ครึ่งเดือนผ่านไป ประตูหน้าขึ้นเขาพรรคเทพหมาป่า์
จางเจิ้งเต้าเดินทางมาพร้อมขบวนรถ ก่อนจะถูกหยุดไว้ที่หน้าประตูเข้าพรรคเทพหมาป่า์
“เ้าทำบ้าอะไร? ข้าคือาุโเค่อชิงพรรคเทพหมาป่า์ ไม่รู้จักจางเจิ้งเต้าหรืออย่างไร?”
“ว่าอะไร? ขอตรวจค้น? นี่เ้ากล้า? เป็แค่ศิษย์ระดับล่างมีสิทธิ์อะไรมาตรวจค้น? ข้าจะไปพบท่านประมุข เ้ากล้าสงสัยาุโเค่อชิงอย่างข้า? ข้า าุโเค่อชิง สรุปแล้วเป็แขกผู้ทรงเกียรติหรือไม่อย่างไร? ทำไมเ้าไม่ตรวจค้นกระเป๋ามิติของเฉินเทียนป้าด้วยเลยเล่า จะมาตรวจค้นตัวข้า? พวกเ้าเป็ใคร?”
.........
.........
......
......
...
...
จางเจิ้งเต้าโวยวายใส่ศิษย์เฝ้าประตูอยู่พักใหญ่ ท่าทีของมันจองหองวางก้ามอย่างที่สุด
มู่หรงลวี่กวงที่เห็นภาพนี้ห่างออกไปไม่ไกลพลันหน้าบูด
“ศิษย์พี่ จางเจิ้งเต้าผู้นี้มิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน พวกเราสมควรไปตรวจสอบหรือไม่?” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์คนหนึ่งกระซิบถามมู่หรงลวี่กวง
“ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว จางเจิ้งเต้าขนของขึ้นไปยัง ‘ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่’ ทุกวี่วัน มันขนอะไรขึ้นไปกันแน่? แถมรถเกวียนยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายพิษอีก?” มู่หรงลวี่กวงขมวดคิ้ว
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่ดูเหมือนของทุกอย่างล้วนจะเป็พิษทั้งสิ้น!”
“พิษรึ?” มู่หรงลวี่กวงขมวดคิ้วขบคิด
“ศิษย์พี่ เพราะท่านทำพลาดจนถูกท่านประมุขลงโทษให้มาเฝ้าประตูขึ้นเขาอยู่แบบนี้! แต่ไอ้หวังเค่อนั่นฉวยโอกาส ข้าได้ยินมาว่ามันฉวยโอกาสอ้างชื่อท่านประมุขเพื่อไล่คัดลอกคัมภีร์วิชาบำเพ็ญ ทั้งที่ข้าเองยังต้องค่อยๆ สั่งสมกุศลเพื่อคัดลอกทีละเล่ม มันทำแบบนั้นได้ยังไง?”
“เหอะ ให้มันทำไปเถอะ มันเรียนรู้ไม่ได้เร็วหรอก!” มู่หรงลวี่กวงหัวเราะเสียงเย็น
“ข้ายังได้ยินว่าองค์หญิงโยวเยว่เองก็พำนักอยู่บนยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ด้วย ไอ้เด็กน้อยหวังเค่อนั่น หรือว่า…!”
“ไอ้หวังเค่อไม่ใช่พวกรักร่วมเพศหรอกรึ?” มู่หรงลวี่กวงมุ่นคิ้ว
“พวกเราเองก็สงสัยเหมือนกัน ก่อนเปิดใช้งานกลอสนี์ปะามาร มันไล่แต๊ะอั๋งพวกมารไปทั่ว แต่นอกจากมารบุรุษแล้ว มารสตรีมันเองก็ล้วงไม่ปล่อยเหมือนกัน! ดูแล้วเหมือนเด็กน้อยจิตอกุศลนัก!”
มู่หรงลวี่กวงหน้าหม่นหมอง “แล้วองค์หญิงโยวเยว่เล่า? ตอนนี้นางเข้าใจผิดข้าแล้ว ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์! เอาไว้ท่านอาจารย์กลับมาแล้วข้ารับโทษทัณฑ์เสร็จ ข้าค่อยคิดหาวิธีแก้ไข!”
