ในถ้ำลับ หลัวเลี่ยหยิบลูกแก้วจิตัออกมา และเริ่มเข้าณานเพื่อพัฒนาพลังให้ไปถึงระดับสิบของระดับผู้ฝึกตน
สำหรับเขาแล้ว การทะลวงระดับพลังไม่ใช่เื่ยาก
แต่ความยากที่แท้จริงคือผลกระทบจากการทะลวงระดับพลังในภพจิตัต่างหาก
ในภพจิตันั้นแปลกมาก แม้ว่าร่างกายจะเข้ามาจริงๆ แต่ก็มีความแตกต่างจากตัวตนที่อยู่ในโลกจริงอย่างมาก ซึ่งความแตกต่างนี้รวมไปถึงพลัง จิติญญา และร่างกาย
หลัวเลี่ยเห็นเนื้อหาจากหนังสือจำนวนมากที่อยู่ในห้องสมุดของเรือนพเนจร
และแน่นอนว่าหนังสือพวกนั้นทำให้เขารู้จักแก้วจิตั
เขาส่งพลังของตนเองไปยังแก้วจิตั
หลังจากที่เขาส่งพลังไปยังแก้วจิตั มันก็เปล่งแสงออกมา และเริ่มดูดซับพลังบริสุทธิ์ที่อยู่รอบๆ เข้าไปก่อตัวเป็รูปัอยู่ภายในลูกแก้ว
เมื่อรูปร่างของัก่อตัวขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง มันก็ปล่อยเสียงคล้ายัออกมา จากนั้นก็เริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแก้วจิตั และรอยร้าวนั้นก็เริ่มแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดแก้วจิตัก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ
ัที่ตอนแรกอยู่ภายในแก้วจิตับินออกมา พลังบริสุทธิ์จำนวนมากที่ถูกแก้วจิตัดูดซับในตอนแรกก็ถูกัตัวนั้นดูดซับเข้าไปด้วย จนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น และเริ่มบินไปมารอบๆ ตัวของหลัวเลี่ยได้ ทุกครั้งที่บินมันก็จะดูดซับพลังบริสุทธิ์เ่าั้ไปด้วย จากนั้นหลัวเลี่ยก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความเป็จริง
มันเป็ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม และยังเป็สัญญาณที่บอกเขาว่าถึงเวลาต้องฝึกฝนแล้ว
หลัวเลี่ยหลับตาลงช้าๆ และเริ่มเคลื่อนพลังภายในตามหลักของเคล็ดวิชาั์
เมื่อพูดถึงเคล็ดวิชาั์ เคล็ดวิชานี้มีความเป็เอกลักษณ์มาก และทะลวงพลังได้ไม่ง่ายนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะทะลวงเข้าสู่ระดับสุดท้ายของขั้นพลังนั้นยากยิ่งกว่า
โชคดีที่ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยมีพลังจนถึงจุดสูงสุดของระดับที่เก้าแล้ว และระยะทางในการก้าวข้ามระดับพลังสำหรับเขานั้นนับว่าเป็เพียงเส้นบางๆ
แต่เส้นนี้ก็ยังต้องพึ่งโอกาสในการทะลวงข้าม
ด้วยพลังของแก้วจิตั และยังมีสาวงามสองคนที่คอยปกป้องอยู่ด้านนอก ทำให้เขาสามารถทุ่มกำลังเพื่อทะลวงระดับได้อย่างเต็มที่ และความเร็วในการก้าวหน้าของเขาก็น่าประทับใจทีเดียว
เจ็ดวันต่อมา ในที่สุดก็ถึงเวลาของการทะลวงระดับพลัง
ทันใดนั้นอากาศในถ้ำลับก็สั่นะเืราวกับถูกกดทับด้วยแรงมหาศาล อากาศภายในถ้ำนี้สั่นะเือย่างผิดปกติ และเริ่มหมุนวนรอบๆ ร่างของหลัวเลี่ย
พลังภายในของหลัวเลี่ยเริ่มเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่ออากาศที่หมุนวนอยู่โดยรอบ ความเร็วของพลังที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั้นรวดเร็วมาก จนผ่านไปเพียงพริบตาเดียว พลังภายในเส้นลมปราณของหลัวเลี่ยก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า นับว่าเป็ความก้าวหน้าที่น่าใอย่างมาก
จากนั้นพลังภายในร่างกายทั้งหมดของหลัวเลี่ยก็กลับไปที่จุดตันเถียน และมันก็หมุนวนแปรปรวนอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับอากาศที่อยู่รอบๆ
"ฮู่!"
