“คุยโม้มันก็รู้สึกดีแค่่หนึ่งเท่านั้นแหละ”
ชวีเสี่ยวปอยืนพิงอยู่ด้านข้างด้วยความกังวลใจ พร้อมทั้งมองเซี่ยเจิงร่อนกระทะขึ้นลง เซี่ยเจิงถือว่าเป็คนที่ภายนอกดูผอม แต่บนตัวเขากลับมีเส้นของกล้ามเนื้อที่ทั้งสมบูรณ์แบบและดูไหลลื่นมาก ดังนั้นเมื่อเขาจับกระทะเหล็กที่ค่อนข้างมีน้ำหนักขึ้นมาจึงทำให้มองเห็นกล้ามเนื้อแขนของเขาได้อย่างชัดเจน
ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็ยกแขนของตัวเองขึ้นมาเบ่งกล้ามอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อของเขาจะน้อยกว่าเซี่ยเจิงนิดหน่อย
“ทำอะไรน่ะ” เซี่ยเจิงใส่เครื่องปรุงต่างๆ ลงไป พร้อมทั้งลดไฟให้เบาลง จากนั้นก็หันไปเห็นชวีเสี่ยวปอกำลังเบ่งกล้ามท่าทางราวกับป๊อปอาย เซี่ยเจิงจึงหัวเราะพลางพูดออกไปว่า : “จะซุ่มโจมตีฉันเหรอ”
“จริงๆ ก็ไม่น่ารอด สู้นายไม่ได้หรอก” ชวีเสี่ยวปอเกาท้ายทอย “ฉันคิดว่าฉันคงจะไม่สามารถรักษาภาพลักษณ์ที่เย่อหยิ่งเ็าต่อหน้านายได้อีกแล้วละ”
เซี่ยเจิงมองเขาอยู่พักหนึ่ง : “หมายความว่ายังไง? ”
“เมื่อกี้” ชวีเสี่ยวปอพูดเบาๆ อย่างรู้สึกอาย “ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็ไก่โอ๊กที่บีบแล้วมีเสียงเลย”
“ตัดคำว่าเหมือนออกไป”
“เซี่ยเจิง บ้านนายมีเข็มกับด้ายไหม? ” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็ถามขึ้นมา
เซี่ยเจิงมองเขาั้แ่หัวจรดเท้าไปรอบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า : “มี ทำไมเหรอ เมื่อกี้นายขยับแรงไปหน่อยกางเกงเลยขาดหรือไง? ”
“ฉันจะเอามาเย็บปากนาย !” ชวีเสี่ยวปอยื่นมือออกไปกำลังจะจับที่ริมฝีปากของเซี่ยเจิง แต่เซี่ยเจิงไม่ให้ความร่วมมือ เขาเอียงศีรษะหลบไปด้านข้าง จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอหยิกเข้าไปที่แก้มของเขาแทน
“เลิกเล่นได้แล้ว” เซี่ยเจิงจับข้อมือเขาไว้ และจากนั้นจึงดึงเขาออกมาจากห้องครัว ไม่รู้ว่าเป็เพราะห้องครัวร้อนเกินไป หรือว่ายังไงกันแน่ แต่ทันทีที่ชวีเสี่ยวปอเอามือมาััเข้าที่ตัวเขา เซี่ยเจิงก็รู้สึกเหมือนว่าเหงื่อไหลออกมาทั้งตัว จึงทำให้เขาอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย “ตัวพวกเรามีแต่กลิ่นต้นหอม”
“จริงๆ ด้วย” ชวีเสี่ยวปอทำท่าสูดหายใจเข้าจมูก
“เมื่อกี้เสียงเสี่ยวปอะโเหรอลูก? ” แล้วจู่ๆ เสียงแม่ของเซี่ยเจิงก็ดังออกมาจากห้องนอน “พวกลูกๆ ทำอยู่กับไฟต้องระวังหน่อยนะ !”
“ครับคุณป้า” ชวีเสี่ยวปอใช้มือจับที่คอพลางตอบรับออกไป “ผมเองครับ ไม่เป็ไรแล้วครับ อีกเดี๋ยวคุณป้ารอชิมฝีมือผมก็พอแล้วครับ ถึงพวกเราสองคนจะเล่นไฟกันขนาดนี้ก็คงจะไม่ฉี่รดที่นอนแล้วละครับ !”
