ตอนที่ 3
ปลอบอาเจิน
เสียงดังรบกวนจากภายนอกส่งผลให้คนที่นอนหลับสนิทเริ่มรู้สึกตัว เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อย ๆ พร้อมกับใบหน้าที่ซุกเข้าหาความอบอุ่นอย่างเคยชิน แสงจากภายนอกเริ่มส่องลอดช่องเล็ก ๆ ของผ้าม่านเข้ามา ดวงตาที่หลับพริ้มลืมขึ้นมาทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา
“…”
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือแผงอกของใครบางคนในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างสวมกางเกงผ้าเนื้อดีสีเทาเข้มเพียงหนึ่งตัว ครั้นเมื่อหลุบสายตาลงสังเกตตัวเองให้ดี จึงพบว่าบริเวณบั้นเอวของตนถูกท่อนแขนแกร่งสวมกอดเอาไว้ กระทั่งร่างกายส่วนหน้าแนบชิดบดเบียด
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ ดวงตาคมที่ฉายแววร้ายกาจอยู่เป็นิจในยามนี้ปิดลงสนิททั้งเสียงลมหายใจเข้าดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เส้นผมสีเทาตกลงปรกใบหน้าเล็กน้อยให้เ้าตัวแอบขมวดคิ้วอย่างนึกรำคาญ อาเจินเริ่มพยายามคิดทบทวนถึงต้นเหตุที่ทำให้เขามานอนขดอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายแบบนี้ ก่อนจะหยุดความคิดไปชั่วคราวเมื่อหันไปเห็นตุ๊กตากระต่ายสีน้ำตาลตัวโปรดที่ถูกวางไว้ด้านหลังตนไม่ไกล
“อ้ะ!!”
เสียงร้องดังลอดออกจากลำคออย่างใ เมื่อหันหลังพลิกตัวกลับไปอีกข้างหมายจะคว้าสิ่งที่้า ทว่าบริเวณบั้นเอวเล็กกลับถูกสวมกอดไว้จากทางด้านหลังแล้วออกแรงดึงเข้าหาจนอาเจินตัวปลิวแผ่นหลังกลับไปแนบชิดกับแผงอกกว้างอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อได้รู้ว่านิสัยขี้เซาทั้งยังชอบนอนกอดของาาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด มือพยายามเอื้อมไปคว้าตุ๊กตาอีกครั้ง พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดูงอแงอยู่ไม่น้อย
“อย่าเอาน้องหูยาวไปไว้ปลายเตียง…”
“อืม…”
เสียงทุ้มแหบครางเครือแ่เบาในลำคอคำหนึ่งก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง ััของลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารินรดผิวเนื้อบริเวณซอกคอด้านหลังส่งผลให้ร่างขาวต้องย่นคอหนีเล็กน้อยอย่างจั๊กจี้ เมื่อคว้าตุ๊กตากระต่ายมาถือไว้ได้ก็รีบดึงมันเข้ามากอดไว้ทันที ทั้งเนื้อตัวที่งอเข้าหากันเล็กน้อยยามได้รับััคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานถึงหนึ่งปี
“อืม แต่ก็ไม่ได้รับรู้ เฮียเอาตุ๊กตาเจินไปไว้ที่ปลายเตียง!”
คนหนึ่งนอนหลับนิ่งไม่รู้เื่รู้ราว ในขณะที่อีกคนเริ่มหันไปแยกเขี้ยวเอ็ดใส่แต่เช้า าาซุกใบหน้าลงกับซอกคอขาวหนีเสียงที่ดังรบกวนตามประสาคนขี้เซา ปลายจมูกสูดดมความหอมจากผิวเนื้ออย่างเผลอไผลแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น อาเจินที่ดิ้นหนีเท่าไรก็ดิ้นไม่หลุดเสียที นึกอยากจะหันไปกัดคออีกฝ่ายสักทีให้หายแค้น แต่เพียงขยับตัวหนีให้หลุดจากพันธนาการยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาตื่นขึ้นมาพบกับตัวเองที่ถูกกอดเอาไว้ในวงแขนของอีกฝ่ายทุกครั้ง…ห่างหายกันไปนานถึงหนึ่งปี าาก็ยังคงมีนิสัยชอบนอนกอดอยู่เหมือนเดิม
แล้ว่เวลาที่แยกย้ายกันไป…อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาพร้อมกับใครคนใหม่ในอ้อมกอดบ้างหรือยัง?