“องค์หญิงโยวเยว่ต้องเป็ของศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนจางหลี่เอ๋อร์นั่นเป็เพราะหวังเค่อเื่ราวเลยผิดพลาดไป แต่ข้าเชื่อว่าด้วยเสน่ห์ล้นหลามของศิษย์พี่ ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องยอมเป็ของศิษย์พี่แน่นอน!”
มู่หรงลวี่กวงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “จริงแท้ จางเจิ้งเต้านั่นก็แค่สวมหนังหมาป่า ไม่ต้องค้นแล้ว รอเอาเื่ไปแจ้งท่านอาจารย์ก็พอ ไปลองสืบดูว่าหวังเค่อมันคิดจะเอาพิษเยอะแยะไปทำอะไร?”
“ทราบ!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์รับคำ
ห่างออกไปไม่ไกล จางเจิ้งเต้าเห็นมู่หรงลวี่กวงโดนลงโทษอยู่ก็ส่งสายตายั่วยุให้เป็ระลอก จางเจิ้งเต้าะเิความจองหองอหังการออกมาขณะเดินขึ้นไปยังประตูทางขึ้นเขา
“ไปเถอะ ขึ้นเขากัน!” จางเจิ้งเต้าหัวเราะร่า
“ขอรับ!”
รถเกวียนด้านหลังมันติดตามจางเจิ้งเต้าไปยังประตูทางขึ้นเขา
จางเจิ้งเต้าส่งสายตายั่วยุให้มู่หรงลวี่กวง ส่วนมู่หรงลวี่กวงเองก็คล้ายไม่สนใจคนหนังหมาอย่างจางเจิ้งเต้า มันไม่แม้แต่จะเหลือบมองอีกฝ่าย คนเพียงมองไปยังท้องฟ้าไกล ก่อนสองตามู่หรงลวี่กวงจะสาดประกายด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
“น้อมรับท่านอาจารย์!” มู่หรงลวี่กวงคารวะให้ท้องฟ้า
จางเจิ้งเต้าหันหน้ากลับมา มองเห็นสตรีวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าเหยียบกระบี่บินอยู่ ใบหน้าของนางเ็า คิ้วเชิดสูงดุจูเาน้ำแข็ง ร่างแผ่ไอเย็นเยียบออกมาไกลลิบ
“น้อมรับท่านเ้าตำหนักหมาป่าบูรพา!” ศิษย์อารักขาประตูขึ้นเขาต่างพากันค้อมกายคารวะ
สตรีบนกระบี่บินเพียงเหลือบมองอย่างเ็า ทุกคนต่างตัวสั่นก่อนจะแข็งทื่อราวกับถูกแช่แข็ง
“เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยแห่งพรรคเทพหมาป่า์? เ้าตำหนักหญิงกลับมาแล้วรึ? ไม่เอา อย่าให้นางมองพวกเ้า ไป ไปเร็ว!” จางเจิ้งเต้ารีบเร่งลูกน้องให้เลี่ยงสายตาเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย
จางเจิ้งเต้ารีบนำขบวนรถเกวียนจากไปอย่างเร่งร้อน
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหามู่หรงลวี่กวง
“ลวี่กวง อาจารย์รู้เื่โง่ๆ ที่เ้าทำลงไปแล้ว!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกล่าวเสียงเย็น
“ศิษย์แพ้ให้แก่มารในใจ ครั้งนี้ทำผิดพลาดไปแล้ว!” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยอย่างขมขื่น
