บทที่ 2 โจ๊กถ้วยแรก
ความเงียบ ปกคลุมกระท่อมผุพังหลังนี้ราวกับผ้าคลุมผืนหนาหนัก มันเป็ความเงียบที่อื้ออึงไปด้วยเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยนของหลี่ซือ และเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอย่างมุ่งมั่นของอันหนิง
หญิงชราผู้ผ่านโลกมาค่อนชีวิตบัดนี้กลับเปราะบางราวกับแก้วที่ร้าวราน นางทรุดกายนั่งอยู่บนพื้นดินเย็นเฉียบปล่อยให้น้ำตาแห่งความสิ้นหวังไหลรินอาบ สองแก้มที่ซูบตอบจนน่าใจหายคำพูดสุดท้ายของสามีเปรียบดังคมมีดที่กรีดซ้ำลงบน าแเก่าที่ยังไม่เคยแห้งเหือด
อันหนิงมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่บีบรัด เธอเข้าใจ เข้าใจดีว่าความหวังเป็สิ่งเปราะ บางเพียงใดในยามที่ความทุกข์ยากกัดกินทุกอย่างจนไม่เหลือซาก การเชื่อในปาฏิหาริย์นั้นยากยิ่งกว่าการยอมจำนนต่อความตาย
เธอกัดริมฝีปากล่างของตนเอง ค่อย ๆ คลานเข้าไปหาผู้เป็มารดาอย่างเชื่องช้า ร่างกายที่ยังคงรุ่มร้อนด้วยพิษไข้ทำให้ทุกการขยับนั้นยากลำบากเหลือแสน เธอยื่นมือที่สั่นเทาและเปรอะเปื้อนดินของตนออกไป วางมันลงบนมือที่หยาบกร้านของมารดาเบา ๆ
"ท่านแม่ " น้ำเสียงของเธอแหบพร่าแต่กลับแฝงไปด้วยพลังบางอย่างที่ทำให้หลี่ซือชะงักงัน "ท่านมองตาข้า มองตาหนิงเอ๋อร์นะเ้าคะ"
หลี่ซือค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น สบเข้ากับดวงตาของบุตรสาว ดวงตาคู่นั้น มันยังคงเป็ดวงตาคู่เดิม แต่ประกายที่ฉายชัดอยู่ภายในกลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ความหวาดกลัวและอ่อนแอที่เคยเห็นมาตลอดสิบห้าปี บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่งที่ลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทร และความเด็ดเดี่ยวที่คมกล้าราวกับเหล็กกล้าชั้นดี
"ท่านแม่ ข้ารู้ว่าท่านไม่เข้าใจ ข้ารู้ว่าท่านกลัว" อันหนิงกล่าวต่อ พยายามเค้นรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา "แต่ในตอนนี้เราไม่เหลืออะไรให้ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่ใช่หรือเ้าคะ เราอยู่ที่จุดต่ำสุดแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเราจะก้าวไปทางไหน มันก็มีแต่จะสูงขึ้นเท่านั้น"
ประโยคนั้น มันเรียบง่ายแต่กลับสั่นะเืหัวใจที่ด้านชาของหลี่ซืออย่างรุนแรง
ใช่ พวกเขาไม่เหลืออะไรแล้วจริง ๆ เกียรติยศ เงินทอง บ้านช่อง หรือแม้กระทั่งความหวัง ทุกอย่างล้วนถูกพรากไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงสามชีวิตที่รอวันดับสูญไปอย่างช้า ๆ
"รากไม้นี่ " อันหนิงชู รากดินซ่อนดาว ขึ้นมาให้มารดาดูใกล้ ๆ "ท่านพ่อเคยเป็หมอเทวดา ท่านแม่เองก็อยู่กับสมุนไพรมาทั้งชีวิต ท่านลองดมกลิ่นของมันดูสิเ้าคะ มันมีกลิ่นของยาพิษหรือไม่"