“แฮ่ก…”
คำถามต่าง ๆ เริ่มผุดขึ้นมาในหัว พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ คิดได้ดังนั้นก็ยิ่งออกแรงดิ้นอีกครั้ง เสียงหอบหายใจเริ่มถี่กระชั้นขึ้นเมื่อดิ้นไม่พักจนหมดแรง ใบหน้าหวานเอี้ยวหันกลับไปมองคนด้านหลังที่ยังคงหลับตาแล้วเอ่ยประชดใส่อีกครั้ง
“นอนเผื่อตายหรือไง ตื่นสิ---อื้อ!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อร่างน้อย ๆ ถูกดึงกลับเข้าไปกอดอีกครั้ง อาจจะเป็เพราะความเคยชินในอะไรบางอย่างที่ทำให้อาเจินรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังคงจะตื่นได้สติขึ้นมาแล้ว วงแขนเริ่มออกแรงกอดตุ๊กตาแน่นขึ้นยามรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอุ่นจากแผงอกกว้างเปลือยเปล่าที่แนบชิดกับแผ่นหลังอย่างชัดเจน น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกระซิบแ่เบา
“ห้านาที”
“…”
“ขออีกห้านาที”
คล้ายกับทุกสิ่งอย่างถูกดำเนินเป็ไปตามความรู้สึกเคยชินของสิ่งที่เคยทำมาตลอดสี่ปี และยังคงติดเป็นิสัยมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ห้านาทีบ้าง สิบนาทีบ้าง ทว่าสุดท้ายแล้วก็จบลงที่หนึ่งชั่วโมงตลอด คนที่ััมันมาตลอดอย่างอาเจินมีหรือจะไม่รู้ ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นแล้วจึงทำใจกล้าเอ่ยพูดสวนกลับไป
แม้ว่าลึก ๆ ภายในจิตใจที่ไม่รักดีจะกำลังเรียกร้องประท้วงว่าเขาไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนที่คุ้นเคยนี้มานานแค่ไหนแล้ว
“ก็นอนไปคนเดียวสิ”
“…”
“เจินจะลุกแล้ว”
ว่าจบก็พยายามยื้อตัวออกอีกครั้งจนหลุดออกจากอ้อมแขนจนได้ ร่างเล็กหอบตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดลงจากเตียง พอเงยหน้าขึ้นมองคนที่นอนอยู่บนเตียง จึงเห็นว่าอีกฝ่ายค่อย ๆ ลืมตามองมาที่ทางนี้แม้ว่าสีหน้าจะอยู่ในอาการง่วงงุน เส้นผมสีเทาที่ตกลงปรกใบหน้าถูกเสยขึ้นอย่างลวก ๆ พร้อมกับร่างสูงที่ลุกลงจากเตียง ใช้เท้าเขี่ยกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ให้พ้นทางอย่างลวก ๆ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงติดแหบพร่า
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้อง”
“กูไม่เอามึงไปโยนทิ้งข้างทางหรอกหมวย” คราวนี้คนอายุมากกว่าหันมาปรายตามองกันด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าเรียวคิ้วกลับเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“…”
“ไม่ผลักไสกันสักวินาทีมันคงไม่เป็อะไรหรอกมั้ง”
น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยพูดไม่สามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อยว่าเ้าตัวกำลังมีความรู้สึกเป็อย่างไร กำลังประชดประชันกันอย่างจงใจหรือกำลังแอบแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง ตัวเขาไม่รู้เื่เลยแม้แต่น้อย
“มีขนมปังอยู่ชั้นล่าง”
“เจินไม่ได้หิว”
“แต่กูหิว”
เอ่ยปฏิเสธกลับไปแต่ก็ถูกเถียงสวนกลับมาทันทีแทบจะวินาทีต่อวินาที อาเจินจ้องเขม็งไปยังอดีตคนรักของตนด้วยใบหน้าดื้อดึง ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งไปทั้งสองฝ่ายเมื่อได้ยินเสียงท้องร้องโครกครากดังลั่นจากคนที่เพิ่งจะเอ่ยปากบอกว่าไม่หิว ร่างขาวยืนนิ่งทั้งใบหน้าที่เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอับอาย ในขณะที่าาแค่นหัวเราะเยาะเย้ยกันออกมาหนึ่งคำ
“เหอะ”
“ขำบ้าอะไร!”
