ถูหย่งเฉิงจากไปได้ไม่ไกลนัก เพราะเขาเดินไปได้กว่าสิบลี้ก็ได้ยินเสียงแตรสัญญาณในค่ายทหาร จึงทราบว่าพี่รองถูโม่เฉิงอาจเกิดเื่แล้ว ดังนั้นจึงย้อนกลับมา ถูหย่งเฉิงเพิ่งย้อนกลับถึงค่ายทหาร ก็เห็นถูโม่เฉิงะเิตัวเองเสียชีวิต เฉกเช่นมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าที่หัวใจของเขา เวลานี้ยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ราชัน์หนานเทียนสิง!” ถูหย่งเฉิงเอ่ยชื่อนี้ขึ้นอย่างดุดัน แต่มิกล้าขยับแม้แต่น้อย ได้แต่มองจากที่ไกลๆ เนื่องจากตนรู้ดีว่าต่อให้ออกไปก็มีแต่ตายสถานเดียว นี่ก็คือเหตุผลที่ถูโม่เฉิงไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายลงมือและเลือกจบชีวิตตนเอง ราชันาผู้หนึ่งแสวงหาความตาย นอกจากจักรพรรดิาแล้ว มิมีผู้ใดสามารถยับยั้งได้
“ไฉนจึงเป็เช่นนี้? หรือว่าไอ้หนูนั่นเป็คนของราชัน์หนานเทียนสิง?” ถูหย่งเฉิงสงสัยในใจ แต่เขาไม่เห็นจ้านอู๋มิ่งปรากฏตัวในค่ายทหาร
เื่นี้แปลกประหลาด ถูหย่งเฉิงคิดหน้าคิดหลังแล้ว มักรู้สึกว่าเื่ราวนั้นแปลกยิ่งนัก จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตนยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของอีกฝ่าย มุ่งหน้าติดตามผึ้งเงาภูตผีมาตลอดทาง ไม่ทราบว่าทางพี่ใหญ่ถูหนานซิวเป็อย่างไรบ้าง ต้องตามหาพี่ใหญ่ให้พบก่อนค่อยปรึกษาหารืออีกทีว่าจะจัดการอย่างไร ครั้งนี้เจอผีสางแล้วจริงๆ ถูหย่งเฉิงลอบด่าในใจคำหนึ่ง
ถูหย่งเฉิงกำหมัดแน่น เขาทราบดีว่าสำหรับราชัน์หนานเทียนสิงแล้ว ตนไม่มีโอกาสแม้แต่จะแก้แค้น สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือกำจัดจ้านอู๋มิ่งให้เร็วที่สุด ตอนที่เขากลับมาถึงทางแยกนั้นอีกครั้ง กลับใจนตัวแข็งทื่อไปแล้ว
ภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างเพรียวสายหนึ่งผสมผสานเข้ากับร่มเงาต้นไม้โดยรอบ เฉกเช่นิญญาภูตผีแห่งขุนเขาที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันจนคาดมิถึง
“จ้านอู๋มิ่ง!” ถูหย่งเฉิงพูดโพล่งเสียงเบาคำหนึ่ง เขาเคยคิดหาวิธีจัดการจ้านอู๋มิ่งมากมายหลายวิธี ตลอดจนเคยคิดจะทรมานจ้านอู๋มิ่งเช่นไร ทำให้มันคิดมีชีวิตอยู่มิสมหวัง คิดตายมิสมปรารถนา แต่ไม่เคยคิดว่าจะพบกับจ้านอู๋มิ่งในลักษณะเช่นนี้
“เ้ามิใช่ตามหาข้ามาตลอดหรือ?” เสียงจ้านอู๋มิ่งเรียบสงบอย่างยิ่ง เหมือนสหายสองคนกำลังสนทนาถึงเื่เก่าๆ ในอดีต แต่ถูหย่งเฉิงฟังแล้วช่างบาดหูยิ่งนัก
ถูหย่งเฉิงพิจารณาบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวังเที่ยวหนึ่ง นอกจากจ้านอู๋มิ่งแล้วไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายลมหายใจผู้ใด ไม่เหมือนจะมีการซุ่มโจมตี ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ไม่เข้าใจไฉนจ้านอู๋มิ่งจึงเป็ฝ่ายปรากฏตัวขึ้นเอง ในป่ารกทึบแห่งนี้ หากอีกฝ่าย้าหลบซ่อนตัว ในมือตนไม่มีผึ้งเงาภูตผี คิดจะหาอีกฝ่ายให้พบก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่จ้านอู๋มิ่งกลับมาปรากฏตัวเบื้องหน้ามันเอง ราวกับเป็การท้าทายชนิดหนึ่ง
“เ้า้าจะเด็ดชีวิตข้าหรือ?” จ้านอู๋มิ่งใช้น้ำเสียงท้าทายชนิดหนึ่งถามขึ้น
“เ้าสมควรตาย!” ถูหย่งเฉิงนึกถึงการตายอย่างน่าอนาถของพี่รอง ก็เพราะตามแกะรอยไอ้เด็กน่าตายผู้นี้ เพียงแต่ไม่ทราบว่าไฉนไอ้หนูนี่จึงไม่อยู่ในค่ายทหาร กลับมาปรากฏตัวที่นี่ อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เ้าอยู่ที่นี่ ผู้ใดอยู่ในค่ายทหารนั้น?”