หลี่ซือลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงไปสูดดมกลิ่นดินจาง ๆ ที่ติดอยู่บนรากไม้ประหลาดนั้น ในฐานะภรรยาของหมอ นางพอจะแยกแยะกลิ่นของสมุนไพรพิษบางชนิดได้ และสิ่งที่นางได้กลิ่นอยู่ตอนนี้ มีเพียงกลิ่นดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ คล้ายกลิ่นโสมผสมกับกลิ่นแป้งมัน จาง ๆ เท่านั้น ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวหรือกลิ่นฉุนที่เป็ลักษณะของพืชพิษเลยแม้แต่น้อย
"เชื่อข้าเถอะเ้าค่ะท่านแม่ นี่คือโอกาสจาก์" อันหนิงบีบมือมารดาแน่นขึ้น "หากข้าต้องตาย ก็ขอให้ข้าได้ตายเพราะลองสู้จนถึงที่สุด ดีกว่านอนรอความตายอย่าง สิ้นหวังไม่ใช่หรือเ้าคะ ได้โปรดช่วยข้าต้มน้ำเถิดนะเ้าคะ"
หยาดน้ำตาหยดสุดท้ายของหลี่ซือร่วงหล่นลงบนหลังมือของบุตรสาว มันเป็หยดน้ำตาที่ชะล้างความหวาดกลัวและความลังเลใจออกไปจนหมดสิ้น นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของอันหนิงอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
"แม่จะเชื่อเ้า แม่จะเชื่อหนิงเอ๋อร์ของแม่"
ราวกับูเาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอก อันหนิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอรู้ดีว่านี่เป็เพียงก้าวแรกที่แสนเล็กน้อย แต่ก้าวเล็ก ๆ ก้าวนี้ คือก้าวที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของครอบครัวนี้ไปตลอดกาล!
ห้องครัวของกระท่อมแทบจะเรียกได้ว่าเป็เพียงซอกหลืบเล็ก ๆ ที่มีเตาดินเก่า ๆ ตั้งอยู่หนึ่งเตา หม้อดินเผาใบใหญ่มีรอยร้าวไปทั่วราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ฟืนที่เก็บไว้ก็มีเพียงไม่กี่ท่อน แถมยังชื้นจากการรั่วซึมของหลังคา
แต่ในยามนี้ สถานที่ซอมซ่อแห่งนี้ กลับกลายเป็ศูนย์กลางแห่งความหวังของสอง แม่ลูก
หลี่ซือผู้ซึ่งร่างกายก็อ่อนแอไม่แพ้กัน ค่อย ๆ ก่อไฟขึ้นอย่างชำนาญ เปลวไฟสีส้มริบหรี่ลุกเลียแท่งฟืนชื้น ๆ ส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ และควันโขมง แต่สำหรับคนทั้งสองแล้ว มันคือแสงสว่างและความอบอุ่นที่ล้ำค่าที่สุด
อันหนิงจัดการกับ รากดินซ่อนดาว อย่างพิถีพิถัน เธอนำมันไปล้างในกะละมังใบน้อย ที่แทบจะผุพังใช้เศษผ้าสะอาดขัดถูดินออกจนหมดจดเผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลเข้มที่มีจุดสีขาวระยิบระยับราวกับหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
"โฮสต์สามารถใช้คะแนนเริ่มต้น 1 แต้ม เพื่อแลกมีดผ่าตัดโอสถทิพย์ สำหรับการเตรียมวัตถุดิบ ้าแลกหรือไม่?"
