เมื่อเห็นองค์หญิงอันหย่าซึ่งแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของนางกำนัล เหมือนจะครึ่งหลับครึ่งตื่น ในใจของมู่จื่อหลิงเกือบจะหลงเชื่อแล้ว
เหตุใดจู่ๆ องค์หญิงอันหย่าจึงล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ นางคิดว่า นางเดาเหตุผลนั้นได้แล้ว
องค์หญิงอันหย่าผู้นี้ดูไร้สมองไม่ต่างไปจากมู่อี๋เสวี่ย เหตุใดนางถึงมุ่งมั่นนัก ถูกผู้อื่นเมินเฉยถึงเพียงนี้ แต่นางยังสร้างปัญหาและความเ็ปให้กับตนเอง ยืนกรานที่จะไม่จากไป
ในเวลาเดียวกัน ใจของมู่จื่อหลิงก็ยิ่งงงงวยมากขึ้นไปอีก มารร้ายอย่างหลงเซี่ยวอวี่ทรงพลังมากเพียงใดกันแน่?
เขามีเสน่ห์ขนาดนั้นเลยหรือ? ถึงทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์และมีเกียรติผู้นี้หมกมุ่นได้เช่นนี้
ห่างจากรถม้าเพียงไม่กี่ก้าว ชิวเซียงกับชิวเยวี่ยนางกำนัลคนสนิทขององค์หญิงอันหย่าได้คุกเข่าลงบนพื้น ในอ้อมแขนของชิวเซียงมีองค์หญิงอันหย่าที่หน้าซีดเซียวซึ่งกำลังทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ชิวเซียงกับชิวเยวี่ยก็เงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นเพียงมู่จื่อหลิงที่พิงหน้าต่างรถม้าอย่างสบายอารมณ์ ทั้งยังมองลงมาที่พวกนางด้วยความสนใจ
ทันใดนั้น เสียงร้องของนางกำนัลทั้งสองก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
โดยรอบเกิดเป็ความเงียบ
หลงเหลือเพียงเสียงแ่เบาจากปากขององค์หญิงอันหย่าที่ร้องออกมาด้วยความไม่สบายตัว
เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่จื่อหลิงบนใบหน้าของนาง ชิวเซียงกับชิวเยวี่ยก็ตะลึงเล็กน้อย...
จนถึงยามนี้พวกนางยังคงเชื่องช้าอยู่บ้าง
นั่นเป็เพราะ...พวกนางเห็นว่าฉีอ๋องกำลังโอบกอดผู้หญิงคนนั้น มันช่างเหลือเชื่อ ความคิดภายในยุ่งเหยิงราวกับอยู่ท่ามกลางสายลม
แต่สิ่งที่ทำให้พวกนางไม่อยากเชื่อมากที่สุดก็คือ แม้ว่าเมื่อครู่พวกนางจะไม่กล้ามองดูว่าฉีหวางเฟยกับฉีอ๋องกำลังทำสิ่งใดอยู่ภายในรถม้า แต่พวกนางก็สามารถได้ยินการเคลื่อนไหวในรถม้าได้อย่างชัดเจน
และองค์หญิงอันหย่าไม่เพียงแต่ได้ยินเสียงเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดเจนอีกด้วย
เมื่อองค์หญิงอันหย่าเห็นภาพรถม้า ใบหน้าของนางก็ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด นางก็ถูกกระตุ้นด้วยเสียงอันดังนี้โดยตรง
เกี่ยวกับเื่นี้ ไม่ว่าพวกนางจะคิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก ฉีอ๋องผู้เฉยเมยและโเี้ ทั้งยังเห็นสตรีไร้ค่า ในวันนี้เพียงเพื่อเกี้ยวพาราสีหญิงสาวบนรถม้า พระองค์จึงมีทั้งความอ่อนโยนและอบอุ่น
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดสำหรับพวกนางก็คือ หญิงผู้โง่เขลาผู้นี้...นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรประจบเอาใจอย่างไร ทั้งยังขัดแย้งกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ความขัดแย้งก็ส่วนขัดแย้งกัน แต่ยังสามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลอีกด้วย
การอยู่อย่างปลอดภัยไร้กังวลก็เพียงแค่นั้น แต่นี่นางยังสามารถทำให้ฉีอ๋องพูดอย่างนุ่มนวลและไพเราะได้อีกด้วย หลงใหลกันถึงเพียงนี้...
ในยามนี้ชิวเซียงและชิวเยวี่ยกำลังจ้องมองมู่จื่อหลิง ราวกับว่าพวกนางกำลังดูคนบ้าที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เป็เวลานานกว่าจะกลับไปสนใจผู้เป็นาย...