“เด็กๆ ห้ามเล่นไฟนะ !” หลังจากที่แม่ของเซี่ยเจิงฟังชวีเสี่ยวปอพูดจบ เขาจึงกำชับออกมาอีกครั้งจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว
“ใช่ฝีมือนายเหรอ” เซี่ยเจิงมองเขาพร้อมทั้งเสียงจิ๊ปาก “ไม่อายเลย”
“ไว้หน้ากันบ้างไม่ได้หรือไง” ชวีเสี่ยวปอใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของเซี่ยเจิงไปทีหนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็นั่งลงบนโซฟาพร้อมกัน
หลังจากที่นั่งลงได้สามนาที เซี่ยเจิงก็หยิบรีโมทขึ้นมากดลงไปครั้งหนึ่ง “ดูทีวีไหม? ”
“ดูก็ได้” ชวีเสี่ยวปอละสายตาจากโทรศัพท์มือถือ แล้วมองขึ้นมาเล็กน้อย “มีหนังสนุกๆ ไหม”
“นายชอบดูหนังแนวไหนอะ? แนวไซไฟ? สยองขวัญ? หรือว่าแนวอาร์ต? ” เซี่ยเจิงจ้องไปที่โทรทัศน์พยายามเลือกภาพยนตร์ที่เข้าตาสักเื่
“ได้หมดเลย” การตอบแบบส่งๆ ของชวีเสี่ยวปอคงจะเห็นได้ชัดมากเกินไป จนกระทั่งในตอนที่เซี่ยเจิงหยุดการเคลื่อนไหวในมือและมองมายังเขา ชวีเสี่ยวปอก็กำลังปิดๆ เปิดๆ หน้าจอมือถืออย่างสับสนวุ่นวายใจ
“ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงหันไปมองเขาแล้วถอนหายใจยาวออกมา “นายรู้ไหมว่าฝีมือการแสดงของนายแย่มาก ถึงแม้ว่าหน้านายจะหล่อก็เถอะ”
“นี่เรียกว่าชมหรือด่าฉันกันแน่เนี่ย” ชวีเสี่ยวปอยกมุมปากขึ้นยิ้มออกมาไม่ค่อยเต็มทีสักเท่าไหร่
“ด่านาย แบบนี้เรียกว่ามีดีแต่หน้าตาแต่การแสดงไม่ได้เื่” เซี่ยเจิงขยับเข้ามานั่งให้ใกล้กับชวีเสี่ยวปอขึ้นอีกหน่อย : “ไหนเล่ามาสิ”
ชวีเสี่ยวปอเงียบไปพักหนึ่ง “ต้วนเหล่ย ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเลย? ” เซี่ยเจิงประหลาดใจและนึกไม่ถึง “เขาถามหานายเหรอ? ”
“ส่งอันนี้มาให้ฉัน” ชวีเสี่ยวปอยื่นโทรศัพท์ให้เซี่ยเจิงดู
วันศุกร์ ที่ทะเลสาบทางทิศใต้ พาไอ้บ้านั่นที่อยู่ข้างๆ นายมาด้วย
“นัดต่อยก็นัดต่อยสิ ด่าคนอื่นแบบนี้ไม่ดีมั้ง” เซี่ยเจิงส่งโทรศัพท์คืนให้ชวีเสี่ยวปออย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “แล้วคนที่โดนด่าคือฉันด้วย ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่”
“มันไม่ใช่ปัญหาของได้หรือไม่ได้” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นยืนแล้วมองลงมายังเซี่ยเจิง คงจะเพื่อทำให้คำพูดที่เขาจะพูดต่อไปนี้ดูมีพลังในการโน้มน้าวมากยิ่งขึ้น ทั้งยังจงใจเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้นด้วย “ฉันไม่ได้จะให้นายไปด้วย”
เซี่ยเจิงยังคงจ้องมองไปที่โทรทัศน์ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงกดนิ้วลงไปบนรีโมททำให้มีเสียงคลิกดังขึ้น ชวีเสี่ยวปอที่กำลังยืนอยู่รู้สึกว่าแบบนี้มันไม่ใช่แล้ว และกำลังจะพูดอะไรออกไป แต่จู่ๆ เซี่ยเจิงก็ลุกขึ้นมาซะก่อน
“นาย......” คำพูดที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะพูดออกมาค้างอยู่ในลำคอไปชั่วขณะ
“มานี่” เซี่ยเจิงดึงแขนชวีเสี่ยวปอให้เดินเข้ามาในห้องของตัวเอง
ให้ตายสิ
ถูกเขาหิ้วไปหิ้วมาเหมือนหิ้วปีกไก่เลย มันช่างทำให้ชวีเสี่ยวปอขายหน้าจริงๆ แต่ถึงยังไงวันนี้เขาก็ขายขี้หน้าต่อหน้าเซี่ยเจิงไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะขายหน้าอีกสักครั้งสองครั้งคงก็ไม่เป็ไร
“นายคิดว่าต้วนเหล่ยจะสู้กับนายตัวต่อตัวหรือไง? ” เซี่ยเจิงกดไหล่ของชวีเสี่ยวปอไว้ พร้อมทั้งมองเข้าไปในดวงตาของเขา