“อาจารย์ไม่ได้คิดตำหนิเ้าเื่การปราบมาร แต่อาจารย์ตำหนิเ้าเื่ท่าทีที่มีต่อองค์หญิงโยวเยว่ต่างหาก ไม่ใช่อาจารย์บอกเ้าไปั้แ่แรกแล้วหรือ? ว่าให้เ้าใกล้ชิดกับองค์หญิงโยวเยว่ให้ได้มากที่สุด? แล้วเ้าทำเื่โง่เขลาอะไรไป?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยถามเสียงเย็น
“ข้า…!” มู่หรงลวี่กวงมีสีหน้าอมทุกข์
“เ้าอยากแต่งงานกับจางหลี่เอ๋อร์? หวังอยากได้การสนับสนุนจากพรรคอีกาทองคำ? เหอะ! หน้าโง่! ถ้าเ้าได้รับการสนับสนุนจากผู้หนุนหลังขององค์หญิงโยวเยว่ การหนุนหลังจากพรรคอีกาทองคำจะนับเป็อย่างไรได้? พรรคอีกาทองคำทั้งพรรค ผู้หนุนหลังองค์หญิงโยวเยว่สามารถประเคนให้เ้าได้หมด! แต่เ้ากลับเลือกเมล็ดงาจนเสียแตงโมไป? โง่เง่า โง่เขลาเกินเยียวยา!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจ้องเขม็ง
“หา?” มู่หรงลวี่กวงเผยสีหน้าใ
ตอนแรกที่มันเข้าร่วมราชวงศ์ชือกุ่ยไป ก็เป็ท่านอาจารย์ที่แนะนำให้มันเข้าหาองค์หญิงโยวเยว่ หลังราชวงศ์ชือกุ่ยล่มสลาย มันก็คิดว่าองค์หญิงโยวเยว่คงไม่มีค่าอะไรอีก แต่วาจาของท่านอาจารย์เมื่อครู่ทำให้มู่หรงลวี่กวงต้องท้องเขียวด้วยความเสียดาย
“ท่านอาจารย์ ผู้หนุนหลังองค์หญิงโยวเยว่เป็ใครกันแน่?” มู่หรงลวี่กวงถามอย่างคาดหวัง
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเหลือบมองมู่หรงลวี่กวง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแค่นเสียงเย็นด้วยสีหน้ารังเกียจ นางไม่สนใจลูกศิษย์อีก เพียงก้าวเท้าเข้าประตูสำนักไป
ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่
จางเจิ้งเต้ารีบนำขบวนรถเกวียนมาถึงยอดเขา ทุกคนในขบวนล้วนเป็ลูกน้องของหวังเค่อ เวลานี้พวกมันต่างสวมหน้ากากกันแก๊สและชุดป้องกัน ก่อนจะจัดแจงขนของลงจากรถเกวียนอย่างคล่องแคล่ว
“เข้ามา!” หวังเค่อส่งเสียงมาจากในตำหนัก
จางเจิ้งเต้ารอเปิดประตูตำหนักออกมาไม่ไหว ทันทีที่ประตูตำหนักเปิดออก กลิ่นเหม็นเน่าก็โชยออกมา
“โอ้ย หวังเค่อ นี่เ้าฝึกวิชามารอะไร ไฉนถึงมีไอพิษลมเสียเยอะปานนี้!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้ารังเกียจ
แต่มันก็เห็นสระน้ำสีดำขนาดใหญ่ในตำหนัก ภายในสระน้ำดำมีไอดำเดือดพล่าน ลมพิษผุดจากบ่อไม่หยุดหย่อน โดยมีหวังเค่อแช่ร่างอยู่ภายในบ่อ
เหตุใดหวังเค่อถึงต้องแช่ร่างอยู่ในบ่อนี้? ตกลงไม่ใช่ว่า《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》เป็ผลเสียหรือไร? ข้านึกว่ามันจะเป็วิชาเที่ยงธรรมบำเพ็ญตบะชะล้างอวัยวะทั้งห้า แต่เริ่มมาก็ต้องใช้พิษเพื่อชะล้างร่างกายเสียแล้ว นี่เื่บ้าอะไร นี่ใช่วิชาพิษพรรคมารหรือไม่?