“ข้าถามพวกเ้าทั้งสอง เปิ่นหวางเฟยมีดอกไม้ติดอยู่บนใบหน้าหรืออย่างไร? พวกเ้าจ้องมองมาที่เปิ่นหวางเฟยด้วยเหตุใด?” มู่จื่อหลิงมองไปที่นางกำนัลที่กำลังตกตะลึงทั้งสองด้วยท่าทางขบขัน
ในตอนท้าย นางกรุณาบุ้ยปากชี้ให้พวกนางดูองค์หญิงอันหย่าที่กำลังหายใจลำบากก่อน “ดูนั่น นายของพวกเ้ากำลังป่วยหนัก ราวกับว่านางกำลังจะตาย!”
แน่นอนว่า...ในยามที่หันมององค์หญิงอันหย่าผู้หน้าซีดเผือดผู้นี้ มู่จื่อหลิงก็แสดงความรังเกียจออกมา
เพราะนางไม่เชื่อว่าต้นกล้าที่แสร้งอ่อนแอผู้นี้ จะตายเช่นนี้ได้!
ชิวเซียงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้งในทันที พร้อมทำสีหน้าวิตกกังวล “หวางเฟย องค์หญิงทรงประชวรกะทันหัน ได้โปรดช่วยองค์หญิงด้วยเพคะ”
“ใช่ หวางเฟย ข้าได้ยินมาว่าท่านเก่งเื่ยา ช่วยองค์หญิงของเราด้วยนะเพคะ” น้ำเสียงของชิวเยวี่ยก็มีแววอ้อนวอนเช่นกัน
มู่จื่อหลิงยักไหล่และกางมือออก แสดงออกว่าตนก็ไร้หนทางเช่นกัน “เปิ่นหวางเฟยไม่ได้มีความสามารถทุกอย่าง และไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค” สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ใช่ทุกคนที่จะรอดได้
หากนางเป็เพียงหญิงใจดีที่อยู่อย่างสันโดษทั้งยังโง่เขลา ยามเห็นภาพที่น่าสงสารเช่นนี้ นางอาจเข้าช่วยชีวิตจริงๆ ก็เป็ได้
แย่จัง...นางไม่ใช่
อีกทั้งคนผู้นี้ก็ยังเป็อันหย่า ไม่ต้องบอกว่านางไม่มีใจจะทำ ด้วยถึงมี ก็ไม่อยากทำเช่นกัน
นางไม่เข้าใจ วังหลวงอยู่ตรงหน้า ไม่ว่านางกำนัลสองคนนี้จะโง่เง่ามากเพียงใด เป็ไปได้หรือที่จะปล่อยให้อันหย่านอนตายอยู่ตรงนี้ มันเกิดอะไรขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่เข้าวังไปหาหมอหลวงหรืออย่างไร?
ดวงตาของมู่จื่อหลิงมีแววครุ่นคิด นางรู้สึกเสมอว่าเื่ในยามนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เรียบง่ายถึงเพียงนั้น
หลังจากได้ยินมู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้ นางกำนัลทั้งสองก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตารินไหลลงมาราวกับว่าพวกนางได้รับความคับข้องใจอย่างใหญ่หลวง
ชิวเยวี่ยน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน “หวางเฟย ทักษะทางการแพทย์ของท่านยอดเยี่ยม ยามนี้องค์หญิงทรงประชวร ได้โปรดช่วยนางด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
ทันทีที่เสียงของชิวเยวี่ยเงียบลง มุมปากของมู่จื่อหลิงก็โค้งขึ้นเป็การหยอกล้อเล็กน้อยอีกครั้ง
อาการหัวใจวายเฉียบพลันรุนแรงถือเป็ภัยคุกคามที่ร้ายกาจ ความประมาทเพียงเล็กน้อยจะนำไปสู่ความตาย
นายและคนใช้ทั้งสามนั่งกอดกันกลมอย่างน่าสมเพช และผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารพวกเขา
แต่มู่จื่อหลิงเข้าใจเป็อย่างดี การล้มป่วยของต้นกล้าอ่อนแอในครั้งนี้เป็ความจริงเพียงครึ่งเดียว มันไม่ร้ายแรงขนาดนั้น แม้จะได้รับการกระตุ้นจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น
อันหย่าผู้นี้เป็โรคนี้มาั้แ่เกิด เชื่อว่าไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าตัวนางเอง หากไม่ร้ายแรง นางย่อมควบคุมมันเองได้
มู่จื่อหลิงมองไปที่องค์หญิงอันหย่าด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม มองนางที่หลับตาอยู่ และนางยังทำการเคลื่อนไหวเล็กๆ
ดูสิ ในยามนี้ องค์หญิงอันหย่าแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และอาการไอก็ลดลง
เ้าเล่ห์สิ้นดี!