“คงจะใช่มั้ง” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดคำนี้ออกมาเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังไว้หน้าต้วนเหล่ยอยู่เลย อันที่จริงที่เขาโกหกออกมาเช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้ตัวเองมีความมั่นใจขึ้นอีกหน่อย แต่ทว่าตอนที่เขาพูดออกมาเขาไม่ได้หมายความตามที่พูดจริงๆ และในขณะนั้นสายตาของเซี่ยเจิงคล้ายกับว่ากำลังจะมองทะลุตัวเขาเข้าไปอย่างไรอย่างนั้นเลย ชวีเสี่ยวปอจึงพูดโพล่งออกไปอย่างไม่คิดอะไรว่า : “นายท่านผมยอมรับสารภาพแล้ว”
“พูดไปเรื่อย นายไปเอาความมั่นใจมาจากไหนฮะ” เซี่ยเจิงทำเสียงฮึออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ “นายไม่รู้เหรอว่าเ้านั่นมีพรรคพวกเยอะแค่ไหน? ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ” ชวีเสี่ยวปอดันแขนเซี่ยเจิงออกอย่างรู้สึกกลุ้มใจ “แต่ประเด็นสำคัญคือเื่นี้มันไม่เกี่ยวกับนายั้แ่แรกอยู่แล้ว ฉันไม่ควรลากนายเข้ามายุ่งด้วย”
“สายไปแล้วละ” เซี่ยเจิงตอบออกมาเสียงเบา พร้อมทั้งกดไหล่เขาเอาไว้อีกครั้ง “ฉันเข้าไปผสมโรงด้วยแล้ว นายจะผลักให้ฉันออกไปไม่ได้แล้ว”
“บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอด่าออกไป แต่ดวงตาของเขากลับร้อนผ่าวขึ้นมา อันที่จริงเื่เล็กน้อยเพียงนี้ไม่ถึงขนาดที่จะทำให้เขาต้องเสียน้ำตา ทว่าเขารู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาจากใจจริง “ดีกับฉันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ”
“แน่นอน เป็ใครเขาก็ต้องดูแลคนติ๊งต๊องเป็ธรรมดาอยู่แล้ว” เซี่ยเจิงบีบจมูกชวีเสี่ยวปอไปทีหนึ่ง แล้วมองไปยังปลายจมูกของเขาที่เกิดรอยแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ฉันจะพูดเป็ครั้งสุดท้ายนะ ไม่จำเป็ต้องรู้สึกผิดต่อฉันเพราะเื่นี้อีก ฉันจะยืนอยู่ข้างนาย และนั่นก็เป็เพราะว่าฉันยินดีที่จะทำ ถ้าหากว่ามีครั้งต่อไปฉันก็ยังจะเลือกแบบเดิม”
ชวีเสี่ยวปอสูดหายใจเข้าไป แล้วจึงตอบรับออกมาอย่างหนักแน่น ที่จริงแล้วเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน ท่าทีของเซี่ยเจิงก็เป็เหมือนท่าทีของเขา และถ้าหากเขาทั้งสองสลับตำแหน่งกัน เขาเองก็คงจะเลือกเหมือนกับที่เซี่ยเจิงเลือก การดูแลซึ่งกันและกัน ทั้งยังคิดถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเช่นนี้ มันช่างทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้เลย
ซี่โครงหมูถูกเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ก่อนที่จะยกลงเซี่ยเจิงยังโรยด้วยต้นหอมอีกเล็กน้อย และคิดว่ายังไงรสชาติมันก็คงจะไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าแม่ของเซี่ยเจิงจะกินของมันไม่ค่อยได้ แต่เขาก็ยังกินไปชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้พอเป็พิธี ทั้งยังชมชวีเสี่ยวปอไม่ขาดปากว่าทั้งฉลาดทั้งมีความสามารถ
“ให้เขามาเป็ลูกชายแม่เลยสิ” เซี่ยเจิงเลือกซี่โครงที่กัดง่ายอันหนึ่งวางลงบนชามของชวีเสี่ยวปอ “ลูกมันไม่เป็ที่โปรดปรานแล้ว”
“สนมไม่เป็ที่โปรดปราน !” ชวีเสี่ยวปอทำท่าทางกัดตะเกียบสร้างความบันเทิง
ระหว่างทานข้าวมื้อนี้พวกเขาทั้งคุยทั้งหัวเราะจนกระทั่งทานเสร็จ จากนั้นแม่ของเซี่ยเจิงจึงกลับเข้าห้องไปพักผ่อน และชวีเสี่ยวปอก็ช่วยเซี่ยเจิงเก็บถ้วยชาม ทั้งยังมองนาฬิกาไปครั้งหนึ่ง แล้วจึงพบว่าตอนนี้เป็เวลาสามทุ่มแล้ว
“กลับบ้านเหรอ? ” เซี่ยเจิงดึงแขนเสื้อที่พับไว้เพื่อให้สะดวกตอนล้างจานลงมา
“อืม ดึกมากแล้ว” ชวีเสี่ยวปอเดินออกไปยังลานบ้าน “ฉันไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” เซี่ยเจิงเดินตามเขาออกมา