“จางเจิ้งเต้า ข้าจ่ายศิลาิญญาห้าร้อยชั่งให้เ้าทุกวันเพื่อให้เ้าช่วยออกไปเอาของ ทำไมถึงพูดจาเหลวไหลไร้สาระมากมายนัก?” หวังเค่อเบิกตาจ้องจางเจิ้งเต้า
“หากท่านยอมยกกระบี่บินที่ให้ยืมให้ข้า ข้าสัญญาจะไม่พูดมากอีก!” จางเจิ้งเต้าพลันฉีกยิ้มพลางเดินเข้าหา
“เ้าคิดว่าเงินข้าลอยมาตามลมหรือไร? กระบี่บินราคาตั้งเท่าไหร่เ้ารู้บ้างไหม? ข้าให้เ้ายืม่นี้เพื่อให้เ้าเดินทางระหว่างเมืองเซียนได้เร็วขึ้น ช่วยข้าติดต่อลูกน้อง ช่วยข้ารวบรวมวัตถุดิบ! ใช้เสร็จก็คืนข้ามาด้วย!” หวังเค่อจ้องตาเขียว
“เ้าจะขี้เหนียวเกินไปแล้ว เ้าเล่นใช้ศิลาิญญาวันละแสนชั่ง ยังจะมาขี้เหนียวกับข้าอีก?” จางเจิ้งเต้ากล่าวด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
“เ้ารู้ด้วยว่าข้าใช้เงินเหมือนน้ำไหล? ศิลาิญญาที่ข้าปล้นมาจากพวกมารชั่วเมื่อครึ่งเดือนก่อนใช้หมดเกลี้ยงแล้ว เ้าขอเงินข้าแบบนี้มีละอายบ้างไหม?” หวังเค่อพลันรู้สึกไม่สบายใจ
หวังเค่อเองก็นึกไม่ถึงว่า《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》จะแพงได้ขนาดนี้ ก่อนจะเริ่มเห็นผลดีก็จำต้องเสียเงินมหาศาล โชคยังดีที่มันยังพอมีเงินอยู่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางฝึกฝน《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》นี้ได้
“ข้าเองก็แปลกใจเหมือนกัน เ้าผลาญเงินไปทำอะไร? ซื้อพวกพิษ ของสกปรก! แถมยังเยอะเสียจนข้ายัดใส่กำไลมิติไม่ได้? หากไม่ใช่เพราะสิบหมื่นมหาบรรพตมีของแบบนี้อยู่เยอะ เ้าคงใช้เงินซื้อพวกมันตั้งหลายรอบไม่ได้แน่!” จางเจิ้งเต้าเองก็อยากรู้
“เลิกพูดจาไร้สาระ เร็วเข้า เคล็ดบำเพ็ญของข้าใกล้สำเร็จแล้ว รีบเทของลงมาในบ่อฝึกตนข้าตามลำดับเร็ว!” หวังเค่อทำตาเขียว
จางเจิ้งเต้าทำหน้าหดหู่ “ไม่ให้ลูกน้องเ้าทำแทนเล่า? พวกมันเป็คนขนพิษเหล่านี้มาให้ จะให้พวกมันเทใส่บ่อก็ไม่แปลก!”
“เลิกพูดเหลวไหล พลังบำเพ็ญพวกมันเทียบชั้นเ้าได้รึ? เ้าเป็ยอดฝีมือขั้นดวงธาตุทองคำ ร่างกายมีลมปราณเข้มแข็งคุ้มกาย เร่งมือเข้า ข้าจะให้ศิลาิญญาเ้าห้าร้อยชั่ง!” หวังเค่อกล่าว
“ฮ่าฮ่า มันต้องแบบนี้สิ!” จางเจิ้งเต้าพลันตื่นเต้นขึ้นมา
หลังเบ่งลมปราณคุ้มกาย มันก็ไปขนของมา
“ขั้นแรกเทพิษจงอางสามสีลงไป...หนึ่งถังมั้ง? ใช่ๆ! จากนั้นเทพิษแมงมุมหลากสีอีกถัง! แล้วก็…!” จางเจิ้งเต้าพึมพำขณะทำตาม
พิษเป็ถังถูกเทลงในสระ น้ำดำในสระยิ่งมายิ่งเดือดพล่าน
ฟองน้ำและไอน้ำที่ปะทุออกมาต่างล้วนเป็พิษ ลูกน้องของหวังเค่อแม้จะสวมชุดป้องกันอยู่ต่างก็วิ่งหลบกันจ้าละหวั่น
หวังเค่อรีบนั่งขัดสมาธิ ลงมือเตรียมตัวทะลวงด่านขั้นสุดท้าย! ส่วนกับจางเจิ้งเต้าหวังเค่อไม่ได้ระแวงอะไรนัก แม้คนผู้นี้จะเชื่อถือไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางลงมือกับมันตอนนี้แน่ ไม่อย่างนั้นใครจะเป็คนจ่ายเงิน?
