ณ หุบผามัจจุราช ศูนย์กลางอำนาจอธรรม
บริเวณนี้มืดมิด ดวงตาแห่งอธรรมจับจ้องทุกผู้ใดที่กล้าเข้ามา
เสียงกระซิบของปีศาจดังก้องราวคำสาป
“เ้ารู้สึกได้หรือไม่…เฒ่าอสูร?”
เหลียง เจี้ยนหลง ผู้นำฝ่ายอธรรม แววตาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
ดวงหน้าขึงขรึม แต่บารมีอำมหิตแผ่กระจายราวเงามืดกลืนกินทุกสิ่ง
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขา แฝงไปด้วยกลิ่นอายการครองโลกและความตาย
“ขอรับ…ท่านเ้าอสูร”
เฒ่าอสูร เขี้ยวที่สาม ตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ แฝงพลังเย็นะเื
แววตาส่องประกายดุร้าย ราวกับสามารถกลืนกินทั้งยุทธภพได้เพียงคำพูดหนึ่ง
ณ ลานฝึกในสำนักเขี้ยวเหล็ก
“เ้าขยะ…เ้ายังฝึกอยู่อีกหรือ? ฮึ!
คนไร้ค่าเช่นเ้าฝึกไปก็เปลืองทรัพยากรของสำนัก เอาทรัยากรของเ้ามาให้ข้าใช้เสียดีกว่า!”
เหยียน เจี้ยนอี้ หัวเราะเยาะเย็นะเื
แววตาแข็งกร้าวราวคมดาบ
“ไอ้โง่! เ้าจะทำเป็ไม่ยินข้าอย่างนั้นรึ ฮึ!?”
เหยียน เจี้ยนอี้ กล่าวเสียงทุ้มต่ำ แววตาเย็นะเื เผยความเหี้ยมเกรียม
“เ้าจะไปแห่งใดก็ไปซะ…ไอ้เ้าสวะ”
เหยียน หลิง กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ดวงตาแข็งกร้าวราวภูผา บารมีรอบกายทำให้ลานฝึกสงบนิ่งดุจหยุดเวลา
“หนอยย! เ้า…เ้าว่าใครเป็สวะกันวะ!”
“ก็เ้าไง…สวะต่ำต้อย วัน ๆ มิเคยทำสิ่งใดนอกจากหาเื่ข้า
เ้าอย่าคิดว่าข้าจะว่างมาคุยเล่น
เ้าควรนำเวลานี้ไปฝึกฝนเถิด”
ตูม!
เหยียน เจี้ยนอี้ โจมตี เหยียน หลิง ด้วยความเร็วราวสายฟ้า
แววตาเย็นะเืเปล่งรังสีอำมหิต
เหยียน หลิง ค่อย ๆ คลานออกมาจากซากกำแพงที่แตกพังทลาย
เืไหลซึมทั่วกาย แม้ร่างกายจะสั่นระริกด้วยความเ็ป
ทว่าแววตากลับเ็าไร้คลื่นอารมณ์ดุจผิวน้ำที่ถูกแช่แข็ง
“ฮึ่ม! ไอ้เ้ากระจอก…
เ้าจะยอมมอบสิ่งนั้นให้ข้าโดยดีหรือไม่ หรือว่าจะให้ข้ากระทืบเ้าให้เละ!”
ดวงตาเย็นะเื แฝงรังสีอำมหิต
รอยยิ้มชั่วร้ายฉายชัดบนใบหน้า
“ไม่มีวันดอก…เ้าสวะต่ำต้อย!”
