“ศิษย์น้อง!” เจี่ยหลีทำได้เพียงยื่นมือออกไปสุดแขน ทว่าไม่อาจคว้าจับปลายนิ้วของร่างไร้ิญญาใดได้เลย
แล้วเขาก็เห็นน้องสาวผู้แสนน่ารักที่สุดในโลกที่มักตามติดเขาตลอดเวลา กระบี่เฉินเวยผู้เพิ่งก้าวเข้าสู่แปดกระบี่ไท่สิง
“ศิษย์น้องลิ่งเอ๋อร์!” เขาะโก้อง
ทว่าเซียนหญิงผู้อ่อนแรง ถูกพันธนาการด้วยตรวนเหล็กนับไม่ถ้วน ใบหน้าของนางซีดเผือด ไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากสีเขียวคล้ำขยับจะเอ่ยคำ ทว่าไม่อาจเปล่งเสียงใดออกมาได้ เจี่ยหลีพยายามเงี่ยหูฟังเท่าไร ก็ไม่อาจได้ยิน
......
เจี่ยหลีสะดุ้งตื่นด้วยความตระหนก เหงื่อเย็นเยียบชื้นชุ่มไปทั่วร่างกาย ความหนาวเหน็บยังคงเข้ากัดกิน
แม้ไฟในเตาผิงจะยังลุกไหม้ ความฝันเมื่อครู่กลับบั่นทอนจิตใจที่บอบช้ำของเขา จนยากจะสงบลงได้
จุดสูงสุดของขั้นแปดประทับหรือ? ช่างน่าขบขันสิ้นดี
ถึงแม้ขอบเขตไท่อิ้นจะเป็ระดับพลังของผู้บรรลุกายเซียน ทว่าเหนือกว่าไท่อิ้นยังมี “ขอบเขตไร้รูป” “ขอบเขตญาณทิพย์” “ขอบเขตจุติเซียน” และ “ขอบเขตลืมเลือน” ในตำนานที่ไร้ผู้ใดไปถึง
ปัจจุบัน ในใต้หล้ามีเพียงอาจารย์ของเขาเท่านั้นที่บรรลุขั้นจุติเซียน หากมองไปยังสามภพ เซียน มาร มนุษย์ ก็มีเพียงจักรพรรดิมนุษย์เท่านั้นที่บรรลุขอบเขตญาณทิพย์ ส่วนตำแหน่งจอมมารที่ว่างเว้นมานานแห่งโลกมาร เหล่าปีศาจและผู้ฝึกตนวิถีมารทั้งหลาย หากมีเพียงขอบเขตไร้รูป ก็อาจคุยโวว่าเป็าาปีศาจหรือจอมมาร
ก็แค่จุดสูงสุดของขั้นแปดประทับ ถึงได้ก้าวขึ้นเป็ผู้นำแห่งแปดกระบี่ไท่สิง...เป็ที่หนึ่งในหมู่สำนักเซียน แล้วมันมีความหมายอันใด?
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูไม้ก็แง้มเปิดออก หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งในชุดดำปรากฏกายขึ้น แสงอรุณลอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ สาดส่องขับให้เส้นผมสีเงินยาวสลวยของนางส่องประกาย
นางราวกับเทพธิดาจำแลงกายลงมา หญิงสาวมีรูปร่างอรชร ผิวพรรณผุดผ่องราวกลีบดอกไม้แรกแย้มเพียงััก็สามารถแตกสลายได้ นิ้วเรียวเล็กประณีตดั่งหยกสลัก เคยััลูบไล้แผงอกของเจี่ยหลีซุกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้าง ดวงตาสีเพลิงภายใต้แพขนตาสีขาวบริสุทธิ์ เผยความใสกระจ่างดุจอัญมณี ใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสานั้น ยากจะจินตนาการถึงสีชมพูระเรื่อแห่งความเย้ายวนที่เคยแต่งแต้มเมื่อคืนวาน
ทว่ายามนี้กลับเ็า เฉยเมย มองข้ามความสัมพันธ์ชั่วครู่กับท่านเซียนผู้แปลกหน้า
นางงดงามเกินพรรณนา แม้ในเจ็ดสิบสองถ้ำ์แห่งสำนักเซียน เจี่ยหลีกล้ากล่าวว่าเขาไม่เคยพบเจอสตรีผิวสีน้ำผึ้งเช่นนี้มาก่อน รูปลักษณ์โดดเด่นกว่าเซียนสตรีใด หากได้พบเห็นสักครั้ง ก็ยากที่จะลืมเลือนได้