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มู่จื่อหลิงจะเปิดปากพูด คำพูดที่เศร้าโศกและเกินจริงมากยิ่งขึ้นก็ดังขึ้นมา แม้ว่าชิวเซียงจะกำลังร้องไห้ แต่คำพูดของนางก็ยังเฉียบแหลม “หวางเฟย ท่านเก่งเื่ยา ท่านจะเฝ้ามององค์หญิงทนทุกข์และไม่ช่วยนางได้อย่างไร?”
คำพูดของชิวเซียงนั้นช่างเหลือเชื่อ และดูเหมือนว่าจะกระตุ้นให้ชิวเยวี่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “องค์หญิงของเราไม่ได้ยั่วยุท่าน ท่านจะไม่ช่วยองค์หญิงเลยหรือ?”
“ใช่แล้ว องค์หญิงของเรา...”
สองนางกำนัลผู้หยิ่งผยองไม่เห็นนางในสายตา เ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งประโยค [1] นี่ไม่ใช่กำลังประณามมู่จื่อหลิงอยู่หรือ ทุกคำ ยิ่งพูดก็ยิ่งหยาบคาย
มู่จื่อหลิงแคะหูอย่างไม่สนใจ ยักไหล่อย่างเฉยเมย และพูดอย่างสบายๆ “เปิ่นหวางเฟยถามว่าพวกเ้ากำลังทำอะไรกันอยู่ เหตุใดเ้าพูดออกมาเสียแล้วว่าเป็เปิ่นหวางเฟยผู้นี้ที่ทำให้องค์หญิงอันหย่าเป็เช่นนี้ ประตูวังหลวงอยู่ตรงนั้น ก่อนที่องค์หญิงผู้นี้จะจากไป ยามนี้รีบเข้าไปพูดให้ร้ายผู้อื่นต่อไทเฮาเลยสิ!”
มู่จื่อหลิงพูดจี้ด้วยหนึ่งเข็มจนเห็นเื ทุกคำคือการประชดประชัน และด้วยคำเดียวก็สามารถเปิดเผยกลอุบายของพวกนางได้
หากการคาดเดาของนางถูกต้อง พูดตรงๆ ก็คือ ดูเหมือนการที่องค์หญิงอันหย่าหัวใจวายครั้งนี้เป็เพราะนางใช่หรือไม่? แต่แล้วอย่างไร?
ยามนี้นางแค่อยากกล่าวสรุปให้อันหย่าสักคำหนึ่งนั่นคือ ถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้ไม่ยอมให้เสียไปเด็ดขาด
นางคิดว่าองค์หญิงอันหย่าผู้นี้มีอุบายมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น บัดนี้ไม่ใช่ว่าองค์หญิงอันหย่า้าพึ่งพาูเาสูงอย่างไทเฮาเพื่อใช้ในการกดดันนางหรอกหรือ?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจอยู่ภายใน การเจ็บป่วยก็ยังมีเื่ดี นางสามารถแสดงถึงอาการเจ็บป่วยออกมาได้ทุกที่ทุกเวลา
กลอุบายถูกเปิดเผย นางกำนัลธรรมดาสองคนเ้ามองข้า ข้ามองเ้า [2] เป็เช่นนี้อยู่พักหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรต่อไป
สิ่งที่พวกนางคิด...มันเป็เพียงแค่การใส่ร้ายฉีหวางเฟยหรือ?
องค์หญิงอันหย่าถูกกระตุ้นโดยฉีหวางเฟย แต่ไม่มีหลักฐาน พวกนางเพียงแค่ทำตามความตั้งใจก่อนหน้านี้ขององค์หญิงเท่านั้น
ผู้ใดจะคิดว่าฉีหวางเฟยไม่กลัวความตาย มันเป็การพลิกกลับครั้งใหญ่ในคราวเดียวสำหรับพวกนาง
มู่จื่อหลิงหรี่ตามองพวกนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม กล่าวในเวลาที่เหมาะสมว่า “บ่าวอย่างพวกเ้าทั้งสอง หากมีเวลาที่จะร้องไห้อยู่ที่นี่ เหตุใดพวกเ้าถึงไม่รีบเข้าวังเพื่อไปตามหมอหลวง บางทีอีกไม่นาน เ้าอาจจะต้องร้องหาคนผู้นั้นจริงๆ”
ต้องบอกว่า หากมู่จื่อหลิงไม่พูด ก็คงไม่เป็ไร เนื่องจากหนึ่งคำของนางสามารถวางยาพิษให้ตายได้โดยตรง
ประโยคคมกริบดั่งใบมีดน้ำแข็ง...พุ่งแทงไปที่หัวใจโดยตรง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ องค์หญิงอันหย่าซึ่งหัวใจค่อยๆ ผ่อนคลายลง ก็เริ่มรู้สึกไม่ดี หายใจถี่ขึ้นอีกครั้ง นางยังคงไอต่อไป...
ฮึ! โกรธแทบตายแล้ว!