พิษร้าย โคลน และของเหลวสกปรกอย่างละถังถูกเทลงในสระ ตัวหวังเค่อกระตุกคล้ายถูกไฟดูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จางเจิ้งเต้าทางด้านข้างเองก็เผยสีหน้าพิกล มันมองดูิัของหวังเค่อเน่าเปื่อยและฟื้นตัวซ้ำไปซ้ำมาอย่างหวาดผวา
“นี่เ้าฝึกวิชามารอะไรกัน? เหตุใดถึงน่าหวาดหวั่นปานนี้?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างหวาดผวา
หลังพิษถังสุดท้ายถูกจางเจิ้งเต้าลากเข้ามาในตำหนัก ลูกน้องของหวังเค่อทุกคนต่างก็ถอยกลับไป
“เพิ่มอีก!”
ประตูตำหนักปิดลง มีเพียงจางเจิ้งเต้าที่คอยเทพิษลงในสระตามคำของหวังเค่อไม่หยุด
หวังเค่อกระตุ้นโคจร《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》พลางสำรวจความเป็ไปของร่างกาย
พิษร้าย ของเสีย และของเหลวสกปรกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายมัน ทั่วตัวหวังเค่อทรมานแสนสาหัส แต่มันก็ฝืนกัดฟันอดทนไว้
ภายในจุดตันเถียน กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว หากสัจปราณสีม่วงของหวังเค่อถูกพิษร้ายนับสุดคณานับกัดกร่อนจนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความเ็ปนี้ไม่ใช่สิ่งที่ปุถุชนทั่วไปจะทานรับไหว กระแสสัจปราณรุนแรงภายในจุดตันเถียนยิ่งมายิ่งหมุนเวียนเร็วรี่
“หึ่งงงง!”
หนึ่งวันผ่านไป ทั่วร่างหวังเค่อกลายเป็สีดำ สองวันผ่านไป ทั่วร่างหวังเค่อเริ่มเรืองแสงสีเหลืองซีดจาง สามวันผ่านไป ร่างหวังเค่อเริ่มทอแสงสีทองออกมา
“อ๊ากกก~~~~~!"
หวังเค่อะโ
“ตูมมมม!”
ภายในร่างหวังเค่อบังเกิดเสียงดังสนั่น สระน้ำสั่นไหวอยู่พักใหญ่ ก่อนน้ำดำในสระจะเริ่มกลับมาใสกระจ่างอย่างแช่มช้า
“หวังเค่อ เ้า เ้าดูดซับพิษร้ายกับของเสียในน้ำดำนี่เข้าสู่ร่างทั้งหมดเลยรึ? เื่นี้ขนาดดวงธาตุทองคำอย่างข้ายังรับไม่ไหว เ้าคงไม่ได้กำลังจะตายหรอกนะ? เ้าจะตายข้าไม่ว่า แต่จ่ายเงินข้ามาก่อน!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยอย่างกังวล
ถึงแม้ปากจะทวงถามเื่เงินกับหวังเค่อ แต่สายตาจางเจิ้งเต้าก็ยังมีความเป็ห่วงแฝงไว้
ร่างกายหวังเค่อเปล่งแสงสีทองออกมา ก่อนแสงสีทองจะค่อยๆ จางหายไป ผิวกายสีทองของหวังเค่อเริ่มกลับสู่สภาพปกติ
“ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังคิดบัญชีเ้าไม่หมด!” หวังเค่อเอ่ยด้วยเสียงตื่นเต้นยินดี
เวลานี้หวังเค่อไม่ทราบว่าร่างกายตนเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร หากสัจปราณในจุดตันเถียนของมันถดถอยลงจนเหลือเพียงหนึ่งในร้อย สัจปราณสีม่วงกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็สีทอง
“เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ ขั้นที่หนึ่ง ก่อเกิดปราณขุ่น! สัจปราณขุ่นรึ?” หวังเค่อสำรวจสัจปราณสีทองในร่างด้วยความอัศจรรย์ใจ
“หวังเค่อ เ้ายังไม่ตายอีก? เป็อย่างไรบ้าง? เ้าฝึกวิชามารสำเร็จแล้วหรือ? ตอนนี้พลังบำเพ็ญเ้าบรรลุถึงขั้นใดแล้ว?” จางเจิ้งเต้าพลันตั้งตาคาดหวัง
พิษร้าย สิ่งสกปรก และน้ำโสโครกทั้งสระหายไปหมดแล้ว วิชามารนี้ของหวังเค่อสมควรผลักดันฝีมือมันให้รุดหน้าก้าวใหญ่ใช่หรือไม่?
