ชายวัยกลางคนรีบลงจากรถม้า ประสานมือคำนับหลิวฉีซื่อแล้วตอบ “ข้าแซ่ซุน เป็หนึ่งในพ่อบ้านของนายท่าน เดิมทีนายท่าน้ามาด้วยตนเอง เพียงแต่ระยะทางจากเมืองหลวงมายังที่แห่งนี้ช่างแสนยาวไกล ท่านอ๋องกับพระชายาจึงไม่วางใจ ด้วยเหตุนี้จึงให้ข้าน้อยมาส่งของกำนัลเทศกาลแทน”
“ท่านอ๋องกับพระชายา?” หลิวฉีซื่อเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“แต่คุณชายซู ไม่ใช่...”
พ่อบ้านซุนยิ้มและกล่าวว่า “ซึ่งก็คือนายของข้า”
หลิวฉีซื่อมาจากบ้านตระกูลใหญ่ ได้ยินดังนั้นจึงยิ่งดีใจ เพราะนี่พิสูจน์ว่าซูจื่อเยี่ยนั้นให้ความสำคัญต่อครอบครัวของนางอย่างแท้จริง คนที่ส่งมาต้องเป็ลูกน้องที่เก่งกาจของเขา
นางรีบกวักมือเชิญเขาเข้าไปข้างในบ้าน
หลิวจื้อเซิ่งที่เดินตามหลัง คอยพินิจและจดจ้องหลังของหลิวฉีซื่อกับพ่อบ้านซุน
เขาเงยศีรษะขึ้นสำรวจคนในครอบครัวตระกูลหลิว เมื่อเห็นว่าทั้งหมดไม่ได้มีท่าทีใ แต่กลับมีสีหน้าชื่นมื่น จึงเกิดความสงสัยจนต้องชะงักฝีเท้า เดินถอยหลังไปหลายก้าวจนถึงสองพี่น้องหลิวเต้าเซียง
ถูกต้อง เขาเพียงแค่มีไหวพริบ คิดว่าการถามจากสองพี่น้องนี้น่าจะดีที่สุด
“น้องสาวเต้าเซียง ผู้มาเยือนคือใครหรือ เหตุใดจึงมีความสัมพันธ์กับท่านอ๋องและพระชายาอะไรนั่น?”
หลิวชิวเซียงได้ยินแต่ไม่ได้ระแวงเขา อีกอย่างเื่นี้ก็ไม่มีความจำเป็ต้องปิดบัง จึงเอ่ย “เมื่อครึ่งปีที่แล้ว อาเล็กของเราได้ช่วยคุณชายไว้ท่านหนึ่ง ดูเหมือนว่าท่านนั้นจะส่งคนนำของขวัญไหว้พระจันทร์มามอบให้”
ความคิดของหลิวจื้อเซิ่งในเวลานี้ ล้วนเป็เื่ตัวตนของคุณชายผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น เขาสังเกตเห็นว่าคำพูดของหลิวชิวเซียงแตกต่างจากคนชนบททั่วไป
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าเขากําลังครุ่นคิดเื่นี้ และไม่รู้ว่าเขามีความคิดเช่นไร จึงแอบดึงหลิวชิวเซียงให้รีบเดินไปจนสลัดหลุดจากหลิวจื้อเซิ่ง และเข้าไปในห้องโถงก่อน
“ท่านพี่ รีบไปเถอะ” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างหน้าพบว่าหลิวจื้อเซิ่งยังรั้งท้ายอยู่ไม่น้อย จึงหันไปเร่งเขา
หลิวจื้อเซิ่งเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผู้เป็น้อง ก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เฉี่ยวเอ๋อร์ เ้าช่างใจร้อนนัก”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ชะลอฝีเท้าเมื่อได้ยิน รออยู่ตรงนั้นกระทั่งเขาเดินมาใกล้จึงเดินไปพร้อมกัน แล้วถามเสียงค่อย “ท่านพี่ สืบได้ความแล้วหรือ?”