เสียงของระบบดังขึ้นในหัว อันหนิงลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลงในใจ ทันใดนั้น แสงสีฟ้าอ่อน ๆ ก็กฎขึ้นในมือของเธอ ก่อนจะกลายเป็มีดขนาดเล็กบางเฉียบที่ คมกริบราวกับใบมีดผ่าตัดในโลกเดิมของเธอ
หลี่ซือที่กำลังเติมฟืนอยู่ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้
อันหนิงใช้มีดที่ได้มา หั่นรากดินซ่อนดาวออกเป็สองส่วนอย่างระมัดระวัง ส่วนแรกประมาณหนึ่งในสาม เธอฝานเป็แผ่นบาง ๆ ก่อนจะใส่ลงไปในหม้อดินที่มีน้ำเดือดพล่าน ส่วนที่เหลืออีกสองส่วน เธอใช้ด้านทู่ของมีดทุบเบา ๆ จนรากไม้เริ่มแตกออก เผยให้เห็นเนื้อในสีขาวนวลที่มี แป้งอยู่เป็จำนวนมาก จากนั้นจึงค่อย ๆ สับจนละเอียด
กลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์เริ่มลอยอบอวลไปทั่วกระท่อม มันเป็กลิ่นหอมของดิน ของรากไม้และกลิ่นที่คล้ายกับธัญพืชชั้นดีผสมกันเป็กลิ่นที่กระตุ้นต่อมรับรสและ ปลุกเร้าความหิวโหยที่หลับใหลอยู่ก้นบึ้งของกระเพาะ
หลังจากต้มยาไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป อันหนิงก็รินน้ำยาสีเหลืองอ่อนออกมาถ้วย หนึ่ง กลิ่นของมันหอมยิ่งกว่ายาต้มใด ๆ ที่เธอเคยได้กลิ่นมา มันไม่มีกลิ่นฉุนของยา แต่กลับมีกลิ่นหอมละมุนที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
"ท่านแม่ ดื่มก่อนเถิดเ้าค่ะ" เธอยื่นถ้วยยาให้หลี่ซือ
หลี่ซือส่ายหน้า "ลูกป่วยหนักกว่าแม่ ลูกดื่มก่อนเถิด"
อันหนิงรู้ดีว่าไม่อาจขัดความตั้งใจของมารดาได้ เธอจึงยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจน หมดความอุ่นร้อนของน้ำยาไหลผ่านลำคอที่แห้งผากลงไปสู่ช่องท้องสร้างความอบอุ่นซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ราวกับมีพลังงานสายหนึ่งแผ่ขยายจากจุดศูนย์กลางออก ไปทั่วร่างกาย ขับไล่ความหนาวเหน็บและความเ็ปให้บรรเทาลงอย่างน่าอัศจรรย์
ติ๊ง!
[โฮสต์ได้รับ โอสถฟื้นฟูฉับพลัน (ระดับต่ำ) จากการบริโภครากดินซ่อนดาว]
[สถานะ: กำจัดเชื้อแบคทีเรีย 75% อุณหภูมิร่างกายลดลง ค่าความแข็งแรงของร่างกาย +5]
[คำเตือน: ร่างกายยังอยู่ในภาวะอ่อนแอมาก้าสารอาหารเพื่อฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง]
ความรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด! แม้จะยังอ่อนเพลีย แต่ความร้อนรุ่มในกายก็ลดลงไป มาก สติปัญญากลับมาปลอดโปร่งขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวมีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแววตาของหลี่ซือก็ฉายประกายแห่ง ความหวังขึ้นมาเป็ครั้งแรกในรอบหลายเดือน
จากนั้นอันหนิงจึงนำรากไม้ส่วนที่สับละเอียดใส่ลงไปในหม้อใบเดิมที่มีน้ำเหลืออยู่ เล็กน้อย คนไปเรื่อย ๆ ด้วยไฟอ่อน ๆ ไม่นานนัก แป้งจากรากไม้ก็เริ่มสุกข้น กลายเป็โจ๊กเนื้อเนียนละเอียดสีขาวนวลที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่ว
เธอตักโจ๊กใส่ชามที่บิ่นจนแทบไม่เหลือขอบดี ส่งให้มารดา "ท่านแม่ ทานเสียนะเ้าคะ ท่านไม่ได้ทานอะไรมาทั้งวันแล้ว"
หลี่ซือมองโจ๊กในชามด้วยแววตาสั่นระริก น้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันคือน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ นางใช้ช้อนไม้ที่ทำเองค่อย ๆ ตักโจ๊กเข้าปากอย่างเชื่องช้า
วินาทีที่เนื้อโจ๊กััลิ้น โลกทั้งใบของนางก็พลันสว่างวาบขึ้นมา!