เหยียน หลิง กล่าวเสียงเรียบแต่ทรงพลัง
ดวงตาแข็งกร้าว ราวนักรบที่ยืนหยัดต่อชะตาฟ้า
ขณะที่ เหยียน เจี้ยนอี้ เงื้อหมัดหมายจะโจมตีใส่ เหยียน หลิง อีกครั้ง
ทันใดนั้น เงาร่างผู้คุมกฏก้าวแทรกกลางลานฝึก
สายตาเย็นเยียบเฉียบขาดประดุจคมดาบ หยุดทุกการเคลื่อนไหวไว้ในพริบตาเดียว
เสียงทุ้มกังวานดุจฟ้าลั่นพลันดังขึ้น
“หยุดซะ เหยียน เจี้ยนอี้”
“ชิ…”
เหยียน เจี้ยนอี้ พึมพำด้วยความไม่สบอารมณ์ ราวสายลมผ่านยอดไม้
ก้องดังก้องสะท้อนกลางหุบเขา แววตาแฝงความเกรี้ยวกราด
“คราวหน้า…เ้าจะได้รู้ซึ้งว่า ‘ตาย’ เป็เช่นไร เหยียน หลิง!”
เสียงเย็นะเืประสานกับรอยยิ้มเหี้ยม
แววตาเปล่งประกายอำมหิต ราวพร้อมจะกลืนกินชีวิตตรงหน้า
ณ ห้องพยาบาลเงียบสงัด
“ไอ้เศษสวะ…เหยียน เจี้ยนอี้ จงรอให้ดี เถิด
เมื่อข้าล่วงรู้วิชาลับเพลิงอสูรเผา์ ข้าจะทำให้เ้ารู้รสชะตาความเ็ป”
น้ำเสียงหนักแน่นเหมือนคำสาบาน
ความมุ่งมั่นในคำพูดดังก้องเป็เสมือนดาบคม
“ฮึ! หากมิใช่เพราะเพลิงอสูรเผา์ที่ยามต้นมันกลืนิญญาเป็จำนวนมาก
จนข้าดูเหมือนไร้ค่า ข้าคงไม่ต้องมาทนให้มันกระทืบถึงเพียงนี้
รอก่อนเถอะ ไอ้เศษสวะ เหยียน เจี้ยนอี้!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ แววอำมหิตแฝงอยู่ในทุกพยางค์
ราวคำสาปที่พร้อมจะฉีกเนื้อฉีกหนังใครขวางทาง
ณ ห้องพยาบาลอันเงียบสงัด
เสียงลมหายใจของ เหยียน หลิง ดังก้องในอก
เขาขัดสมาธิกลางาแ
เืซึมก็หาได้หวั่นไหวไม่
ขณะที่แววตาของเขาเปล่งประกายมุ่งมั่นประดุจอัคนีไม่มอดดับ
ณ มารนฤมิตสังหาร สำนักหลักพรรคมาร
ในยามราตรีของนครพรรคมาร
คุณชายน้อยตระกูลฮวา เดินทอดน่องชมแสงไฟ
พลันได้ยินเสียงประหลาดแว่วออกมาจากซอยมืด
เขาก้าวตามเข้าไป ท่ามกลางความเงียบงัน
กลับปรากฏร่างชายลึกลับผู้หนึ่งนั่งพิงกำแพง สายตาคมกริบวาววับ
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาด้วยความหนักแน่น
“ฮวา เสี่ยวหยวน”
“เ้าคือผู้ใดกันเล่า แล้วเหตุใดเ้าจึงรู้จักชื่อของข้า!”