เสียงของัที่กำลังบินอยู่ดังขึ้น
ขณะเดียวกันนั้น ในใจกลางจุดตันเถียนของหลัวเลี่ยที่พลังภายในกำลังหมุนวนปั่นป่วนอยู่ ก็ปรากฏรูปร่างของัขึ้นตัวหนึ่ง ัทั้งสองตัวจากจุดตันเถียนของหลัวเลี่ย และัที่อยู่รอบๆ กายของหลัวเลี่ยนั้นส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน แล้วจากนั้นก็เกิดพลังผลักดันให้หลัวเลี่ยก้าวข้ามไปสู่ผู้ฝึกตนระดับสิบ
เมื่อพลังของหลัวเลี่ยถึงระดับนี้ ัทั้งสองตัวก็เริ่มจางหายไป แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากัสองตัวนี้ก็น่าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจริงๆ แล้วพวกมันได้ปลดปล่อยร่องรอยของพลังวิเศษ ซึ่งทำให้ร่างกายของหลัวเลี่ยได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง
การขัดเกลานี้ ได้ชำระล้างร่างกายของหลัวเลี่ยั้แ่หัวจดเท้า
พูดได้ว่า เหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่เขาได้รับกระดูกวิถียุทธ์
เมื่อัทั้งภายในร่างกายและรอบๆ ร่างกายของหลัวเลี่ยหายไปจริงๆ แล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
พลังภายในร่างกายของเขาพลุ่งพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ และร่างกายของเขาก็้าที่จะระบายมันออกมา
"หู่ว..."
หลัวเลี่ยลืมตาขึ้น เขาหายใจออกทางปาก ร่างกายของเขารู้สึกเบาและปลอดภัยมากขึ้น
อากาศที่ปั่นป่วนอยู่รอบๆ ร่างกายของเขาในตอนแรกเริ่มสงบลง
“ไปถึงผู้ฝึกตนระดับสิบแล้ว!”
“รู้สึกว่าพลังเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่า”
เมื่อหลัวเลี่ยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง เขาก็ถอนหายใจออกมา
หากเป็คนอื่นที่เปลี่ยนผ่านพลังจากจุดสูงสุดของระดับที่เก้าไปถึงระดับที่สิบ พลังวรยุทธ์ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็สองเท่าหรือน้อยกว่านั้น แต่ตามหลักเคล็ดวิชาั์นั้น พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
ภายในระดับพลังของเคล็ดวิชาั์จะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง และในระดับที่สิบนี้ก็มีเช่นกัน นั่นก็คือพละกำลัง!
ยิ่งไปกว่านั้น คำกล่าวเรียกของระดับนี้ก็คือ...อยู่ภายใต้หยินหยางเท่านั้น!