เมื่อเห็นสายตาของเจี่ยหลีสำรวจทั่วร่างของตน หญิงสาวจึงเอ่ยเสียงเบา “ดูเหมือนว่าท่านเซียนจะฟื้นตัวดีแล้ว” น้ำเสียงนางราวกับไร้อารมณ์ใดๆ
“เอ่อ...ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือ” เจี่ยหลีตระหนักได้ว่าตนเสียมารยาทแล้ว จึงประสานมือคำนับ
“หากมีเรี่ยวแรงแล้ว ก็เชิญทานอาหารเช้าเถิดเ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวรู้ถึงอาการาเ็ของเขาเป็อย่างดี เขาจึงลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง พร้อมกับโค้งคำนับให้นางอีกครั้ง
“ข้าน้อยเจี่ยหลี ศิษย์สำนักกระบี่ไท่สิงแห่งเขาลั่งอวิ๋น ขอบคุณแม่นางที่เสียสละ...สละร่างกายช่วยเหลือ ความกรุณาที่ใหญ่หลวงในครั้งนี้ ข้าจะไม่มีวันลืม”
“จะพูดก็พูดไปเถิด จะเน้นคุณ เน้นโทษให้มันยืดยาวไปทำไม?” น้ำเสียงของหญิงสาวผู้นั้นไร้การปรุงแต่งใดๆ เช่นเดียวกับสีหน้า “ข้าชื่อเยว่อู๋โยว การที่ข้าได้พบกับท่านเซียนก็นับว่าเป็วาสนา การได้ช่วยท่านก็เป็วาสนา เมื่อมีวาสนาต่อกัน ก็อย่าพูดถึงบุญคุณกันเลย”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งผู้นี้ก็ใช้คำพูดได้อย่างเหมาะสมอย่างไร้ที่ติ ด้วยเหตุใดมิทราบ เจี่ยหลีรู้สึกว่าในใจของเยว่อู๋โยวไม่มีความดูแคลน “ข้าจะทำตามที่แม่นางเยว่บอก” เขากล่าว
“อืม ไปกันเถอะ”
เยว่อู๋โยวเดินนำหน้า จูงมือของเจี่ยหลีแล้วเดินออกไปนอกประตู
เจี่ยหลีตกตะลึงกับการกระทำของหญิงสาวอีกครั้ง
บำเพ็ญเพียรในสำนักมานานปี เขาอุทิศทั้งจิตใจ พลังปราณ และิญญาให้กับกระบี่เพียงเท่านั้น ในใจเขาจึงมีแต่กระบี่ ลมหายใจเข้าออกคือกระบี่ ทุกการเคลื่อนไหวคือกระบี่ แม้เพียงชำเลืองมองหรือหันกลับมาโดยไม่ตั้งใจ ก็ล้วนเกี่ยวเนื่องกับกระบี่ ในสำนัก ไม่ว่าหญิงหรือชาย ต่างก็เคารพยำเกรงเซียนกระบี่ที่บรรลุขั้นแปดประทับเมื่ออายุเพียงสามสิบปีผู้นี้
สายตาชื่นชม เสียงกระซิบที่แสดงความรักใคร่ ความเคารพเทิดทูน คำสรรเสริญ...สำหรับเจี่ยหลี สิ่งเหล่านี้เป็เื่ปกติธรรมดา
ไหนเลยจะเคยมีหญิงสาวเช่นเยว่อู๋โยว ที่ราวกับไร้ซึ่งระยะห่าง จับมือชายหนุ่มอย่างเป็ธรรมชาติและไม่ลังเลเช่นนี้?
มือนั้นเย็นเยียบและนุ่มลื่น แม้แต่หนังด้านที่เกิดจากการฝึกกระบี่มานานปี ก็อาจบาดฝ่ามือนุ่มนิ่มอันแสนจะอ่อนโยนนั้น เส้นผมสีเงินยวงอยู่ห่างเพียงครึ่งก้าว ส่งกลิ่นหอมบริสุทธิ์ ทำให้เจี่ยหลีรู้สึกราวกับต้องมนตร์
เพียงเท่านี้ เขาก็ไม่อาจควบคุมตนเองได้ ภายใต้การนำทางของนาง ชายหนุ่มก้าวเข้าใกล้แท่นหิน เพื่อชำระล้างร่างกาย แต่ในเงาสะท้อนบนผิวน้ำ กลับปรากฏใบหน้าอันแสนประหลาด
ผมสีเทาประบ่า ใบหน้าซูบผอมอมทุกข์ การาเ็สาหัสอาจทำให้รูปลักษณ์เปลี่ยนไป แต่เจี่ยหลีกลับรู้สึกว่าตนเองที่สะท้อนบนผิวน้ำแทบจะเป็คนอื่นไปแล้ว เขาก้าวถอยหลังสองก้าว กางแขนออกพิจารณาอย่างละเอียด...
