หลังจากจิ่งฉือพูดจบ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจี๋โม่หานถึงได้เอ่ยเสียงเรียบออกมา “ไม่มีอะไรโดดเด่น? ไม่มีความคิดเป็ของตัวเอง”
เขาพูดไปก็พลันหัวเราะเสียงเบา เสียงหัวเราะนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างไม่เข้าใจแล้วมองหน้ากัน
“องค์ชายสาม” จิ่งฉือเอ่ยอย่างลังเล
“ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ? นิสัยของคุณหนูซูไม่มีอะไรโดดเด่นและไม่มีความคิดเป็ของตัวเองจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะเป็คุณหนูของสกุลซู แต่หลายสิบปีมานี้ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรในแวดวงสังคมชนชั้นสูงและในเมืองหลวง ปกติแล้วก็ไม่ค่อยจะผูกมิตรกับใครด้วย”
จี๋โม่หานก็พลันถามกลับไป “ที่บอกมานี่คือนางจากคำพูดของคนอื่นหรือว่านางที่พวกเ้าเห็นกัน?”
ทั้งสามคนต่างชะงักไป ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ จี๋โม่หานถึงมาถามอะไรเช่นนี้
จี๋โม่หานพิงพนักเก้าอี้ด้านหลัง สองมือวางไว้ที่ขา ท่าทางนิ่งสงบ แล้วพูดออกมาเนิบช้า “ที่พวกเ้าพูดให้ข้าฟังอยู่ตอนนี้น่ะ เป็เพียงแค่สิ่งที่ข้าให้เ้าไปสืบเื่ของนางจากที่คนอื่นๆ รู้ แต่ที่พวกเ้าต้องรู้ก็คือท่าทางแบบนี้อาจเป็การแสดงก็ได้เช่นกัน”
แต่ก่อนจี๋โม่หานก็ไม่เข้าใจซูิเยว่คนนี้ เพียงแต่ตอนที่ทักทายพูดคุยกับหลินโม่สกุลซู เขาจึงได้ยินคนอื่นพูดถึงอยู่หลายครั้ง
ซูิเยว่จากปากคนอื่นๆ ก็ล้วนเป็คนไม่โดดเด่นหัวอ่อน แต่จากที่เขาเคยใกล้ชิดกับซูิเยว่มาสองสามครั้ง โดยเฉพาะครั้งก่อนในงานแต่งเวิ่นจิ้นหยาง เขาเองก็อยู่ที่นั่นด้วย เขารู้ว่าสตรีนางนี้ไม่ได้โง่เขลาอย่างที่คนเขาพูดกัน
จิ่งฉือถึงได้ตบมืออย่างเข้าใจขึ้นมาทันที “อ๋อ ข้าเข้าใจที่องค์ชายสาม้าจะสื่อแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูซูผู้นี้ไม่ธรรมดาเหมือนเบื้องหน้าที่นางแสดงออกมา ไม่เช่นนั้นจะบุกจวนผู้ตรวจการตอนกลางคืนได้อย่างไร?”
