเรือแล้ว หากไม่กลายเป็นายท้ายเรือก็จะถูกลากลงน้ำ ถูกกินเนื้อกินกระดูกจนไม่เหลืออะไรเลย
ชัยชนะเปรียบดั่งความยุติธรรม ความล้มเหลวคือการก่อฏและการทรยศ
นอกจากนี้ หากทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว การสร้างกองทหารไม่ว่าจะเป็เื่จริงหรือไม่ และใครกันที่เป็คนก่อเื่เช่นนี้ อย่างไรก็ต้องทำการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน
หากยึดตามความทรงจำในชาติภพก่อนแล้ว อวี้ฉู่ซวนสามารถจัดการเื่ต่างๆ ได้อย่างราบรื่นเมื่ออวี้ฉู่จาวออกจากเมืองหลวงไป
อีกฝ่ายควบคุมทั้งเมืองอวี้อัน ฉะนั้น การสร้างกองกำลังทหารจะต้องเป็ฝีมือของเขาแน่
สุดท้ายแล้ว เื่นี้ถูกยกให้จางเหยียนไปทำการตรวจสอบ เพราะเื่นี้เขาเป็คนตรวจพบ อีกทั้งยังเกิดขึ้นในบ้านเกิดของเขาที่อยู่ทางเหนือ
มาลองคิดดูแล้ว คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าเขาแล้วกระมัง
“ท่านอ๋อง เมื่อดูตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทางฝ่ายเราถือว่ามีข้อได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ หากฮ่องเต้ยังไม่ยอมวางมือ องค์ชายสองก็คงไม่ต่างอะไรกับสุนัขจนตรอก ท่านอ๋องจะออกไปที่แห่งใดต้องระวัง อาหารการกินในแต่ละวันก็ควรพิถีพิถันให้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งกล่าวเตือน
วันนี้ในราชสำนัก หรงจิ่งคอยจับตามองอวี้ฉู่ซวนเป็พิเศษ
คนผู้นี้เริ่มที่จะมีท่าทีวิตกกังวล สีหน้าแทบปกปิดความทะเยอทะยานเอาไว้ไม่อยู่
อวี้ฉู่จาวพยักหน้าเล็กน้อย
อวี้ฉู่ซวนอาจเลือกใช้กลอุบายที่ชั่วร้ายก็เป็ได้ ในชาติก่อน เขามักโดยวางยาพิษอยู่บ่อยครั้ง เวลานั้นเขาเพียงแค่ทำการตั้งรับ ไม่คิดจะแข่งขันกับพวกคนเหล่านี้ ไม่ค่อยจะใส่ใจเื่ราวเท่าไร
แต่ในชาติภพนี้ไม่เหมือนกับชาติก่อน เพราะข้างกายเขายังมีหลินหร่าน เื่เหล่านี้เขาจึงต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ
.........
หลังเวลาอาหารเช้า หรงจิ่งกับจางเหยียนก็ได้กลับไป
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านกลับเข้ามาในสวนด้านหลัง และได้เรียกเหล่าผู้คนในตำหนักและลุงตงมากล่าวเตือนว่าให้พวกเขาจัดการเื่อาหาร เครื่องแต่งกายและการเดินทางหรือการขนส่งของต่างๆ ของหลินหร่านด้วยมือตนเอง ป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้น
เมื่อหลินหร่านเห็นว่าอวี้ฉู่จาวมีท่าทีเคร่งขรึมและจริงจัง เขาจึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร รอจนลุงตงและคนอื่นถอยออกไปค่อยถามขึ้น “ที่ท่านต้าซือหม่าเอ่ยออกมา หมายถึงให้ท่านอ๋องทรงระวังเื่ความปลอดภัยของตนเอง แล้วเหตุใดท่านอ๋องจึงมาห่วงข้าเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวมองหลินหร่านก่อนระบายยิ้ม “ไม่มีใครทำอะไรข้าได้หรอก ขอแค่เ้าปลอดภัย ข้าก็โล่งใจ”
หลินหร่านพยักหน้ารับ
ท่านอ๋องของเขาเก่งกาจไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ตนเองต่างหากที่จะต้องระวังตัวเอาไว้ ไม่ควรเป็ตัวถ่วงของท่านอ๋องเช่นนี้
จากนั้น อวี้ฉู่จาวยื่นมือออกไปดึงหลินหร่านให้มานั่งลงบนตักของตนแล้วโอบกอด ฝ่ามือเขาลูบลงไปบนหน้าท้องของหลินหร่านพลางเอ่ย “เราทั้งคู่อภิเษกสมรสกันมาได้สองเดือนแล้วสินะ”
หลินหร่านเอียงศีรษะก่อนนับด้วยความตั้งใจ “อื้อ อีกไม่นานก็จะเดือนสี่แล้ว หากคำนวณอย่างละเอียดก็สองเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าคิดดูสิ เราตั้งใจกันทุกค่ำคืน แล้วอย่างนี้เมื่อไรลูกของเราถึงจะมาให้เราเจอหน้าเสียที?” อวี้ฉู่จาวยังคงลูบหน้าท้องของหลินหร่านต่อไป
ใบหน้าเล็กๆ ของหลินหร่านเปลี่ยนเป็สีแดงทันที ราวกับกำลังจะมีเืไหลออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“...ท่านอ๋องรีบร้อนหรือ” หลินหร่านโอบรอบคอของอวี้ฉู่จาวพร้อมถามกลับ
“ข้าไม่ได้รีบร้อน แต่ก็…เ้าดูสิ พวกเราตั้งใจทำอย่างขะมักเขม้นทุกค่ำคืนด้วยความตั้งใจ แต่ท้องน้อยๆ ของเ้ายังไม่ขยับเลย แบบนี้ก็เท่ากับว่าข้าไม่มีน้ำยามิใช่หรือไร?”