มือเรียวเล็กไร้เรี่ยวแรงคู่นี้ เป็ของเขาจริงหรือ?
“คุณชายเพิ่งได้รับาเ็สาหัส พิษร้ายเข้าแทรกซึม เส้นชีพจรขาดสะบั้น” เยว่อู๋โยวไม่สนใจเขา นางจูงมือเขาแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน “ท่านเป็นักพรต ควรเข้าใจว่าเมื่อจิติญญาาเ็สาหัส ร่างกายย่อมไม่อาจรอดพ้นจากผลกระทบ”
“แม่นางเยว่กล่าวได้ถูกต้อง”
ช่างเถอะ เมื่อคิดได้ดังนั้น เจี่ยหลีก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
เมื่อมาถึงที่ทานอาหาร บนโต๊ะไม้เรียบง่ายมีโจ๊กผักป่าส่งกลิ่นหอมกรุ่น เยว่อู๋โยวประคองเจี่ยหลีให้นั่งลง จากนั้นก็ตักโจ๊กร้อนใส่ชามไม้ เมื่อเป่าให้เย็นแล้ว นางจึงป้อนเข้าปากเจี่ยหลี เจี่ยหลีที่ไม่เคยได้รับการปรนนิบัติจากผู้ใด ย่อมต่อต้านเป็ธรรมดา แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเรี่ยวแรงของเขาเพียงแค่เดินก็แทบจะหายใจไม่ทันแล้ว การถือช้อนตักกินเองดูเหมือนจะเป็เื่ยากยิ่งกว่า
“แม่นางเยว่” สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักการรักษาระยะห่างระหว่างผู้คน การแบ่งแยกชายหญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดวงตาสีแดงเพลิงใสกระจ่าง จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเจี่ยหลีอย่างตรงไปตรงมา คอเสื้อไหมสีดำที่เลื่อนหลุด เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่งดงาม ภายใต้ร่องอกอันอวบอิ่ม กำลังประกาศการมีอยู่ของตนอย่างโอหัง ในตอนแรกเจี่ยหลียังหลบเลี่ยงอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะปิดบังแต่อย่างใด เซียนกระบี่ที่สูญเสียพลังบ่มเพาะผู้นี้ ก็มิได้เอ่ยเตือนใดๆ ออกมา
วัตถุดิบในโจ๊กผักป่าถูกหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ ข้าวถูกเคี่ยวจนเปื่อยละเอียดเป็โจ๊ก มีกลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของวัตถุดิบที่ตากแห้ง เครื่องยาที่ให้รสเผ็ดร้อนเล็กน้อย ซึมซาบเข้าไปในอวัยวะภายในของเจี่ยหลี เขาได้ััถึงกระแสพลังที่เคยแทรกซึมเข้าไปในเส้นชีพจรเมื่อคืนวาน กำลังถูกชักนำให้ไหลเวียนอย่างอิสระ
“อู๋โยวมีร่างกายพิเศษ” เยว่อู๋โยวกล่าวอย่างใจเย็น ราวกับเข้าใจถึงความคิดในใจภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเจี่ยหลี “ผู้ใดบำเพ็ญคู่กับข้า พลังก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมาก ผู้ที่าเ็สาหัสก็จะหายดี ผู้ที่ถูกพิษก็จะหายขาด...ในสายตาของคนทั่วไป อู๋โยวอาจไม่ใช่สตรี”
ถึงนางจะกล่าวเช่นนี้ แต่น้ำเสียงก็ยังคงราบเรียบ ทว่าเจี่ยหลีกลับได้ยินถึงอารมณ์ที่แฝงอยู่
“หากไม่ใช่สตรี แล้วผู้ใดจะมองท่านเป็อื่นได้อีก?”
เยว่อู๋โยววางชามไม้ที่ว่างเปล่าลงเบาๆ ยกแขนเสื้อกว้างสีขาวลายทองขึ้นมาเช็ดปากให้เจี่ยหลี
“บางที…อาจเป็เพียงโอสถ อู๋โยวคือยาโอสถที่ทำให้บุรุษแข็งแกร่งและแข็งแรงขึ้นเท่านั้น”