เสียงของ คุณชายน้อยตระกูลฮวา แข็งกร้าว
ดวงตาประกายเย็นเฉียบ กำลังสะท้อนความสงสัยและความไม่ยอมจำนน
“ข้า…ชื่อของข้าก็มิใช่เื่ยากเย็นนัก
ผู้คนเรียกข้าว่า ‘รัตติกาลพิโรธ’ บ้าง ก็ว่า ‘มรณะจันทร์ทรา’ บ้าง
ส่วนเ้าจะเรียกข้าว่าอันใด…ก็เป็ไปตามใจเ้าเถิด”
น้ำเสียงหนักแน่น เยือกเย็นดั่งเหล็กกล้า แฝงอำนาจเหนือคำพูด
“ระ…รัตติกาลพิโรธ…ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเช่นนี้มาก่อน”
เสียงของ ฮวา เสี่ยวหยวน สั่นเล็กน้อย
แต่ดวงตายังคงจับจ้องชายลึกลับด้วยความสงสัยและระแวดระวัง
“ช่างมันเถอะ…เ้าตามข้ามา ข้าจะมอบบางสิ่งให้เ้า”
น้ำเสียงหนักแน่น แฝงด้วยอำนาจและความลึกลับ
ราวการกำหนดชะตาของผู้ตาม
ฮวา เสี่ยวหยวน เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
ราวเงาของดวงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ
ราวกับมีกระแสลึกลับบางอย่างพัดพาให้ก้าวไป ไม่รู้ตัว
เหมือนจิติญญาถูกดลบันดาลจากพรหมลิขิต
“หือ…ฮวา เสี่ยวหยวน…ที่นี่…ที่ไหนกัน
เ้าพาข้ามาที่ใดกัน?”
เสียงหอบของ ฮวา เสี่ยวหยวน ดังก้องคลอในลานกว้าง
แต่กลับไม่มีผู้ใดตอบ
เบื้องหน้าของเขาปรากฏ ราชวังลึกลับอันสง่างาม
ดวงตาของเขาจับจ้องทุกรายละเอียด
ราวกำลังพิจารณาอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในความยิ่งใหญ่เหนือธรรมดานี้
ทันใดนั้น ฮวา เสี่ยวหยวน รู้สึกถึงความเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งไหลออกมาจากราชวังลึกลับ
แสงวิบวับประปรายบนยอดหอคอยสะท้อนลงบนพื้น
ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดระแวง
เบื้องหน้าของ ฮวา เสี่ยวหยวน ปรากฏ กล่องไม้โบราณหนึ่งใบ
ผนึกผ้ายันต์สลักอักขระเก่าแก่แ่า
รัศมีเยือกเย็นและความลึกลับแผ่ออกมาจากกล่อง
ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
“เ้า้าพลังนั้นหรือไม่!”
เสียงเยือกเย็นและดุดันดังก้องออกมาจากกล่อง
แววตาในความมืดราวเฝ้าดูดวงิญญาผู้กล้า
ความหวาดหวั่นและอำมหิตแผ่ซ่านเต็มลาน
ฮวา เสี่ยวหยวน ยกมือเปิดกล่อง อย่างไม่ลังเล
ภายในบรรจุดาบเล่มหนึ่งและม้วนวิชาดาบเก่าแก่
ชื่อวิชาถูกสลักอย่างชัดเจนว่า “ดาบสังหารจันทรามาร”
ทันทีที่มือเขาจับดาบ
ร่างกายเหมือนหลุดพ้นจากโลกเดิม
พลังลึกลับพุ่งทะลุเข้าสู่ร่าง
ราวกับถูกพาวไปยัง วังแห่งจันทราและความมืดมิด
“ในที่สุด…ก็มีผู้มาพบข้าเสียที”
เสียงเยือกเย็นของใครบางคนทะลุทะลวงรอบกายของ ฮวา เสี่ยวหยวน
“เ้าเป็ใคร ข้ากำลังอยู่ที่ใด“
ฮวา เสี่ยวหยวน ถาม
“ที่นี่…คือจิตใจของเ้า!”
ดวงตาแดงฉานจ้องอย่างเยือกเย็นและอำมหิต
ราวพายุร้ายที่พร้อมจะกลืนกินและบดขยี้ดวงิญญาผู้ใดที่กล้าเถียงหรือฝ่าฝืน
“เช่นนี้…ข้าก็ได้รับพลังแล้วกระนั้นหรือ!”