หลิงชวนที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้างมาตลอดก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูซูผู้นั้นคงจะไม่กระทบอะไรกับแผนการของพวกเราใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จี๋โม่หานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่มีหลายเื่ที่นางทำล้วนเป็ประโยชน์กับพวกเราไม่ใช่หรือ เอาล่ะ ใน่หลายวันมานี้ก็จับตาดูทางจวนสกุลซูเอาไว้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามคนตอบรับพร้อมกัน
“เอาล่ะ พวกเ้าออกไปเถิด” จี๋โม่หานโบกมือ “เปิ่นหวังจะอยู่ที่นี่คนเดียวสักครู่”
ทั้งสามคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากศาลา ิจิ่วเดินไปได้สองก้าวก็หยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับไปมองแผ่นหลังของจี๋โม่หาน “องค์ชายสาม พรุ่งนี้จื๋อหลันก็คงจะกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จี๋โม่หานไม่ได้ตอบ
ริมฝีปากของิจิ่วอ้าๆ หุบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อ “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าหมอเฉินท่านนี้ฝีมือเก่งกาจ ให้เขาตรวจท่านดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสามคนมองแผ่นหลังของจี๋โม่หาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนจี๋โม่หานถึงได้ยกมือขึ้นมา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความราบเรียบและห่างเหิน “ออกไปเถิด”
ทั้งสามคนไม่มีทางเลือก ทำได้แค่ถอยออกมาก่อน
ลมในต้นเดือนห้ายังมีความเย็นอยู่เล็กน้อย ลมอ่อนๆ พัดเส้นผมที่ขมับของจี๋โม่หาน ด้านนอกศาลามีใบไผ่ถูกลมพัดจนร่วงลงมาที่ข้างเท้าของเขา ภายในความมืดที่เงียบสงัดมีเสียงแมลงดังมาบ้างเป็บางครั้ง
เวลาผ่านไปพักหนึ่งจี๋โม่หานยังคงอยู่ในท่านั้น หากคนที่ไม่รู้มาเห็นคงคิดว่าเขานั่งท่านั้นหลับไปแล้ว
พอเริ่มดึกมากแล้วก็รู้สึกถึงไอน้ำค้างที่เปียกชื้นเล็กน้อย ในที่สุดจี๋โม่หานก็ขยับตัวยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วของตัวเอง เขาส่งเสียงถอนหายใจที่แทบไม่ได้ยินออกมาก่อนจะหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
ที่ตงฉือตอนนั้นเขาตาบอดทั้งสองข้าง แถมยังขาขาดไปหนึ่งข้าง ผ่านไปหลายสิบปีความไม่พอใจในตอนแรกก็ได้ปล่อยวางลงแล้ว
ตอนนี้เพิ่งสูญเสียแสงสว่างไป เขาไม่พอใจจริงๆ จนแทบจะหาหมอเลื่องชื่อทั้งเมืองหลวงมารักษา
แต่ไม่มีใครเลยที่มีความสามารถ เขาจึงค่อยๆ ปล่อยวางและชินชากับมัน
เขารู้ว่าหลายคนที่อยู่ข้างกายของเขานั้นช่วยตามหาหมอที่เก่งกาจมาตลอด หลายปีมานี้ก็ไม่เคยย่อท้อ
จี๋โม่หานนั่งอยู่อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งเสื้อผ้าบนตัวชื้นไปด้วยไอน้ำค้าง สองมือของเขาถึงได้เลื่อนไปบนที่วางมือก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน
วันนี้ซูิเยว่ตื่นแต่เช้าตรู่มาออกกำลังกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ไปทานอาหารเช้า
เื่เมื่อวานเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบอะไรกับนางเลย นางยังคงทานอาหาร ดื่มเมื่อกระหายและนอนในเวลาที่อยากนอนได้ตามปกติ ตรงข้ามกับเสี่ยวอวี่ที่หลังจากกลับมาเมื่อวานก็เริ่มเป็กังวล
ซูิเยว่เห็นแล้วก็รู้สึกจนใจ “เสี่ยวอวี่ของข้า เ้ากังวลใจอะไรกันแน่หรือ? ฮ่องเต้ยังไม่รีบร้อน เ้าที่เป็ขันทีจะไปรีบร้อนอะไร?”
อารมณ์ของเสี่ยวอวี่ยังอยู่ในสภาพของคนที่หม่นหมอง ตาหลุบลง ดวงตาทั้งสองข้างเหม่อลอย ปากก็ตอบกลับมาทันที “หนูปีไม่ใช่ขันทีเสียหน่อยเ้าค่ะ....”
นางพูดจบถึงได้รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เมื่อได้สติก็เงยหน้าขึ้นมองซูิเยว่
ซูิเยว่คีบเกี๊ยวทอดชิ้นหนึ่งเข้าไปในปากก่อนจะยกยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ “มีเื่อะไรที่มีค่าพอให้คิดหนักขนาดนี้ด้วยหรือ?”