รสชาติของมัน ละมุนลิ้นอย่างไม่น่าเชื่อ มีความหวานจาง ๆ จากธรรมชาติของตัวรากไม้ เนื้อััเนียนนุ่มราวกับปุยเมฆ เมื่อกลืนลงไปก็ให้ความรู้สึกอุ่นร้อนไปทั่วทั้งท้อง มันไม่ใช่แค่เพียงอาหาร แต่มันคือยาอายุวัฒนะที่ปลอบประโลมทั้งร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำของนาง
นางทานโจ๊กถ้วยนั้นจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เรี่ยวแรงที่เหือดหายไปนานค่อย ๆ กลับคืนมา ความหม่นหมองที่เกาะกุมหัวใจมาตลอดครึ่งปีดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย
"หนิงเอ๋อร์ นี่มัน มันคืออะไรกันลูก" นางถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเครือ แต่แฝงไปด้วยความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
อันหนิงยิ้มบาง ๆ "์ยังไม่ทอดทิ้งเราเ้าค่ะท่านแม่ นี่คือของขวัญจาก์" เธอเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงระบบโอสถทิพย์เพราะมันเป็เื่ที่เกินกว่าคนในยุคนี้จะเข้า ใจได้
หลังจากที่มารดาทานอิ่มและดูมีเรี่ยวแรงขึ้นแล้ว อันหนิงก็ทานโจ๊กส่วนที่เหลือจน หมด พลังงานที่ได้รับช่วยซ่อมแซมร่างกายที่อ่อนแอของเธอได้อย่างรวดเร็ว
คืนนั้น เป็คืนแรกในรอบครึ่งปีที่สองแม่ลูกได้หลับใหลไปโดยไม่มีเสียงครวญครางจาก ความเจ็บป่วยและความหิวโหย
อันหนิงตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงบางอย่าง เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นในความมืด และเห็นเงาตะคุ่มของบิดานั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ขาเป๋ตัวเดิม เขากลับมาั้แ่เมื่อไหร่ก็สุด จะรู้ บนโต๊ะไม่มีไหเหล้า มีเพียงความเงียบและแผ่นหลังที่โค้งงออย่างโดดเดี่ยว
เขาคงเห็นชามโจ๊กที่ว่างเปล่าแล้ว อันหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเบาสบายขึ้นมาก ไม่มีความเ็ปหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้นเธอเดินไปที่หม้อดินซึ่งยังมีโจ๊กเหลือติดก้นหม้ออยู่นิดหน่อย ตักมันใส่ชามแล้วเดินไปวางตรงหน้าบิดาอย่างแ่เบา
อันจินสะดุ้งเล็กน้อยเขาเงยหน้าขึ้นมองบุตรสาว แววตาของเขายามปราศจากดีกรีของ ฤทธิ์สุรา นั้นเต็มไปด้วยความสับสน ความเ็ป และความละอายใจ
"ข้า ข้าไม่หิว" เขาพูดเสียงพร่า พยายามเบือนหน้าหนี
"ท่านพ่อ" อันหนิงเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ "ท่านจะเกลียดชังโชคชะตา จะสาปแช่ง์ หรือจะจมอยู่กับความสิ้นหวังต่อไปก็ได้ แต่ท่านไม่มีสิทธิ์ทำลาย ร่างกายของตัวเอง"
คำพูดของเธอแทงลึกเข้าไปในหัวใจที่ด้านชาของอันจิน
"ร่างกายนี้ เป็ของพ่อแม่ที่ให้ท่านมา เป็ของภรรยาที่ดูแลท่าน และเป็ของลูกที่ยัง ้าท่าน" เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้อันจินตัวแข็งทื่อ
"ูเาที่พังทลาย ยังเริ่มต้นฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยหญ้าเพียงต้นเดียว ท่านพ่อ หรือท่านคิดว่าตัวท่านยังสู้หญ้าต้นหนึ่งไม่ได้อีกหรือ?"
พูดจบ เธอก็ไม่กล่าวอะไรอีก หันหลังกลับไปนอนที่เตียงของตน ปล่อยให้บิดาจมอยู่กับความคิดของตัวเองและโจ๊กหนึ่งถ้วยที่ยังอุ่นกรุ่นอยู่ตรงหน้า
ความเงียบเข้าปกคลุมกระท่อมอีกครั้ง มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงร้องของแมลงกลางคืน แต่ในความเงียบนั้น อันหนิงกลับได้ยินเสียงที่เธอรอคอยมาตลอด
เสียงช้อนไม้ที่ค่อย ๆ ขูดไปกับก้นชามดินเผาอย่างเชื่องช้า
หยดน้ำใส ๆ ไหลออกจากหางตาของอันหนิงอย่างเงียบเชียบ เธอยกยิ้มขึ้นในความมืด
วันพรุ่งนี้ แสงตะวันจะต้องสดใสกว่าเดิมอย่างแน่นอน