กล่าวคือ อยู่ภายใต้ระดับหยินหยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเป็เพราะการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์หรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่งทะลวงผ่านระดับที่สิบมาได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าพลังของเขาเสถียรยิ่งกว่าผู้ที่ทะลวงผ่านมาได้นับครึ่งปีเสียอีก นอกจากนี้เขายังไม่จำเป็ต้องเข้าณานเพื่อปรับพลังของตัวเองด้วยซ้ำ
หลังจากที่หลัวเลี่ยคุ้นเคยกับพลังแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำลับ
ด้านนอกถ้ำลับนั้น ผีเสื้อแห่งรักยืนอยู่บนต้นไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกล ภายใต้แสงแดดยามเช้าที่ส่องลงมา ร่างของนางเปล่งแสงสีทอง แม้ว่าจะถูกปกคลุมด้วยหมอก แต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่านางกำลังล่องลอยอยู่เหมือนนางฟ้าที่จุติลงมายังโลก และยังให้ความรู้สึกลึกลับเล็กน้อย
เย่เิหลงกำลังนั่งอยู่บนหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาตรงทางเข้าถ้ำ ขาของนางกำลังแกว่งไปมาอย่างสบายๆ นางแนบแก้มลงบนมือทั้งสองข้าง แลดูสบายยิ่งนัก อีกทั้งยังมีความงามที่ให้ความรู้สึกว่านางขี้เล่นอีกด้วย
เมื่อพวกนางเห็นหลัวเลี่ยเดินออกมาจากถ้ำ พวกนางก็มองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
“ออกมาแล้ว” ผีเสื้อแห่งรักบินลงมาหาหลัวเลี่ยอย่างแ่เบา
หลัวเลี่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของเย่เิหลงเป็ประกาย นางจำได้อย่างชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยเคยเคลื่อนไหวในอากาศอย่างนุ่มนวลราวกับเทพเซียน และยังให้ความรู้สึกปลอดภัยอยู่ แต่ตอนนี้แม้ว่าเขาจะนิ่งสงบ แต่นางกลับรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของเขา ราวกับว่าเมื่อใดที่เขาโกรธขึ้นมา ทุกอย่างอาจถูกทำลายจนราบเป็หน้ากลอง
“เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรอยู่กันแน่?”
นางเกิดความสงสัยเกิดขึ้นภายในใจ
หลัวเลี่ยกลับไปทีู่เาแห่งคุกอนธการอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง
ความล้มเหลวในการฝ่าขึ้นไปบนยอดเขาทั้งสองครั้งที่ผ่านมาทำให้หลัวเลี่ยระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
ทว่าพวกเขายังเดินไปไม่ถึงบริเวณูเาแห่งคุกอนธการ ก็เห็นกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ที่บริเวณนั้น
“พวกเขาก็มาที่นี่ด้วยหรือ” หลัวเลี่ยยืนอยู่บนูเาที่ห่างไกลออกมา และมองไปตรงจุดจุดนั้น
หญิงสาวทั้งสองคนยืนห่างกันและกำลังมองไปรอบๆ
ภาพที่พวกเขาเห็นคือกลุ่มคนจำนวนมากกำลังยืนอยู่บริเวณด้านล่างของูเาแห่งคุกอนธการ กลุ่มคนเหล่านี้คงเป็กลุ่มคนจำนวนมากที่เข้าสู่ประตูแห่งโลกเื้ั และคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่คาดว่าคงมีจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งในกลุ่มคนเหล่านี้กำลังก้าวขึ้นไปบนบันไดหนึ่งร้อยขั้นนั้น
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือ บนขั้นบันไดที่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่ เหนือขั้นที่เจ็ดสิบขึ้นไปต่างเป็กลุ่มคนที่มีหมอกปิดบังตัวตนไว้