คราวนี้คนถูกหัวเราะใส่เืขึ้นหน้า เอ่ยพูดทั้งใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อก่อนจะหยิบหมอนบนเตียงโยนใส่คู่สนทนาทันทีให้หายแค้น แม้ว่าจะไม่ได้โดนตัวเป้าหมายเลยก็ตามที
09.30 น.
อาเจินนั่งอยู่บริเวณโต๊ะตัวกลมที่กลางบาร์ บรรยากาศภายในร้านที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนใน่เวลานี้เงียบสงบจนดูผิดหูผิดตา เพราะ่เก้าโมงเช้ายังไม่มีใครเข้าร้านมาทำงาน จึงมีเพียงพวกเขาแค่สองคน ดวงตาสีน้ำตาลสวยทอดมองขนมปังแผ่นในถุงสลับกับกระปุกแยมสตรอว์เบอร์รีที่เหลือเนื้อแยมอยู่เพียงเล็กน้อย พลันเรียวคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
“มีกินอยู่แค่นี้หรือไง”
“ขนมปังสิบสองแผ่น มึงแดกหมดเหรอหมวย”
าาเทแยมราดกับแผ่นขนมปังแล้วใช้ช้อนปาดไปมาอย่างลวก ๆ พลางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ยังไม่วายช้อนสายตาขึ้นมองกันแล้วเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ในจังหวะที่ถาม อาเจินพอได้ฟังก็ยิ่งมีใบหน้างอง้ำ ตัดสินใจลุกขึ้นเดินตรงดิ่งไปยังห้องทำอาหารของบาร์โดยไม่ลืมที่จะหิ้วตุ๊กตากระต่ายไปด้วย
“…กินขนมปังทุกวันสักวัน ขนมปังคงอุดตันตาย”
เอ่ยพูดอุบอิบกับตัวเองเสียงเบาพลางเปิดตู้เย็นควานหาวัตถุดิบของในร้านที่พอจะเอามาทำอาหารเช้าได้ โดยมีร่างสูงเดินตามมาแล้วกอดอกพิงกำแพงมองคนตัวเล็กที่ยอมลงทุนทำอาหารเองเพราะไม่อยากกินขนมปังอยู่ไม่ไกล
าานอนที่บาร์ของตัวเองไม่บ่อยนัก จึงไม่ใช่เื่แปลกที่จะไม่ได้มีของกินมากมายนอกจากอะไรบางอย่างที่พอรองท้องได้ก็เท่านั้น…เมนูไข่เจียวหมูสับเป็เมนูที่ถูกเลือกในที่สุด ร่างขาวที่ขยับตัวทำนั่นทำนี่ไปเรื่อยอย่างคล่องแคล่วในคราวแรกกลับเริ่มเชื่องช้าลงแล้วหยุดนิ่งไป เมื่อสมองไม่รักดีดันนึกย้อนภาพพีอาร์คนเมื่อวานที่ออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับอีกฝ่าย
พลันดวงตาสีน้ำตาลสวยทอแสงอ่อนลงแล้วเอ่ยพูดเสียงเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“ถ้ามีแฟนใหม่แล้วก็ให้เขาทำอาหารอย่างอื่นให้ซะบ้าง”
“อยากไล่ให้ไปมีคนใหม่ถึงขนาดนั้นเลยหรือไง”
“…”
ร่างเล็กหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อไม่ทันได้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้กันถึงขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยยามรับรู้ได้ถึงแผงอกกว้างที่แทบจะแนบชิดกับแผ่นหลังของตน เพราะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง จึงไม่รู้ว่าผู้พูดกำลังมีสีหน้าและความรู้สึกเป็อย่างไร แต่กระนั้นก็ยังพยายามเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แ่เบาลงทั้งยังแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่ง