นี่เป็ครั้งแรกที่หลินหร่านได้ยินอวี้ฉู่จาวเอ่ยวาจาเช่นนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็รู้สึกแปลกยิ่งนัก
ท่านอ๋องขาดความมั่นใจในตนเองได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
“ไม่ใช่นะพ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่ได้เป็หญิง เื่การตั้งครรภ์จึงเป็เื่ของธรรมชาติ ท่านอ๋องไม่ต้องคิดมากหรอกพ่ะย่ะค่ะ ความสามารถของท่านอ๋องนั้น…” เอ่ยมาถึงตรงนี้ หลินหร่านพลันรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
เขาก้มศีรษะลงไปก่อนกระซิบอย่างแ่เบาที่ข้างใบหู “...ยอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ”
สามคำนี้ล่องลอยอยู่ภายในใจของอวี้ฉู่จาว จนตัวเขารู้สึกคันยุบยิบในหัวใจไปหมด
“จริงหรือ?” อวี้ฉู่จาวถึงกับต้องถามย้ำ
เพื่อที่จะเรียกคืนความมั่นใจให้กับท่านอ๋อง หลินหร่านจึงได้แต่พยักหน้ารับด้วยความเขินอาย “อื้อ บางครั้ง...บางครั้ง...ข้าก็แทบทนไม่ไหว”
ทันใดนั้น อวี้ฉู่จาวรู้สึกว่าตอนนี้กำลังมีเปลวไฟอันชั่วร้ายพวยพุ่งอยู่ในจิตใจของตนเอง มันเผาไหม้จนเขาเอ่ยอะไรไม่ออก รู้สึกปากแห้งลิ้นฝาดขึ้นมา
ท้ายที่สุดเขาจึงทำได้เพียงกดใบหน้าของหลินหร่านมาดูเพื่อดับกระหาย
รอจนอวี้ฉู่จาวปล่อยหลินหร่านให้เป็อิสระจึงได้เอ่ยปากขึ้น “ซูชิงเฟิงน่าจะใกล้มาถึงแล้ว เดี๋ยวให้เขาจับชีพจร ดูว่าร่างกายของเ้าเสียหายตรงไหนหรือไม่”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะอวี้ฉู่จาวไม่มั่นใจในศักยภาพของตนเอง แต่เป็เพราะเขามีความคิดอันชั่วร้ายที่อยากกอดรัดหลินหร่านอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา ถึงได้พยายามพูดให้ดูดี เปลวเพลิงในตัวเขานั้นพลุ่งพล่านอยู่ตลอด เป็เหตุให้เขามักสูญเสียการควบคุมตนเองเพราะหลินหร่านเสมอ
อย่างไรก็ตาม เขากลัวว่าร่างกายของหลินหร่านจะทนไม่ไหว กระทั่งเกิดปัญหาขึ้น
“เื่ของลูก เราปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติแล้วกัน”
“อื้อ”
่ที่ทั้งคู่กำลังหวานแหววกันอยู่นั้น ติงหร่วนที่ยืนอยู่ด้านนอกได้เคาะประตูเพื่อแจ้ง “ท่านอ๋อง พระชายา หมอซูกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านสบตากัน
เพิ่งเอ่ยถึงเขาไปเมื่อครู่ เขาก็กลับมาจริง
หลังจากอวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านมายังโถงด้านหน้าก็พบกับร่างของคนสองคนที่ยืนอยู่ แน่นอนว่าผู้หนึ่งคือซูชิงเฟิง งดงามราวกับเทวดาที่ถูกเนรเทศ
อีกผู้หนึ่ง เขาสวมชุดเหมือนนักดาบแห่งเจียงหู ชุดนักดาบเป็สีดำเข้ารูป ดูคล้ายกับเทพบุตรรูปงาม ในมือถือกระบี่ยาว กำลังยืนพิงกายอยู่ที่เสาสูง มากด้วยเสน่ห์และไม่มีท่าทีแห่งความโลภ
อวี้ฉู่จาวพบเจอคนผู้นี้ครั้งแรก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเป็อย่างมาก เมื่อมองดูอย่างละเอียดจึงได้รู้ว่า...
เขาเคยพบคนผู้นี้ในชาติก่อน
ณ ตอนนั้นอวี้ฉู่จาวได้ช่วยชีวิตของผู้คนทางตะวันตกเฉียงใต้ หลังจากที่ซูชิงเฟิงได้เทียบยาเพื่อรักษาเขาจากการโดนพิษ
ชายผู้นี้คือคนที่สังหารหมู่ชาวเมืองตะวันตกเฉียงใต้ให้พื้นที่นั้นชุ่มไปด้วยเื และยังบ้าคลั่งบุกเข้ามาในกองทัพ อีกทั้งเกือบจะสังหารอวี้ฉู่จาวจนสิ้นชีวิต
และเหตุผลที่เขายอมแพ้ ละทิ้งการสังหาร เพราะแค่ไม่อยากให้ความพยายามของซูชิงเฟิงต้องสูญเปล่า
เพียงแค่นึกถึง อวี้ฉู่จาวก็เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของซูชิงเฟิงและคนผู้นี้โดยพลัน
ทว่า ชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป เขาสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังสังหารหมู่ ฆ่าล้างชาวบ้านได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ต้องไม่ใช่ชายธรรมดาทั่วไปแน่
--------------------------------------------------------