“อืม เหมือนว่าได้ช่วยเหลือบุตรชายของท่านอ๋องไว้” ดวงตาของหลิวจื้อเซิ่งเผยแววมีแผนการ
“จริงหรือ?” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ถามต่อว่าบุตรชายท่านอ๋องอายุเท่าใด
หลิวจื้อเซิ่งมองลงมาที่นางและตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อน หากว่าอายุเท่าเ้า ท่านพ่อกับท่านแม่ย่อมต้องคิดหาทางแน่”
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์เหลือบมองเขาและพูดว่า “ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว ต่อไปหากข้าจะไม่พึ่งพาท่าน แล้วจะพึ่งพาใครได้ เราสองพี่น้องต้องดูแลซึ่งกันและกัน”
“เฉี่ยวเอ๋อร์พูดมีเหตุผล เรารีบเข้าไปเถิด อย่าให้คนในห้องเกิดความสงสัยจะเป็การดี”
หลังจากพูดจบ เขาก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องโถงไปก่อน
ขณะที่ทั้งสองเข้าไปข้างใน หลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อก็เชิญพ่อบ้านซุนนั่งลง ส่วนหลิวชิวเซียงก็ยกน้ำชาที่รินเสร็จขึ้นมาให้
จางกุ้ยฮัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน คาดว่าน่าจะกลับไปที่ห้องปีกตะวันตก
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าหลิวชิวเซียงยกน้ำชาเสร็จและเตรียมเดินออกไป จึงส่งสายตาให้นางเงียบๆ
หลิวชิวเซียงอาศัยจังหวะที่หลิวจื้อเซิ่งกำลังพูดคุยกับหลิวฉีซื่อว่าพ่อบ้านซุนคือใคร นางจึงแอบเขยิบมาทางหลิวเต้าเซียงเงียบๆ
“ท่านพี่ เราอยู่ตรงนี้แหละ รอดูว่าพวงนางทำอะไรกัน”
เดิมทีนางตั้งใจจะดูฉากสนุก เพียงแต่ไม่อาจเอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คนเหล่านี้เพราะกลัวจะถูกจับจ้อง สุดท้ายคำพูดจึงวนอยู่ในลิ้นแล้วเอ่ยออกมาเพียงเท่านี้
ทางฝั่งหลิวฉีซื่อเมื่อแนะนำให้หลิวจื้อเซิ่งรู้จักเรียบร้อย ก็เอ่ยอีกว่าหลานชายคนโตของตนนั้นเล่าเรียนดี กระทั่งอาจารย์ก็ชมเชยว่าเขามีความก้าวหน้ารวดเร็ว
พ่อบ้านซุนพยักหน้าเล็กน้อย แอบคิดในใจว่า โชคดีที่เตรียมของกำนัลไว้เผื่อยามจำเป็
เขาไม่เอ่ยมากนัก ก่อนจะหยิบรายการของกำนัลขึ้นมามอบให้หลิวฉีซื่อ แล้วเอ่ยเพียงว่านายท่านนั้นนึกถึงนางตลอด จากนั้นได้ถามไถ่ถึงสุขภาพของนางกับหลิวต้าฟู่
หลิวฉีซื่อใช้คำพูดอย่างเป็ทางการ ขณะที่สายตาก็แอบมองรายการของกำนัล เมื่อเห็นว่ามีกำไลทองหนึ่งคู่ ก็ยิ้มแย้มแล้วปิดรายการนั้น ก่อนจะเอ่ยถามบ้าง “สุขภาพของคุณชายหายดีแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินจากปากของพ่อบ้านซุนว่าซูจื่อเยี่ยหายดีเกือบทั้งหมดแล้ว ก็ยกสองมือประนมแล้วสวดมนต์กับ์ ไม่รู้ว่าจะขอบคุณเทพองค์ใดที่ผ่านทางไปบ้าง
เมื่อเห็นท่าทางศรัทธาของนาง หลิวชิวเซียงก็คิดไม่ตก เพียงแค่คนที่ไม่สนิทคนเดียว หลิวฉีซื่อกลับใส่ใจถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนั้นที่น้องรองของตนถูกนางกระแทกกับเสาบ้าน จึงไม่เห็นนางไหว้สวดมนต์ขอพรเช่นนี้?