“ผู้ใดอยู่ในค่ายทหาร? หากจะจัดการกับพวกเ้า ข้าต้องใช้ผู้ช่วยด้วยหรือ เดิมผึ้งน้อยตัวนั้นก็คือเื่ตลกอยู่แล้ว เฮอะ เ้าคงไม่รู้กระมัง? มันชมชอบหนูยิ่งนัก ดังนั้นจะต้องพาพวกพ้องเ้าไปที่คลังเสบียงของค่ายทหารอย่างแน่นอน…” จ้านอู๋มิ่งคิดๆ แล้วหัวเราะพลางกล่าวตอบ
ถูหย่งเฉิงสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน นึกถึงพี่รองที่ล่วงลึกเข้าไปในค่ายทหารจนถูกกองทัพปิดล้อมจนต้องตายอย่างอนาถ และก็นึกถึงอาการลังเลของผึ้งเงาภูตผีตรงทางแยก พลันเข้าใจแล้ว ั้แ่แรกพวกเขาทั้งสี่ก็อยู่ในการคาดคำนวณของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ถ้าอีกฝ่ายเอาน้ำผึ้งเงาภูตผีทาบนตัวหนูจริงๆ เช่นนั้นผึ้งเงาภูตผีตัวนั้นก็จะต้องชักนำพี่รองไปถึงคลังเสบียงอย่างแน่นอน นี่จึงเป็ต้นเหตุของความเข้าใจผิดในกองทัพ ยามนี้เริ่มรู้สึกกังวลถึงพี่ใหญ่ขึ้นมา เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ทางด้านพี่ใหญ่มิมีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย
“แผนการทั้งหมดนั้น ต่อหน้าผู้มีพลังยุทธ์ที่แท้จริงล้วนแล้วแต่เป็เมฆาเลื่อนลอยทั้งสิ้น เวลานี้คู่ต่อสู้ของเ้าคือข้า!” ถูหย่งเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สงบสติอารมณ์ลงชั่วขณะ
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะ มองดูท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของถูหย่งเฉิงแล้วกล่าวว่า “ก็แค่คุณธรรมของเ้า เ้าจงวางใจ พี่ชายมิใช่มาร่วมสนทนาปราศรัยหรือดื่มสุราและผายลมกับเ้า พี่ชายเพียงแต่เกียจคร้านเท่านั้น มิค่อยชื่นชอบลงมือด้วยตนเอง คนอย่างพวกเ้ามักจะคิดว่าพี่ชายเจตนากลั่นแกล้ง คอยปั่นหัวพวกเ้าเล่น ความจริงแล้วพี่ชายเพียงแต่ไม่คิดจะลงมือด้วยตนเองง่ายๆ เพราะหากลงมือแล้วเ้าจะรับมือไม่ไหวจริงๆ”
อารมณ์ของถูหย่งเฉิงนิ่งค้าง แต่ว่าเขาไม่แยแสคำพูดจ้านอู๋มิ่ง ระยะห่างระหว่างราชันาและปรมาจารย์นักยุทธ์คือช่องว่างขนาดใหญ่ ดวงตาของเขามองไปทางเยี่ยนซานตั้งเป็ระยะๆ ลอบไตร่ตรองในใจ “ดูแล้วได้แต่กำจัดมันด้วยตัวข้าเพียงคนเดียวแล้ว”
“มิต้องรอสหายของเ้าแล้ว พวกมันล้วนตายหมดแล้ว เหลือเพียงเ้าเป็คนสุดท้าย หลังจากกำจัดเ้าแล้ว ข้ายังต้องรีบกลับเข้าเมืองไปนอนนะ” จ้านอู๋มิ่งทำท่าทางเกี่ยวก้อยกับถูหย่งเฉิง ลักษณะดูไม่ค่อยสนใจสักเท่าไรนัก
ถูหย่งเฉิงบันดาลโทสะแล้ว จ้านอู๋มิ่งกลับหัวเราะ ยามนี้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของถูหย่งเฉิงดุจน้ำหลากก็มิปาน ทำให้นภากาศแถบนี้แทบหยุดนิ่ง จ้านอู๋มิ่งค่อยๆ เกี่ยวนิ้วของเขา ภายใต้สภาวะพลังของถูหย่งเฉิง กลับเหมือนไม่ได้รับความกดดันใดๆ แม้แต่น้อย