มู่จื่อหลิงเหลือบมองที่องค์หญิงอันหย่าช้าๆ พร้อมบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ ก่อนจะมีแววเยาะเย้ยดูถูกปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ชิวเยวี่ยลุกขึ้นยืนทันที ชี้ไปที่มู่จื่อหลิงราวกับสุนัขรับใช้ที่อาศัยบารมีของผู้เป็นาย กล่าวตำหนิเสียงดังว่า “หวางเฟย ท่านสาปแช่งองค์หญิงของเราได้อย่างไร? เหตุใดจิตใจของท่านถึงช่างร้ายกาจเช่นนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
ร้ายกาจ? นี่เป็ครั้งแรกที่มีคน ‘ยกย่อง’ นางเช่นนี้
“พวกเ้าแน่ใจแล้วหรือว่า้าต่อสู้กับเปิ่นหวางเฟยที่นี่?” มู่จื่อหลิงมองพวกนางด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตาของนางมีร่องรอยของความเ็าที่ไม่สามารถเพิกเฉยได้
นายเป็เช่นไรก็เลี้ยงทาสเป็เช่นนั้นจริงๆ นางกำนัลสองคนนี้ก็เหมือนผู้เป็นาย ช่างน่ารำคาญ ไม่รู้จักจบจักสิ้น
เมื่อเห็นดวงตาของมู่จื่อหลิงเช่นนี้ นางกำนัลทั้งสองก็รู้สึกหายใจยากลำบาก พวกนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวในใจ
มู่จื่อหลิงพ่นลมอย่างเ็า คร้านเกินกว่าจะโต้ตอบกับพวกนางอีก
นางหันไปมองมู่อี๋เสวี่ยที่อยู่ห่างไกล
มู่อี๋เสวี่ยตื่นขึ้นมาจากความสับสน ในชั่วพริบตา ก็ตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดบนร่างของนาง
จู่ๆ นางก็รู้สึกสับสน นางค่อยๆ หลับตาลงแล้วก้มมองหน้าอกของตน...
หลังจากนั้น มู่อี๋เสวี่ยก็ฟื้นคืนสติขึ้นมาในทันที
“อ๊าย!” เสียงร้องที่น่าใดังะเืไปถึงชั้นฟ้า
ในเวลานี้นางทั้งตื่นตระหนกและสับสนจนแทบแตกดับ
นาง นางกลายเป็เช่นนี้ได้อย่างไร?
นางไม่นึกเลย นึกไม่ถึง...นางจำได้แค่ว่านางถูกฉีอ๋องโยนจนตัวปลิวออกมา แล้วหลังจากนั้น...มันเกิดอะไรขึ้น? ผู้ใดสามารถบอกนางได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
อย่างไรก็ตาม อาการปวดแสบปวดร้อนและรอยฟกช้ำที่เห็นได้ชัดบนร่างกายของนาง ดูเหมือนจะช่วยย้ำเตือนมู่อี๋เสวี่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง
ไม่ เป็ไปไม่ได้...มันเป็ไปไม่ได้
ผู้ใด? เป็ผู้ใด...ผู้ใดทำให้นางเป็เช่นนี้?
ในยามนี้ ร่างกายของมู่อี๋เสวี่ยพังทลายลงจนนางรู้สึกอ่อนแรง
นางอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ ด้วยความเ็ป นางอับอายมากจนอยากจะเป็ลมไปตรงนี้ และแสร้งทำเป็ว่านางไม่รู้สิ่งใดเลย แต่กลับพบว่านอกจากน้ำตาที่เอ่อล้นออกจากเบ้าตาอย่างต่อเนื่องแล้ว นางก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก
ถูกทำลายอย่างเลวร้าย แต่นางกลับไม่รู้ว่าผู้ใดเป็คนทำร้ายนาง ความอัปยศสุดจะพรรณนานี้ ทำให้มู่อี๋เสวี่ยรู้สึกหมดหนทางอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางทั้งหวาดกลัวและตื่นตระหนก...
มู่จื่อหลิงมีรอยยิ้มที่มุมปากของนาง มองดูฉากที่น่าสลดใจนี้อย่างเ็า หัวใจของนางก็สงบ ไม่มีความรู้สึกใดเลย
มู่อี๋เสวี่ย นี่เป็เพียงคำเตือนจากพี่สาวที่แสนดีอย่างข้า หากเ้ากล้ายั่วยุข้าอีก ครั้งหน้ามันจะไม่ง่ายเช่นนี้
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งประโยค (你一言我一语) เป็วลี มีความหมายว่า พูดตอบโต้กันได้อย่างไม่ขาดตอน
[2] เ้ามองข้า ข้ามองเ้า (你看看我,我看看你) เป็วลี มีความหมายว่า มองกันไปมา ส่วนมากใช้ในการอธิบายถึงสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไข ไม่รู้จะทำอย่างไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้