“…เฮียจะมีใหม่แล้วหรือยังไม่มี มันก็ไม่ใช่เื่ของเจินสักหน่อย…”
มือที่วางอยู่บริเวณเคาน์เตอร์หินอ่อนเริ่มออกแรงบีบหนักขึ้น พยายามทำตัวให้ดูมั่นคง แม้ว่าในความเป็จริงแล้วมันจะไม่ได้เป็ไปอย่างที่ใจ้าเลยสักนิด
“อย่างเฮียคงไม่มีใครปล่อยให้เหงานานหรอก”
“ที่พูดมานี่ถามกันหรือยังว่ากูอยากมีใหม่หรือเปล่า?”
“…”
“รู้เหรอว่ากำลังรู้สึกยังไง ทำไมถึงมาคิดแทนกัน?”
สิ้นคำถามดังกล่าว พลันห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบทันที อาเจินบีบมือตัวเองแน่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไรดลใจตัวเขาจึงตัดสินใจหันใบหน้ากลับไปมองสบกับคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง บรรยากาศระหว่างกันเริ่มดูอึดอัดเมื่อไม่สามารถคาดเดาได้เลยสักนิดว่าคนอย่างาากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
เขาไม่รู้อะไรเลย นอกจากสุ่มเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ในความคิดของตัวเอง
“มีสินค้ามาส่งครับ!”
เสียงกดกริ่งพร้อมกับเสียงของพนักงานส่งของที่ดังอยู่หน้าร้านฉุดดึงความสนใจจากพวกเขาไปได้จนหมด คนอายุมากกว่าผละตัวออกแล้วเดินออกจากห้องไป ในขณะที่อาเจินเพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วหลุบสายตาลงมองตุ๊กตากระต่ายที่วางไว้อยู่ไม่ไกล
…ของขวัญชิ้นแรกที่เราได้รับจากคนที่ชื่อาา เช่นเดียวกับชื่อของมันที่ถูกฝ่ายนั้นตั้งให้และใช้มาจนถึงทุกวันนี้
…
งานวันปัจฉิมนิเทศมาถึงแล้ว อาเจินที่กำลังจะเรียบจบชั้นมัธยมปีที่สี่ในอีกไม่นานรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ารั้วโรงเรียนก่อนที่ประตูจะถูกปิด ในมือถือทั้งดอกไม้และกล่องของขวัญใบขนาดพอดี ซึ่งมีของที่เขาลงทุนนั่งทำทั้งคืนจนตื่นสายในเช้าวันนี้
ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ เห็นผู้คนคลาคล่ำเดินสวนกันไปมาเต็มไปหมด กระทั่งหันไปเห็นนักเรียนหญิงมัธยมต้นสองคนที่เดินถือดอกไม้เข้าไปรวมกับคนกลุ่มใหญ่ รอยื่นของแสดงความยินดีให้กับใครคนหนึ่ง ซึ่งคนคนนั้นย่อมเป็าาโดยไม่ต้องสงสัย
“พี่คิง---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นว่ามีคนผลัดกันเดินเข้าไปมอบของให้อีกฝ่ายไม่หยุดจนเห็นของพะรุงพะรังเต็มมือ คิดว่าหากเข้าไปหาหรือเรียกตอนนี้ก็คงจะยังไม่มีจังหวะให้ของอยู่ดี ใบหน้าก้มลงมองกล่องของขวัญและช่อดอกไม้ในมือตัวเองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เอาไปฝากเพื่อนของอีกฝ่ายคงจะดูง่ายกว่า ถึงแม้ว่าเขาอยากจะให้ด้วยมือของตัวเองก็ตามที
“...”