ถูหย่งเฉิงไม่ได้รีบร้อนลงมือ บนใบหน้ามีเค้าความลังเลที่ปกปิดไม่ได้วูบหนึ่ง ไม่ว่าสภาวะพลังของมันเพิ่มพูนมากขึ้นเพียงใด ต่อให้วัชพืชในรัศมีหลายตารางวาเหี่ยวเฉาลง เนื่องจากแรงกดดันของสภาวะพลัง จ้านอู๋มิ่งยังคงสงบนิ่งเหมือนแนวหินโสโครกที่มั่นคงหนักแน่นท่ามกลางคลื่นทะเลคลั่งที่โหมซัดกระหน่ำ พลังทั้งหมดถูกซ่อนเร้นงำประกาย ดุจดั่งหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน อดกลั้นหรือบางทีปลีกตัวจากนภากาศและกาลเวลา ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เวลาที่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของมันควบแน่นเป็สภาวะพลังกระทบถูกร่างของจ้านอู๋มิ่ง กลับไถลเลื่อนผ่านไปโดยไม่หยุดลง นี่ทำให้ใจมันเกิดความรู้สึกที่ไร้เรี่ยวแรงชนิดหนึ่ง
นี่เป็คู่ต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาผู้หนึ่งจริงๆ พลังปราณของผู้บ่มเพาะมาจากพลังจิติญญาระหว่างฟ้าดิน เวลาที่มันรวบรวมพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้โจมตีใส่อีกฝ่าย กลับไม่สามารถััถึงตำแหน่งของคู่ต่อสู้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้นี้ ทำให้เขารู้สึกว่างเปล่า คล้ายชกใส่ผิวน้ำ ยิ่งรวบรวมพลังขึ้น ยิ่งแสดงอานุภาพยากลำบากยิ่งขึ้น ถูหย่งเฉิงในเวลานี้ ถึงกับถูกพลังจิติญญาการต่อสู้ที่ควบแน่นของตัวเองอัดแน่นจนรุ่มร้อนให้กระวนกระวายใจ
ร่างของจ้านอู๋มิ่งขยับเล็กน้อย ก้าวเดินเบาๆ ราวหนึ่งฟุต รอยยิ้มเ้าเล่ห์แวบขึ้นในดวงตาเขา ยามที่จ้านอู๋มิ่งขยับ ถูหย่งเฉิงถึงกับพบว่าพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ของตนถูกชักจูงโดยจ้านอู๋มิ่งอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ตนเองยังจับเป้าหมายการโจมตีไม่ได้ ในใจใยิ่งนัก หากพูดว่าก่อนหน้านี้เป็ความประหลาดใจ ยามนี้ก็มีความรู้สึกตื่นตระหนกและ้าหลบหนีชนิดหนึ่ง แต่ว่าการเคลื่อนไหวเรียบง่ายของจ้านอู๋มิ่งเหมือนกับเหยียบหางเขาเอาไว้ ทำให้อยากหนีก็หนีไม่ได้
“นี่คือวิธีการต่อสู้ใดกัน?” ถูหย่งเฉิงแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ ฝ่ายตรงข้ามเป็เพียงปรมาจารย์นักยุทธ์เท่านั้น กลับสลัดหลุดจากพลังควบคุมของตนโดยสิ้นเชิง