กลุ่มคนพวกนั้นคงเป็อัจฉริยะที่ไม่เต็มใจช่วยเหลือพวกเขาในตอนแรก
“ที่แท้ก็เป็เพราะเหวินหงต๋าจากอาณาจักรโจวที่เป็คนออกหน้า ข้าไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะรู้ว่าบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอกอยู่บนยอดเขาแห่งคุกอนธการ” เย่เิหลงจับจ้องไปยังชายหนุ่มอายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี
เหวินหงต๋าเป็คนที่มาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโจว และยังเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในดินแดนเหยียนหวง เื่ที่คนทั่วไปพูดถึงเขามากที่สุดก็คือ เื่ที่เขาชอบใช้เวทแปลกๆ บางคนถึงขั้นบอกว่าเขาเก่งที่ร่ายคาถาได้หลากหลาย จนเทพบางคนยังไม่อาจเทียบเขาได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะสามารถหาสถานที่นี้เจอ
เหวินหงต๋าคนนี้ต้องเป็หนึ่งในอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตน และไม่เต็มใจที่จะออกหน้าช่วยเหลือในตอนแรกอย่างแน่นอน แต่เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลัวเลี่ยและหญิงสาวอีกสองคนก็ไม่อาจรู้ได้
นอกจากนี้ยังมีอีกไม่กี่คนที่โดดเด่นออกมา
พวกเขาทั้งหมดอยู่บนบันไดร้อยขั้น และมีคนสามคนที่ตอนนี้สามารถก้าวขึ้นไปบนขั้นที่แปดสิบเจ็ดได้แล้ว น่าเสียดายที่ตัวตนของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยหมอก ดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร
ถัดจากพวกเขาลงมา มีคนจำนวนเจ็ดคนที่ไปถึงขั้นที่แปดสิบหก และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แสดงร่างที่แท้จริงออกมา คนคนนั้นก็คือ ซ่านเหวินห้าว จากตระกูลซ่านแห่งอาณาจักรโจว
ทั้งสิบคนนี้เป็คนที่อยู่บนบันไดขั้นที่สูงที่สุดในตอนนี้
ยิ่งมองไปยังขั้นบันไดที่ถัดลงมา ก็ยิ่งพบว่ามีจำนวนคนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งด้อยกว่าสิบคนก่อนหน้านี้มากหยิบลูกแก้วจิตัออกมาและเริ่มเข้าณานเพื่อพัฒนาพลังให้ไปถึงระดับสิบของระดับผู้ฝึกตน
สำหรับเขาแล้ว การทะลวงระดับพลังไม่ใช่เื่ยาก
แต่ความยากที่แท้จริงคือผลกระทบจากการทะลวงระดับพลังในภพจิตัต่างหาก
ในภพจิตันั้นแปลกมาก แม้ว่าร่างกายจะเข้ามาจริงๆ แต่ก็มีความแตกต่างจากตัวตนที่อยู่ในโลกจริงอย่างมาก ซึ่งความแตกต่างนี้รวมไปถึงพลัง จิติญญา และร่างกาย
หลัวเลี่ยเห็นเนื้อหาจากหนังสือจำนวนมากที่อยู่ในห้องสมุดของเรือนพเนจร
และแน่นอนว่าหนังสือพวกนั้นทำให้เขารู้จักแก้วจิตั
เขาส่งพลังของตนเองไปยังแก้วจิตั
หลังจากที่เขาส่งพลังไปยังแก้วจิตั มันก็เปล่งแสงออกมาและเริ่มดูดซับพลังบริสุทธิ์ที่อยู่รอบๆ เข้าไปก่อตัวเป็รูปัอยู่ภายในลูกแก้ว
เมื่อรูปร่างของัก่อตัวขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง มันก็ปล่อยเสียงคล้ายัออกมา จากนั้นก็เริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแก้วจิตัและรอยร้าวนั้นก็เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดแก้วจิตัก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ
ัที่ตอนแรกอยู่ภายในแก้วจิตับินออกมา พลังบริสุทธิ์จำนวนมากที่ถูกแก้วจิตัดูดซับในตอนแรกก็ถูกัตัวนั้นดูซับเข้าไปด้วยจนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นและเริ่มบินไปมารอบๆ ตัวของหลัวเลี่ยได้ ทุกครั้งที่มันบินมันก็จะดูดซับพลังบริสุทธิ์เ่าั้ไปด้วย จากนั้นหลัวเลี่ยก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความเป็จริง
มันเป็ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมและยังเป็สัญญาณที่บอกเขาว่าถึงเวลาต้องฝึกฝนแล้ว
หลัวเลี่ยหลับตาลงช้าๆ และเริ่มเคลื่อนพลังภายในตามหลักของเคล็ดวิชาั์
เมื่อพูดถึงเคล็ดวิชาั์ เคล็ดวิชานี้มีความเป็เอกลักษณ์มาก และมันทะลวงพลังได้ไม่ง่ายนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจะทะลวงเข้าสู่ระดับสุดท้ายของขั้นพลังนั้นยากยิ่งกว่า
โชคดีที่ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยมีพลังจนถึงจุดสูงสุดของระดับที่เก้าแล้ว และระยะทางในการก้าวข้ามระดับพลังสำหรับเขานั้นนับว่าเป็เพียงเส้นบางๆ
แต่เส้นนี้ก็ยังต้องพึ่งโอกาสในการทะลวงข้าม
ด้วยพลังของแก้วจิตัและยังมีสาวงามสองคนที่คอยปกป้องอยู่ด้านนอกทำให้เขาสามารถทุ่มกำลังเพื่อทะลวงระดับได้อย่างเต็มที่ และความเร็วในการก้าวหน้าของเขาก็น่าประทับใจทีเดียว
เจ็ดวันต่อมา ในที่สุดก็ถึงเวลาของการทะลวงระดับพลัง
ทันใดนั้นอากาศในถ้ำลับก็สั่นะเืราวกับถูกกดทับด้วยแรงมหาศาล อากาศภายในถ้ำนี้สั่นะเือย่างผิดปกติและเริ่มหมุนวนรอบๆ ร่างของหลัวเลี่ย
พลังภายในของหลัวเลี่ยเริ่มเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่ออากาศที่หมุนวนอยู่โดยรอบ ความเร็วของพลังที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นั้นรวดเร็วมาก จนผ่านไปเพียงพริบตาเดียว พลังภายในเส้นลมปราณของหลัวเลี่ยก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า นับว่าเป็ความก้าวหน้าที่น่าใอย่างมาก
จากนั้นพลังภายในร่างกายทั้งหมดของหลัวเลี่ยก็กลับไปที่จุดตันเถียนและมันก็หมุนวนแปรปรวนอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับอากาศที่อยู่รอบๆ
"ฮู่!"
เสียงของัที่กำลังบินอยู่ดังขึ้น
ขณะเดียวกันนั้น ในใจกลางจุดตันเถียนของหลัวเลี่ยที่พลังภายในกำลังหมุนวนปั่นป่วนอยู่ก็ปรากฏรูปร่างของัขึ้นตัวหนึ่ง ัทั้งสองตัวจากจุดตันเถียนของหลัวเลี่ยและัที่อยู่รอบๆ กายของหลัวเลี่ยนั้นส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน แล้วจากนั้นก็เกิดพลังผลักดันให้หลัวเลี่ยก้าวข้ามผู้ฝึกตนระดับสิบ
เมื่อพลังของหลัวเลี่ยถึงระดับนี้ัทั้งสองตัวก็เริ่มจางหายไปแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากัสองตัวนี้ก็น่าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจริงๆ แล้วพวกมันได้ปลดปล่อยร่องรอยของพลังวิเศษซึ่งทำให้ร่างกายของหลัวเลี่ยได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง
การขัดเกลานี้ ได้ชำระล้างร่างกายของหลัวเลี่ยั้แ่หัวจรดเท้า
พูดได้ว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับตอนที่เขาได้รับกระดูกวิถียุทธ์
เมื่อัทั้งภายในร่ายกายและรอบๆ ร่างกายของหลัวเลี่ยหายไปจริงๆ แล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
พลังภายในร่างกายของเขาพลุ่งพล่านมากขึ้นเรื่อยๆ และร่างกายของเขาก็้าที่จะระบายมันออกมา
"หู่ว..."