ฮวา เสี่ยวหยวน พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและเ้าเล่
ดวงตาแดงฉานประกายอำมหิต แฝงความทะเยอทะยานและความเ็าที่พร้อมครอบงำทุกสิ่ง
“ไม่หรอก…เป็ข้าต่างหากที่ได้ร่างเ้า”
เสียงจากดาบทุ้มต่ำและเยือกเย็น
“งั้นหรือ…เ้าคงทำมิได้ ข้าจะดูดกลืนพลังเ้ามาเป็ของข้า
ให้มันเป็ไปตามเจตจำนงของข้า!”
ฮวา เสี่ยวหยวน ตอบด้วยน้ำเสียงโเี้และเ้าเล่
ดวงตาแดงฉานประกายอำมหิต
พลังรอบตัวเขาแผ่ซ่าน ราวพร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่กล้าเข้ามา
เสียงทุ้มจากดาบแ่ลงด้วยความงุนงง
“นี่เ้าพูดเื่อันใด… ฮวา เสี่ยวหยวน? เื่ไร้สาระเช่นนี้หรือ?”
พลังลึกลับรอบตัวสั่นะเืเล็กน้อย
ดวงิญญาในดาบดูจะลังเล
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องอำมหิตจากดาบดังทะลุฟ้า
ฮวา เสี่ยวหยวน ดูดกลืนพลังิญญาจากดาบอย่างรวดเร็ว
ราวกับจิตใต้สำนึกของเขาควบคุมร่าง
ดวงตาแดงฉานและรัศมีอำมหิตแผ่ซ่าน
เต็มไปด้วยพลังลึกลับที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่ง
“เ้า…เ้าเป็ใครกัน…เ้าคือสิ่งใดแน่!”
เสียงเยือกเย็นจากดาบเต็มไปด้วยความทรมานและอำมหิต
ดวงตาในดาบสั่นสะท้าน เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและพลังที่แผดเผา
“ข้าเป็ใคร…หรือไม่แน่ใจนัก”
เสียงของ ฮวา เสี่ยวหยวน เยือกเย็นและเ้าเล่
“แต่ข้าจะบอกเ้าให้รู้ก่อนสิ้นลม
ข้า…เพียงนายน้อยแห่งตระกูลฮวา แห่งพรรคมาร!”
ดวงตาแดงฉานประกายอำมหิต แผ่พลังลึกลับเต็มร่าง
ราวพร้อมบดขยี้ผู้ใดที่กล้าเถียง
ไม่อาจกล่าวได้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
ฮวา เสี่ยวหยวน ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นในตำนักของตน
ร่างกายและจิตใจเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
ราวมีพลังวิชาดาบแฝงอยู่ในหัว แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
มือเขากำดาบแน่น ดั่งถือสมบัติล้ำค่า
“ลูกรัก…เ้าได้ลืมตาตื่นแล้วหรือ?”
เสียงของมารดาแ่เบาแต่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“เ้าไปทำสิ่งใดในซอยนั้นกันแน่?”
คำถามดังขึ้นราวสายลมเย็นพัดผ่านห้อง
“ข้าได้ยินเสียงชายชราท่ามกลางซอย จึงก้าวเข้าไป และพบเขา”
ฮวา เสี่ยวหยวน กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เขาบอกข้าว่า ชื่อของเขาคือ รัตติกาลพิโรธ
ข้าพบราชวังลึกลับ และเปิดกล่องที่ถูกผนึกไว้ ก่อนจะมาตื่นอยู่ที่นี่”
คำพูดเต็มไปด้วยพลังและร่องรอยความลึกลับ
“ระ…รัตติกาลพิโรธ อย่างนั้นหรือ”
เสียงของมารดาสั่นเครือ แต่หนักแน่นในความสงสัย
“ข้าจะไปถามบิดาของเ้าดูว่าเคยได้ยินชื่อชายผู้นี้มาก่อนหรือไม่”
คำพูดเปี่ยมด้วยอำนาจแห่งความห่วงใยและความสงสัย