สุดท้ายหลิวชิวเซียงก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คือการที่ท่านย่าของนางนั้นไม่ชอบพี่น้องครอบครัวตนเอง จนถึงกระทั่งเกลียดก็ว่าได้ ความคิดนี้ทำให้นางไม่สบายใจ
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ตนเองก็ไม่มีความสุข จึงเอื้อมมือออกไปจับมือเล็กของพี่สาวเบาๆ และยิ้มหวานให้
พ่อบ้านซุนมองไปที่หลิวจื้อเซิ่งและหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ เมื่อทราบว่าทั้งสองมาจากจวนตระกูลหวง เขาจึงรู้ว่าคงเอาของขวัญที่คุณภาพไม่ดีออกมาไม่ได้ จึงตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะให้เด็กรับใช้ที่ติดตามมาด้วยไปคัดผ้าไหมหางโจวมาอีกสองผืน เป็สีเขียวต้นหลิวหนึ่งผืน สีส้มหนึ่งผืน เพื่อมอบให้หลิวจื้อเซิ่งกับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับของขวัญ หลิวจื้อเซิ่งจึงยิ่งมั่นใจว่า นายท่านของพ่อบ้านคนนี้ต้องตัวมีตนจริงๆ อีกทั้งเป็นายในจวนอีกด้วย
พ่อบ้านซุนให้ความสนใจกับสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงตลอดเวลา เมื่อมอบของขวัญให้ทางนี้เสร็จ จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไม่ทราบว่าท่านนั้นใช่เด็กสาวหลิวเต้าเซียงหรือไม่?”
เขาจงใจชี้ผิดไปที่หลิวชิวเซียง
หลิวเสี่ยวหลันไม่พอใจที่พ่อบ้านซุนชี้ผิดคน แต่กลับถูกหลิวฉีซื่อขวางไว้จึงเงียบ จากนั้นจึงตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นั่นคือพี่สาวของนาง ทว่า ทั้งสองพี่น้องนิสัยไม่ต่างกันเท่าไร”
พ่อบ้านซุนเอ่ยต่อทันทีว่า “ข้าน้อยเองไม่ได้กระจ่างมากนัก นายท่านบอกอย่างไม่ได้ใส่ใจ บอกเพียงว่าในเมื่อเตรียมของขวัญให้แด่ท่านป้าแล้ว เขาจำได้ว่าตอนนั้นมีแม่ครัวน้อยที่ทำอาหารให้เขา และไม่ได้ระบุว่าสูงเพียงใด ขนาดตัวเท่าใด ข้าน้อยจึงคิดว่าโตประมาณนี้”
คำตอบของเขาทำให้หลิวฉีซื่อยิ่งดีใจ เอ่ยในใจว่าโชคดีที่นางปล่อยให้หลิวเต้าเซียงใช้ชีวิตแบบเสเพล จนมีนิสัยไม่สนฟ้าดิน ชัดเจนว่าคุณชายท่านนั้นจำได้เพียงว่าแม่ครัวน้อยทำอาหารอร่อย ไม่ได้ใส่ใจว่านางหน้าตาเช่นไร
“พ่อบ้านซุน เดาว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์คงได้ไหว้วานให้ท่านนำของกำนัลมา ตอนนั้นข้าเห็นว่าคำพูดคำจาของคุณชายนั้นไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็ถึงบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านอ๋อง”
เมื่อพ่อบ้านซุนได้ยินคำว่า ‘หัวแก้วหัวแหวน’ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น สีหน้าของเขาก็เป็ปกติแล้ว
“นายท่านของข้าไม่ใช่คนที่จะลืมบุญคุณผู้ใด และแน่นอนว่า เขาเองก็เกลียดชังการที่ผู้อื่นโกหกเขา หากว่าเขารู้เข้า ย่อมต้องทรมานคนผู้นั้นจนตายทั้งเป็”
คำพูดนี้ไม่ใช่เื่เท็จแม้แต่นิดเดียว แม้ว่าพ่อบ้านซุนจะถูกสั่งให้มาประจำอยู่ที่อำเภอถู่หนิว แต่ในอดีตตอนที่ช่วยงานซูจื่อเยี่ยในจวนอ๋อง ก็เคยเห็นตอนที่เขาเืเย็นไร้ความปรานีมาแล้วไม่น้อย
“ถูกต้อง สมควรแล้ว คุณชายสูงศักดิ์ย่อมไม่เหมือนคนทั่วไป” หลิวฉีซื่อประจบประแจงอยู่ตลอดเวลา
พ่อบ้านซุนเบื่อที่จะพูดกับนางให้มากความ จึงสนทนากับหลิวต้าฟู่ไม่กี่คำ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่าได้เตรียมของกำนัลให้ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงด้วย จึงเอ่ยถาม “เหตุใดจึงไม่เห็นพ่อแม่ของแม่สาวน้อยผู้นี้เล่า?”