"คัมภีร์เทพอนัตตา" จ้านอู๋มิ่งเอ่ยชื่อขึ้นเบาๆ จากนั้นคล้ายสัตว์อสูรร้ายจากยุคาพลันตื่นขึ้น ะเิพลังออกมาจากร่างของเขา ท้องฟ้ายามราตรีดำมืดลงกว่าเดิม ราวกับว่าแสงจันทร์หายไปจนหมดสิ้น เมฆดำปกคลุมท้องฟ้าแน่นขนัด ถูหย่งเฉิงรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาจากส่วนลึกภายในจิติญญาแห่งชีวิต ทำให้พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ในร่างหยุดชะงักไปทันที คล้ายดั่งถูกเทพเ้ามองลงมาจากบนฟากฟ้า ท่ามกลางแม่น้ำสุดแสนยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด ตนเหมือนดั่งเรือน้อยลำเล็ก ช่างเล็กจ้อยและเปราะบางยิ่งนัก…
นี่คือความสะท้านะเืของจิติญญาชนิดหนึ่ง!
……
ณ วังหลวงเจี้ยนซิวกงแห่งเมืองหนานเจา เป็สถานที่ที่สูงที่สุดในเมือง ขณะเดียวกันก็เป็สถานที่ต้องห้ามของเมืองหนานเจา เล่าขานกันว่าหนานหยวนจง บรรพบุรุษเฒ่าของแคว้นหนานเจาฝึกฌานบ่มเพาะพลังในสถานที่แห่งนี้ ร้อยกว่าปีก่อน หนานหยวนจงก็บรรลุขอบเขตจักรพรรดิาแล้ว มีคนกล่าวว่าหนานหยวนจงบรรลุขอบเขตจักรพรรดิาระดับกลางแล้ว กล่าวได้ว่าเป็เสาหลักแห่งแคว้นหนานเจา หากมิใช่เกิดเหตุการณ์สำคัญในหนานเจา โดยทั่วไปจะไม่รบกวนหนานหยวนจงบรรพบุรุษเฒ่า และการคัดเลือกศิษย์ของแปดสำนักนิกายใหญ่ครั้งนี้กล่าวได้ว่าเป็งานใหญ่ เป็เหตุการณ์สำคัญของหนานเจา และยังเป็เื่น่ายินดีปรีดา ดังนั้นหนานหยวนจงจึงประจำอยู่ในเมืองหนานเจา พิทักษ์ข้อกำหนดที่ตั้งขึ้นโดยแปดสำนักนิกายใหญ่ ข้อบังคับที่หากระดับราชันาลงมือโดยพลการจะต้องตาย
ยามนี้ หนานหยวนจงยังมิได้นอนหลับพักผ่อน กำลังเล่นหมากรุกกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
“พี่หยวนจง หลายปีมานี้หนานเจาปรากฏอัจฉริยบุคคลขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ ในยอดฝีมือบนป้ายประกาศรายชื่อทองกลับมีมากกว่าสิบคนมาจากหนานเจา ดูแล้วการคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่ของแปดสำนักนิกายใหญ่ครั้งนี้ ผลลัพธ์ของหนานเจาคงเฟื่องฟูยิ่งนัก” ชายวัยกลางคนยิ้มพลางวางหมากลง
“เฮอะ ผู้าุโเถี่ยพูดจาล้อเล่นแล้ว หนานเจาของข้าเป็แค่สถานที่เล็กๆ เท่านั้น ต่อให้มีอัจฉริยะมากกว่าสิบคนแล้วอย่างไร ท้ายที่สุดก็เป็เพียงตัวแทนที่สำนักนิกายต่างๆ ฝึกฝนเท่านั้น อัจฉริยบุคคลแบบนี้ อยู่ในสำนักนิกายนับเป็อะไรได้อีก นึกถึงสำนักิญญาเร้นลับของเ้าสิ เป็สำนักอันดับหนึ่งของใต้หล้า เฉพาะศิษย์สายนอกก็จำนวนนับแสนคนแล้ว แต่ละคนล้วนเป็อัจฉริยะที่น่าทึ่งทั้งสิ้น แคว้นหนานเจาของข้าเกรงว่าสะสมนับพันนับหมื่นปีก็ไม่สามารถมีจำนวนศิษย์มากกว่าสำนักของท่าน…” หนานหยวนจงส่ายหน้า ฝืนหัวเราะและกล่าวขึ้น