“ข้าละทิ้งพลังบำเพ็ญเดิมเพื่อเริ่มต้นใหม่ ตอนนี้กลับมาเป็เซียนเทียนขั้นแรกแล้ว!” หวังเค่ออธิบาย
“เซียนเทียนขั้นแรก? เ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเองผลาญศิลาิญญาไปมากขนาดไหน? เ้าใช้ศิลาิญญาไปเป็ล้านชั่ง พลังบำเพ็ญไม่เพียงไม่ก้าวหน้า แต่ยังถอยหลังเสียอีก? นี่ นี่ไม่สมควรเกิดขึ้น!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าแตกตื่น
“เป็ความจริง!” หวังเค่อส่ายหน้า
หลังเดินขึ้นมาจากสระ หวังเค่อก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไม่ ไม่สิ เ้าฝึกวิชาด้วยวัตถุดิบที่เสียศิลาิญญากว่าล้านชั่งซื้อมา วิชาฝีมือของเ้าสมควรเลิศภพจบแดน ต้องมีอานุภาพยอดเยี่ยมยิ่งใช่หรือไม่? แสดงให้ข้าเห็นทีว่าวิชามารของเ้ามีดีอย่างไร?” จางเจิ้งเต้าคาดหวัง
“ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าฝึก《เคล็ดเทพอัคคี》ของพรรคเทพหมาป่า์อยู่!” หวังเค่อขมวดคิ้ว
“ผายลมเถอะ เ้าคิดว่าข้าไม่รู้จักเคล็ดเทพอัคคีเรอะ? ข้าช่วยเ้าจัดการเื่พิษ เ้าจะแสดงให้ชมหน่อยไม่ได้รึ? เ้าแสดงสัจปราณออกมาให้ข้าชมว่าเป็วิชามารแบบไหน!” จางเจิ้งเต้าปั้นหน้าแปลกใจ
จางเจิ้งเต้าเองก็เคยเห็นวิชาบำเพ็ญมามาก ความรู้กว้างขวางไม่เบา แต่ไม่เคยพบเห็นอะไรแปลกประหลาดเท่าวิชาของหวังเค่อมาก่อน
จางเจิ้งเต้าไม่เข้าใจ อันที่จริงหวังเค่อเองก็ยังไม่เข้าใจคุณสมบัติพิเศษของ ‘สัจปราณขุ่น’ ของตัวเองเหมือนกัน
“เ้าไม่ต้องรู้หรอก ตอนนี้ก็ดึกแล้ว กลับไปก่อนไป!” หวังเค่อส่ายหน้า
สัจปราณขุ่นของตนนี้จำต้องกลับไปศึกษาเสียก่อน!
“ไม่เอา! หวังเค่อ อนาคตภายภาคหน้าเ้าไม่คิดประมือกับผู้คนแล้วหรือไร? หากเ้าต่อสู้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปิดเผยสัจปราณออกมา แทนที่จะให้ผู้อื่นเห็นก่อน ให้ข้าได้เห็นเป็คนแรกดีกว่า ข้าอยากเห็นเพราะข้าอยากรู้ พิษร้ายทั้งหมดนั่น เ้าใช่ฝึกวิชามหาพิษหรือเปล่า?” จางเจิ้งเต้าไม่ยอมแพ้
หวังเค่อขมวดคิ้ว
“ถ้าหากเ้าฝึกวิชาพิษแล้วเผลอทำข้าติดพิษในอนาคตเล่า? ขอข้าดูหน่อยจะเป็ไรไป วันนี้ข้ายอมไม่รับเงินก็ได้เอ้า!” จางเจิ้งเต้ายืนกราน
“เ้าไม่รับเงินรึ? งั้นก็ได้ ข้าจะให้เ้าดูสักครั้ง!” หวังเค่อผงกศีรษะรับ
จางเจิ้งเต้า “…!”
ไอ้คนขี้เหนียว ไอ้แซ่หวังขี้ตืด เ้าจงใจรอให้ข้าเอ่ยปากก่อนใช่หรือไม่?