“โอ้ เต้าเซียง ไปตามพ่อเ้าด้านหลังบ้านหน่อย” หลิวต้าฟู่สั่ง ตอนนี้หลิวซานกุ้ยกำลังซ่อมกำแพงบ้านด้านหลังอยู่
เขาอาศัยยามว่างจากงานเกษตร จึงจัดการถามจุดที่กำแพงด้านหลังบ้านที่โหว่ไป
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเรียกท่านพ่อเดี๋ยวนี้” อารมณ์ของหลิวเต้าเซียงยังคงดีงาม ไม่รู้ว่าเ้าบ้าซูจื่อเยี่ยจะแอบเตรียมอะไรมาให้พ่อของตนบ้าง
นางไม่ได้โลภของเล็กน้อยของเขา หากว่าซูจื่อเยี่ยมอบพู่กันและหมึก อย่างน้อยก็เป็สิ่งที่นางหาซื้อไม่ได้ในอำเภอถู่หนิว จะได้เก็บเอาไว้ ต่อไปจะมอบให้ผู้อื่นก็ดูทั้งมีมูลค่าและมีความเป็สง่า เดาว่าเหล่าคนที่กำลังเล่าเรียนน่าจะชื่นชอบ
หลิวเต้าเซียงไปตามหาหลิวซานกุ้ย ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นว่าหลิวจื้อเซิ่งหันตามมา
ไม่นานนักหลิวซานกุ้ยก็กลับมา เมื่อรู้ว่าซูจื่อเยี่ยส่งคนมามอบของขวัญ เขาก็ทำตัวไม่ถูก ระหว่างทางก็ขอความเห็นจากหลิวเต้าเซียง
“ลูกรัก เ้าว่าเราควรให้อะไรเป็การตอบแทนดี?”
หลิวเต้าเซียงตกตะลึงในทีแรก ต่อมาจึงเข้าใจ หลิวซานกุ้ยไม่้าเสียมารยาท อย่างน้อยก็สมควรตอบแทนน้ำใจเขาเสียหน่อย
“ท่านพ่อ ท่านเพิ่งหัดทำสุราที่บ่มจากองุ่นไม่ใช่หรือ?”
เมื่อตอนที่หลิวซานกุ้ยไปเล่าเรียนที่ตำบล บังเอิญได้ยินกัวซิวฝานเอ่ยถึงตำราเล่มหนึ่ง ้าเขียนไว้ว่าจะใช้องุ่นป่าบ่มสุราได้อย่างไร
หลิวซานกุ้ยจึงเกิดความคิดนี้ เขาจึงพาบุตรสาวทั้งสองไปอยู่บนหลังเชิงเขาทั้งบ่าย จนรวบรวมองุ่นป่าได้ครึ่งตะกร้า นอกจากสามสี่พวงที่มีสีเขียวออกม่วง ซึ่งเป็ส่วนที่เอาไว้รับมือกับหลิวฉีซื่อแล้ว องุ่นป่าที่เหลือที่มีน้ำหวานก็แอบเก็บไว้ทำสุราองุ่น แม้ว่าจะมีเพียงสองไหเล็ก แต่จากการร่วมมือของหลิวเต้าเซียง ก็ยังสามารถปิดบังหลิวฉีซื่อไว้ได้
“แล้วหากท่านย่าถามล่ะ จะตอบเช่นไร?”