“ผู้คนในทางโลกิยะกับในสำนักนิกายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คู่ต่อสู้ที่สำนักนิกายเผชิญก็แตกต่างกัน ถ้าเผชิญแค่แคว้นเดียว เมืองเดียว บางทีศิษย์นับพันนับหมื่นของสำนักนิกายอาจเพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่สำนักนิกายต้องเผชิญคืออิทธิพลของมหาอำนาจทั้งหมดของแผ่นดินใหญ่พั่วเหยียน แคว้นตงหลิงของข้าถึงแม้กว้างใหญ่ไพศาล แต่เมื่อเทียบกับแคว้นอื่นๆ หลายเมืองแล้ว ความแข็งแกร่งยังคงไม่เพียงพอ หากเผชิญกับาระหว่างแคว้นที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกข้าก็ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยเช่นกัน” ชายวัยกลางคนทอดถอนใจคราหนึ่ง
ได้ยินคำว่าาระหว่างแคว้น หนานหยวนจงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ถอนใจกล่าวว่า “เปรียบเทียบเช่นนี้ แคว้นหนานเจาของข้าถึงจะมีขนาดเล็ก กลับยังนับว่าสงบสุขอยู่ ผ่านมากี่ปีแล้ว ทุกครั้งล้วนมีสหายเก่ามากมายที่ไม่สามารถกลับมาได้แล้ว”
“เื่ราวที่ทำให้เสียอารมณ์เ่าั้อย่าได้พูดถึงเลย มอบให้เ้าสำนักนิกายต่างๆ ไปปวดหัวก็แล้วกัน ครั้งนี้ข้าอยู่ในเมืองหนานเจากลับได้เห็นไอ้หนูที่น่าสนใจผู้หนึ่ง” ชายวัยกลางคนผู้นั้นโบกมือขัดจังหวะคำพูดของหนานหยวนจง หัวเราะพูดขึ้น
“อ้อ คงเป็ไอ้หนูผู้เชี่ยวชาญพลังบ่มเพาะกายภาพผู้นั้น?” หนานหยวนจงพูดเสริม
“พี่หยวนจงก็สังเกตเห็นแล้วเช่นกันหรือ ไอ้หนูคนนี้ช่างแตกต่างจริงๆ ทั้งตัวไม่สามารถััถึงพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ได้ แต่กายเนื้อกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูร อาศัยพลังของกายเนื้อเท่านั้นก็เก่งกล้าสามารถไร้ผู้ทัดเทียมในระดับต่ำกว่าราชันาลงมา อีกทั้งยังเยาว์เช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก” ชายวัยกลางคนผงกศีรษะพูดขึ้น
“ที่ข้าสังเกตเห็นกลับมิใช่เพราะพลังกายเนื้อของเขา แต่เป็เื่ราวที่เขาบอกกับเถี่ยมู่เหอ เด็กคนนี้เป็บุคคลชั้นเลิศ ลึกซึ้งเ้าความคิด สติปัญญาเฉลียวฉลาดเหนือธรรมดา ใช้นิทานธรรมดาเื่หนึ่ง มิเพียงทำให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้โดยมิเสียใจ ในใจกลับรู้สึกซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น แค่อาศัยนิทานเื่เดียวก็กระตุ้นให้เถี่ยมู่เหอทะลวงด่านขึ้นไปอีกขั้นบนถนนสายดังกล่าว ความสามารถในการเข้าใจธรรมชาติและจิตใจมนุษย์ของเขาจึงเป็เื่ที่น่าแปลกใจมากที่สุด” สีหน้าหนานหยวนจงแสดงความชื่นชม
“พี่หยวนจงก็ชื่นชอบในบุคคลที่เปี่ยมพร์เช่นกัน ถ้ามิใช่เพราะสำนักิญญาเร้นลับของข้าไม่มีคัมภีร์วิชาลับใดเหมาะสมสำหรับกับการบ่มเพาะพลังกายภาพเป็พิเศษ ข้าอยากพาเด็กคนนี้ไปเป็ศิษย์จริงๆ” ชายวัยกลางคนพูดอย่างอับจนปัญญาอยู่บ้าง