เสี่ยวอวี่หน้านิ่วคิ้วขมวดถามกลับ “คุณหนูไม่กังวลหรือเ้าคะ? เมื่อวานเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นมา ท่านไม่กังวลว่าจ้าวอวี้ถิงจะไม่ยอมรับความผิดหรือเ้าคะ?”
ซูิเยว่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างชัดเจน “กังวลอะไร? ข้าทำอะไรหรือ? เมื่อวานคนมากมายที่อยู่ที่นั่นก็เห็นอยู่”
“แต่ว่าคุณหนู...” เสี่ยวอวี่มองมาทางนางด้วยความลำบากใจ เมื่อวานตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ต่อมาระหว่างทางกลับเรือนนางก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
เมื่อวานจ้าวอวี้ถิงมาพูดคุยในห้องของคุณหนู พูดไปพูดมาจู่ๆ ก็หลับไป ตอนนี้มาคิดดีๆ แล้วถึงได้รู้ว่าน้ำชาอาจจะมีปัญหา
ซูิเยว่รู้ว่านางอยากจะพูดอะไรจึงคีบเกี๊ยวทอดหนึ่งชิ้นยัดเข้าปากของเสี่ยวอวี่ไป “วางใจเถิด เมื่อวานพวกเราได้ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ใช่หรือ? นางน่ะโยนก้อนหินใส่เท้าตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่กล้าเอาเื่นี้ออกมาพูดหรอก”
ซูิเยว่เข้าใจจ้าวอวี้ถิงมาก ครั้งนี้นางร่วมมือกับองค์ชายห้าเพื่อมาทำร้ายตน เื่นี้เ้าตัวไม่สามารถคิดวิเคราะห์ลึกๆ ได้หรอก
ถ้าหากจ้าวอวี้ถิงไม่ยอมรับความผิดจริงๆ หากเื่นี้ใหญ่โตขึ้นมา ขอแค่ตรวจสอบเล็กน้อยก็จะรู้ความจริงเื่ยานอนหลับรวมถึงคนที่อยู่เื้ัได้ อย่างไรเมื่อวานในเรือนก็มีแขกมากมายขนาดนั้น
อีกทั้งั้แ่เมื่อวานที่เกิดเื่ขึ้นจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านไปนานขนาดนี้ แต่ด้านนอกกลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย แค่คิดก็รู้แล้วว่าเื่นี้เริ่มเงียบลงแล้ว
พอเกิดเื่เช่นนั้นขึ้นในงานครบรอบเดือนขององค์ชายที่จวนช่างชู จวนช่างซูเองก็มีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงจัดการเก็บความลับไม่ให้เื่บานปลาย
อีกอย่างเมื่อวานจ้าวอวี้ถิงชุดขาดต่อหน้าคนมากมายขนาดนั้น ชื่อเสียงของแม่นางคนหนึ่งก็เสียหายจึงไม่อาจทำให้เื่ใหญ่โตขึ้นมาได้
ไม่เช่นนั้นบ้านสกุลหลี่ของพวกเขาแล้วก็เจิ้นหนานโหวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ไม่มีปัญหาอะไรหรือเ้าคะ?” เสี่ยวอวี่ยังถามอย่างไม่เชื่อ
ซูิเยว่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ทางด้านราชวงศ์ไม่มีทางปล่อยให้เื่อื้อฉาวมากมายเช่นนี้เกิดขึ้นแน่”
“แล้วตัวจ้าวอวี้ถิงล่ะ? หากนางไม่พอใจแล้วย้อนกลับมาวางแผนแก้แค้นพวกเราล่ะ?”
อย่างไรจ้าวอวี้ถิงก็เป็พวกประเภทแค้นนี้ต้องชำระ เื่ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็เหมือนเป็การฉีกหน้าอีกฝ่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้