นี่ก็เป็เื่ยาก
หลิวเต้าเซียงตบหน้าอกเล็กๆ ของนาง “ท่านพ่อ เื่นี้ท่านวางใจได้ ข้าจะจัดการเอง รับรองว่าไม่มีใครรู้เื่”
นางตั้งใจว่าจะไม่หยิบสุราองุ่นออกมาในบ้าน
“แต่ว่า จะบ่มได้จริงหรือ? เราเองยังไม่ได้ชิมเลยนี่นา!”
“ท่านพ่อ แต่หลายวันนี้ท่านก็เห็นว่า องุ่นป่าเริ่มมีกลิ่นสุราแล้ว เพียงแต่หลังจากมอบให้พ่อบ้านซุนแล้ว กลับไปคงต้องกรองอีกสองสามรอบจึงจะดื่มได้”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกโล่งใจมาก แม้ว่านางจะไม่รู้วิธีการทำเครื่องดื่มที่หมักด้วยองุ่น แต่ก็ยังมีสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดอยู่ไม่ใช่หรือ?
ปล่อยให้มันหาวิธีที่จะได้เม็ดบ่มสุรามาครึ่งเม็ดแล้วใส่เข้าไป จะบ่มเครื่องดื่มนั้นออกมาไม่ได้เชียวหรือ?
ด้วยเหตุนี้หลิวเต้าเซียงจึงสัญญากับสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดว่าจะขยายฐานการเพาะเลี้ยงให้เพิ่มขึ้นอีก
ทั้งสองพ่อลูกเมื่อได้คำตอบจึงกลับบ้านพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นพ่อบ้านซุนจึงกล่าวทักทายอย่างขาดไม่ได้ ชัดเจนว่าพ่อบ้านซุนไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเื่ของคนอื่น
หลังจากเขาถามย้ำจึงได้ความชัดเจนว่าหลิวซานกุ้ยพักอาศัยอยู่ห้องปีกตะวันตก จึงพาเด็กรับใช้ไปยังห้องดังกล่าว
แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวฉีซื่อเองก็ลุกตามมา พอนางลุกขึ้น หลิวจื้อเซิ่งก็ตามมาเช่นกัน
พ่อบ้านซุนไม่ชอบพูดอะไรมาก แต่เขาเป็คนที่เข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดี เมื่อเห็นสภาพการณ์เป็เช่นนี้ จึงเอ่ย “ขอเชิญท่านป้าหลิวหยุดก่อน นายท่านสั่งให้ข้ารีบกลับไปหลังจากมอบของกำนัลเรียบร้อย ส่วนที่เหลือมีเพียงตำราการเกษตรไม่กี่เล่มกับผ้าฝ้ายไม่กี่ผืนของคุณชายสามหลิวขอรับ”
หลิวฉีซื่อหัวเราะและพูดว่า “ข้าแค่กลัวว่าจะไม่ได้รับรองพ่อบ้านดีพอ” นางคิดว่าพ่อบ้านซุนใช้คำผิดพลาด จึงไม่รู้ว่าควรจะใช้สรรพนามแทนบุตรชายคนที่สามของตนอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจกับคำเรียกของเขาเท่าไร
จากนั้นก็นึกถึงว่า ก่อนหน้านั้นที่ซูจื่อเยี่ยมอบของขวัญก็เป็เช่นนี้ เดาว่าหนนี้คงไม่ได้ดีมากไปกว่ากันเท่าไร
หลิวฉีซื่อไม่ได้ฝืนเดินตามหลังไป จากนั้นเอ่ยปากรั้งให้เขาทานอาหารกลางวันกันก่อน พ่อบ้านซุนคิดดูแล้วจึงตอบรับ
-----