“เฮอะ ข้าได้ยินมาว่าเลวี่ยเหวินซิว เฒ่าบ้าคลั่งผู้นั้นก็ชื่นชมไอ้หนูนี่มากเช่นกัน กำลังสืบข่าวคราวของเด็กผู้นี้อย่างลับๆ อยู่” หนานหยวนจงหัวเราะกล่าวขึ้น
“วิทยายุทธ์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานเหมาะกับนักบ่มเพาะพลังกายภาพมากกว่า เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนบ้าคลั่งที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานกลุ่มหนึ่ง” ชายวัยกลางคนหัวเราะลั่น ทันใดสีหน้าแปรเปลี่ยน
สีหน้าของหนานหยวนจงก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน ทั้งสองสบตากันคราหนึ่ง วางหมากในมือลง บินขึ้นบนหลังคาวังเจี้ยนซิวกงอย่างรวดเร็ว น่าแปลกใจที่พบว่าแสงจันทร์มืดสลัวลง ห่างออกไปหลายสิบลี้นอกเมืองหนานเจา กลุ่มเมฆดำหนาแน่นกำลังก่อตัวขึ้น พลังจิติญญาฟ้าดินบนท้องฟ้าบริเวณนั้นกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย จึงรีบแผ่ประสาทััพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นสีหน้าทั้งสองแปรเปลี่ยนเป็ซีดขาว แรงดึงดูดที่เหมือนหลุมดำก็มิปานดูดเอาพลังประสาทััที่แผ่ไปจนหมดสิ้น กลิ่นอายปราณดุจดั่งอำนาจสูงสุดของเทพเ้าสายหนึ่งแผ่ขยายล่วงลึกเข้าไปภายในจิติญญาของพวกเขาผ่านนภากาศ พวกเขารู้สึกว่าิญญาปฐมภูมิแก่นแท้แห่งชีวิตพวกเขาเหมือนถูกพายุพัดผ่าน จนดูริบหรี่ใกล้สลาย ภายใต้ความตกตะลึง จึงรีบถอนประสาทัักลับมา
“นี่มันเื่อะไรกัน? เป็ความกดดันที่รุนแรงยิ่งนัก จิติญญาธาตุชีวิตของข้าเมื่อสักครู่นี้ถึงกับเกิดการสั่นสะท้านด้วยความครั่นคร้ามขึ้นมาจริงๆ” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วแแ่ มองฟ้าดินตรงบริเวณนอกเมืองนั้นอย่างสับสนไม่เข้าใจ
“ข้าก็เช่นกัน หรือว่าเป็สัตว์ประหลาดเฒ่าตัวใดถือกำเนิด?” สีหน้าหนานหยวนจงเคร่งขรึม
“พวกเราอย่าได้ผลีผลามทดสอบ สัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นไม่สนใจพูดเื่เหตุผล พวกเราไปเล่นหมากรุกของพวกเราต่อเถิด” ชายวัยกลางคนครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“ใช่แล้ว” หนานหยวนจงปล่อยวางความกังวลใจลง ถึงอย่างไรเมืองหนานเจาก็เป็สถานที่คัดเลือกศิษย์แปดสำนักนิกาย ถึงแม้ว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าจะถือกำเนิดขึ้นก็ตาม ถ้าแคว้นหนานเจาไม่ได้ถูกดูิ่ล่วงเกิน ก็มิอาจไม่เห็นแก่หน้าของแปดสำนักนิกาย กลับมิต้องวิตกกังวลมากเกินไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้