ร่างขาวเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนแล้วทอดสายตามองคนอายุมากกว่าจากที่ไกล ๆ ...หลังจากขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยกันครั้งแรกก็เริ่มมีครั้งต่อ ๆ ไปด้วยความบังเอิญ และกลายเป็ความเคยชินที่จะรอเดินขึ้นรถเมล์กลับบ้านด้วยกันตลอดทั้งเทอม
บางวันก็มีบทสนทนาระหว่างกัน บางวันอีกฝ่ายก็แค่เดินข้าง ๆ กันอย่างเงียบ ๆ เริ่มมีการไปซื้อของที่ตลาดด้วยกันบางครั้ง มากไปจนถึงการที่คนอายุมากกว่าคอยสอนการบ้านให้ พลันในหัวเริ่มนึกถึงบทสนทนาระหว่างกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
“จะมาส่งกันที่งานปัจฉิมปะ” อาเจินนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะรีบละล่ำละลักตอบทันที
“ปะ ไปสิครับ” อีกคนไม่ได้เอ่ยพูดอะไร เพียงวางมือขยี้กลุ่มเส้นผมนุ่มของคนข้างกายแล้วเดินต่อเงียบ ๆ แต่หากอาเจินไม่ได้ตาฝาด เหมือนเขาจะเห็นพี่าากำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะ
“อะ…”
ภาพในหัวเลือนหายไป แทนที่ด้วยภาพความเป็จริงที่มีพี่าาตัวเป็ ๆ มายืนอยู่ตรงหน้า อาเจินอ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อเริ่มเรียบเรียงคำพูดในหัวไม่ออก จนฝ่ายนั้นทักขึ้นเสียเอง
“ถ้าไม่เดินมาหาก็จะนั่งอยู่แต่ตรงนี้เหรอ”
“ไม่ใช่นะ เจินเห็นคนเยอะก็เลยยังไม่กล้าเข้าไปกวน”
“…”
“จะ เจินทำของขวัญมาให้…ยินดีด้วยนะครับ”
รีบส่ายหน้าพรืดปฏิเสธ ก่อนจะหยิบกล่องของขวัญและช่อดอกกุหลาบที่เตรียมไว้ยื่นให้คนตรงหน้าอย่างประหม่า ั้แ่เมื่อไรไม่รู้ที่เริ่มมีอาการแบบนี้ขึ้นมา เมื่อเห็นว่าคนอายุมากกว่ายังคงเงียบแล้วมองกันอยู่อย่างนั้นก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก ตัดสินใจจะลุกเดินหนีออกไปเงียบ ๆ ทว่ากลับถูกเรียกรั้งไว้เสียก่อน
“หมวย”
“…”
“ให้” ตุ๊กตากระต่ายตัวเล็กหน้าตาน่ารักถูกยื่นมาให้ตรงหน้า อาเจินแม้จะยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก ทว่าเมื่อเห็นสิ่งที่ยื่นมาให้ก็ดวงตาเป็ประกาย รีบหยิบตุ๊กตาตัวดังกล่าวมาถือไว้ทันที
“ให้เจินเหรอ...”
“ให้มันชื่อหูยาว”
“…”
“หน้ามันโง่ดี ชื่อหูยาวอะดีแล้ว”
“ไอ้คิง! มาถ่ายภาพรวมเร็ว!”