หลัวเลี่ยลืมตาขึ้น เขาหายใจออกทางปาก ร่างกายของเขารู้สึกเบาและปลอดภัยมากขึ้น
อากาศที่ปั่นป่วนอยู่รอบๆ ร่างกายของเขาในตอนแรกเริ่มสงบลง
“ไปถึงผู้ฝึกตนระดับสิบแล้ว!”
“รู้สึกว่าพลังเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่า”
เมื่อหลัวเลี่ยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง เขาก็ถอนหายใจออกมา
หากเป็คนอื่นที่เปลี่ยนผ่านพลังจากจุดสูงสุดของระดับที่เก้าไปถึงระดับที่สิบพลังวรยุทธ์ก็อาจเพิ่มขึ้นเป็สองเท่าหรือน้อยกว่านั้น แต่ตามหลักเคล็ดวิชาั์นั้นพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
ภายในระดับพลังของเคล็ดวิชาั์จะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง และในระดับที่สิบนี้ก็มีเช่นกัน นั่นก็คือพละกำลัง!
ยิ่งไปกว่านั้น คำกล่าวเรียกของระดับนี้ก็คือ...อยู่ภายใต้หยินหยางเท่านั้น!
กล่าวก็คืออยู่ภายใต้ระดับหยินหยางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเป็เพราะการฝึกฝนเคล็ดวิชาั์หรือไม่ เพราะแม้จะเพิ่งทะลวงผ่านระดับที่สิบมาได้แต่เขากลับรู้สึกว่าพลังของเขาเสถียรยิ่งกว่าผู้ที่ทะลวงผ่านมาได้นับครึ่งปีเสียอีก นอกจากนี้เขายังไม่จำเป็ต้องเข้าณานเพื่อปรับพลังของตัวเองด้วยซ้ำ
หลังจากที่หลัวเลี่ยคุ้นเคยกับพลังแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำลับ
ด้านนอกถ้ำลับนั้น ผีเสื้อแห่งรักยืนอยู่บนต้นไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ภายใต้แสงแดดยามเช้าที่ส่องตกลงมา ร่างของนางเปล่งแสงสีทอง แม้ว่าจะถูกปกคลุมด้วยหมอกแต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกว่าราวกับว่านางกำลังล่องลอยอยู่เหมือนนางฟ้าที่จุติลงมายังโลกและยังให้ความรู้สึกลึกลับเล็กน้อย
เย่เิหลงกำลังนั่งอยู่บนหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาตรงทางเข้าถ้ำ ขาของนางกำลังแกว่งไปมาอย่างสบายๆ นางแนบแก้มของตนเองลงบนมือทั้งสองข้าง แลดูสบายยิ่งนัก อีกทั้งยังมีความงามที่ให้ความรู้สึกว่านางขี้เล่นอีกด้วย
เมื่อพวกนางเห็นหลัวเลี่ยเดินออกมาจากถ้ำ พวกนางก็มองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น
“ออกมาแล้ว” ผีเสื้อแห่งรักบินลงมาที่หลัวเลี่ยอย่างแ่เบา
หลัวเลี่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของเย่เิหลงเป็ประกาย นางจำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยเคยเคลื่อนไหวในอากาศอย่างนุ่มนวลราวกับเทพเซียนและยังให้ความรู้สึกปลอดภัยอยู่ แต่ตอนนี้แม้ว่าเขาจะนิ่งสงบอยู่แต่นางกลับรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของเขาราวกับว่าเมื่อใดที่เขาโกรธขึ้นมา ทุกอย่างอาจถูกทำลายจนราบเป็หน้ากลอง
“เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาอะไรอยู่กันแน่?”