แต่ในเมื่อหวังเค่อยอมตกลงแล้ว จางเจิ้งเต้าก็ไม่กล่าวอันใดอีก เพียงเฝ้าดูหวังเค่อ
หวังเค่อยอมรับเพราะมันเองก็อยากให้จางเจิ้งเต้าช่วยทดสอบพลังสัจปราณขุ่นของตนเช่นกัน! ถึงอย่างไรมันก็บรรลุขั้นดวงธาตุทองคำ สมควรต้านทานสัจปราณขุ่นได้
หวังเค่อยื่นมือขวาออกมา สัจปราณขุ่นเริ่มโคจรเข้าสู่ฝ่ามือ ทันใดนั้น ลูกโป่งทองคำขนาดเท่าไข่ไก่ก็ก่อตัวขึ้นกลางฝ่ามือมันพร้อมหมุนวนโคจรเร็วรี่
“นั่นหรือสัจปราณของเ้า? แล้วเ้าเรียกมันมาบนฝ่ามือทำไม?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างสงสัย
“นี่เรียกว่าะุควงสว่าน เ้าไม่รู้อะไรซะแล้ว! ข้ากลัวว่ามันจะทรงพลังเกินไป เลยออมมือไว้ไม่ทุ่มสุดกำลัง!” หวังเค่อกล่าวเสียงเข้ม
“ทรงพลัง? เ้าเป็แค่เซียนเทียนขั้นแรก พลังน้อยเท่าลมตด ให้ข้าดูหน่อยว่าเป็พลังธาตุใด! เคล็ดเทพอัคคีมีคุณสมบัติธาตุไฟ! เคล็ดเทพน้ำแข็งมีคุณสมบัติธาตุน้ำ ให้ข้าเห็นของเ้า…!” จางเจิ้งเต้ายื่นมือออกมาคว้าไว้
“ปุ้ง!”
มีเสียงคล้ายลูกโป่งแตก ลูกแก้วในมือหวังเค่อสลายกลายเป็ควันสีทองก่อนสลายไป
ไร้ซึ่งเปลวไฟ ปราศจากความเย็น นิ่งเฉยไร้ลม ไม่มีธาตุใดแฝงอยู่ทั้งสิ้น
กลุ่มควันสีทองสลายตัวหายไป หวังเค่อเริ่มได้กลิ่นไข่เน่าค่อนข้างเหม็นไม่เบา!
ตัวหวังเค่อไม่ทราบ เพราะสัจปราณนี้ก่อเกิดจากตัวมัน ทำให้ชายหนุ่มยังต้านทานกลิ่นของมันได้บ้าง หากจางเจิ้งเต้าไม่อาจทนรับไหว
กลิ่นไข่เน่าลอยเข้าสู่โพรงจมูกของจางเจิ้งเต้า พุ่งทะลวงเข้าสู่ห้วงดวงจิต ต่อให้จางเจิ้งเต้าโคจรลมปราณคุ้มกายทั่วร่างก็เปล่าประโยชน์ กลิ่นเหม็นน่าสะพรึงนี้ชำแรกแทรกซึมเข้าสู่จุดลึกสุดของดวงิญญาจนเน่าบูด กลิ่นที่จางเจิ้งเต้าัันั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่หวังเค่อรู้สึกเป็ร้อยเท่าพันทวี
“เ้าทุ่มศิลาิญญาเป็ล้านชั่งเพื่อฝึกฝนสัจปราณธาตุ “ตด” งั้นเรอะ? ข้า~~! โอ้กกกกก~~~~~!” จางเจิ้งเต้ากล่าวได้เพียงประโยคเดียวก่อนจะอาเจียนออกมาทันที
“เหม็นขนาดนั้นเชียวรึ?” หวังเค่อดมพลางถามอย่างสงสัย
ตัวหวังเค่อมีภูมิคุ้มกันต่อสัจปราณขุ่น ทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก แต่จางเจิ้งเต้ากำลังชักดิ้นชักงออยู่ตรงหน้าพร้อมน้ำลายฟูมปาก
“ลมตดนี้มีพิษ!” จางเจิ้งเต้าน้ำลายฟูมปากก่อนจะตาเหลือกสลบไป