นางเกิดความสงสัยเกิดขึ้นภายในใจ
หลัวเลี่ยกลับไปที่เขาแห่งคุกอนธการอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวทั้งสอง
ความล้มเหลวในการฝ่าขึ้นไปบนยอดเขาทั้งสองครั้งที่ผ่านมาทำให้หลัวเลี่ยระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น
พวกเขายังเดินไปไม่ถึงบริเวณเขาแห่งคุกอนธการ แต่กลับเห็นกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ที่บริเวณนั้น
“พวกเขาก็มาที่นี่ด้วยหรือ” หลัวเลี่ยยืนอยู่บนูเาที่ห่างไกลออกมาและมองไปตรงจุดจุดนั้น
หญิงสาวทั้งสองคนยืนห่างกันและกำลังมองไปรอบๆ
ภาพที่พวกเขาเห็นคือกลุ่มคนจำนวนมากกำลังยืนอยู่บริเวณข้างล่างของเขาแห่งคุกอนธการ กลุ่มคนนี้คงเป็กลุ่มคนจำนวนมากที่เข้าสู่ประตูแห่งโลกเื้ั และคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่คาดว่าคงมีจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งในกลุ่มคนเหล่านี้กำลังก้าวขึ้นไปบนบันไดหนึ่งร้อยขั้นนั้น
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือบนขั้นบันไดที่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่เหนือขั้นที่เจ็ดสิบขึ้นไปต่างเป็กลุ่มคนที่มีหมอกปิดบังตัวตนไว้
กลุ่มคนพวกนั้นคงเป็อัจฉริยะที่ไม่เต็มใจช่วยเหลือพวกเขาในตอนแรก
“ที่แท้ก็เป็เพราะเหวินหงต๋าจากอาณาจักรโจวที่เป็คนออกหน้า ข้าไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะรู้ว่าบุปผางามอาบพิษทั้งสามดอกอยู่บนเขาแห่งคุกอนธการ” เย่เิหลงจับจ้องไปยังชายหนุ่มอายุสิบแปดถึงสิบเก้าปี
เหวินหงต๋าเป็คนที่มาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโจวและยังเป็อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในดินแดนเหยียนหวง เื่ที่คนทั่วไปพูดถึงเขามากที่สุดก็คือเื่ที่เขาชอบใช้เวทแปลกๆ บางคนถึงขั้นบอกว่าเขาเก่งที่ร่ายคาถาได้หลากหลายจนเทพบางคนยังไม่อาจเทียบเขาได้
จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะสามารถหาสถานที่นี้เจอ
เหวินหงต๋าคนนี้ต้องเป็หนึ่งในอัจฉริยะที่ปกปิดตัวตนและไม่เต็มใจที่จะออกหน้าช่วยเหลือในตอนแรกอย่างแน่นอน แต่เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลัวเลี่ยและหญิงสาวอีกสองคนก็ไม่อาจรู้ได้
นอกจากนี้ยังมีอีกไม่กี่คนที่โดดเด่นออกมา
พวกเขาทั้งหมดอยู่บนบันไดร้อยขั้น และมีคนสามคนที่ตอนนี้สามารถก้าวขึ้นไปบนขั้นที่แปดสิบเจ็ดได้แล้ว น่าเสียดายที่ตัวตนของพวกเขาถูกปกคลุมด้วยหมอกดังนั้นจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะอย่างไร
ถัดจากพวกเขาลงมามีคนจำนวนเจ็ดคนที่ไปถึงขั้นที่แปดสิบหก และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แสดงร่างที่แท้จริงออกมา และเขาก็คือซ่านเหวินห้าวจากตระกูลซ่านแห่งอาณาจักรโจว
ทั้งสิบคนนี้เป็คนที่อยู่บนบันไดขั้นที่สูงที่สุดในตอนนี้
ยิ่งมองไปยังขั้นบันไดที่ถัดลงมาก็ยิ่งมีจำนวนคนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งด้อยกว่าสิบคนก่อนหน้านี้มาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้