เสียงเรียกจากเพื่อนร่วมห้องของอีกฝ่ายดังขึ้นขัดบทสนทนาระหว่างกัน ร่างสูงะโตอบรับแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรอถ่ายรูปรวมด้วยกันอยู่ก่อนแล้ว
...เหลือเพียงอาเจินที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าก้มลงมองตุ๊กตากระต่ายในมือทั้งรอยยิ้มกว้างจนเต็มแก้ม
…
หลายวันต่อมา
“ขอบคุณครับ”
ร่างเล็กเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะรับถุงไส้กรอกมาถือไว้ กลิ่นหอมลอยแตะจมูกยิ่งทำให้คนที่ไม่ได้กินอะไรมาั้แ่่สายน้ำลายสอ รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าก่อนจะหยิบไส้กรอกไม้ที่หนึ่งออกมา ก่อนจะต้องหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อเริ่มรับรู้ได้ถึงสายตาของใครหลายคนที่จับจ้องมายังตน
เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้น เป็จังหวะเดียวกันที่สายตาเหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่ดูคล้ายจะเป็นักข่าวที่เขาคุ้นหน้าเพราะอยู่ในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญที่ได้เจอ หรือเพราะพวกเธอได้มาลงทำข่าวในพื้นที่นี้พอดีก็ล้วนแต่ไม่ใช่เื่ดีทั้งนั้น เสียงหัวใจภายในอกเริ่มเต้นดังกระหน่ำเช่นเดียวกับเนื้อตัวที่เริ่มสั่นเทาขึ้นเรื่อย ๆ ยามถูกคนกลุ่มนั้นหันมาให้ความสนใจแล้วกระซิบใส่กัน
เท้าน้อย ๆ รีบก้าวเดินตรงดิ่งไปที่บาร์แล้วเปลี่ยนเป็การวิ่งจนสุดแรงเพื่อไม่ให้ถูกตามทัน ครั้นเมื่อมาถึงสถานที่เป้าหมายก็ได้แต่ก้มหน้าหอบหายใจทั้งเหงื่อที่ไหลอาบท่วมตัว ท่ามกลางสายตาหลากหลายของเหล่าพนักงานที่มองมา บ้างก็ทอดมองมาด้วยความสงสัย บ้างก็ทอดมองมาด้วยความไม่ชอบใจในตัวเขาอยู่ก่อนแล้ว
“…”
อาเจินทำเป็เพิกเฉยต่อทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามาภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน มือยังคงสั่นเทาคล้ายกับยังคงใกับเหตุการณ์ที่ได้เจอ เมื่อถูกคนมองแล้วกระซิบใส่กันทุกวันจนติดตา อาการดังกล่าวก็เริ่มกลายเป็ความกลัวในที่สุด แม้จะพยายามตั้งสติอย่างไร การทำงานก็ยังคงยากลำบาก อาเจินเริ่มทำผิดพลาดหลายอย่างก่อนจะได้ทำความผิดใหญ่หลวงเพิ่มไปอีกหนึ่งกระทง
“อาเจินระวัง!”
เพล้ง!!!
“อาเจิน เป็อะไรหรือเปล่า”
“ทำอะไรไม่รู้จักระวังเลย”
ขวดเหล้าราคาแพงหลายขวดหล่นแตกระนาวเนื่องจากตัวเขาเผลอปัดหลังมือไปโดนขวดอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ได้ยินเสียงพนักงานด้วยกันที่รีบวิ่งเข้ามาดูอาการ เช่นเดียวกับคำกล่าวอย่างไม่พอใจจากคนกลุ่มน้อย อาเจินเนื้อตัวสั่นเทายิ่งกว่าเก่า พยายามขบเม้มริมฝีปากแน่นให้เข้มแข็งก่อนจะนิ่งไปเมื่อหันไปเห็นร่างของาายืนกอดอกมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล
“…ไม่ได้ตั้งใจ…”
“ไปคุยกันในห้อง”
ใบหน้าหวานฉายแววหมองลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยพูดทั้งใบหน้าเรียบเฉยอย่างจริงจัง บรรยากาศตลอดทางั้แ่ด้านล่างขึ้นไปถึงห้องทำงานตกอยู่ในความเงียบสงบ กระทั่งร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ส่วนตัวของตนเอง อาเจินก็ยังคงยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิมแล้วบีบไม้บีบมือตัวเอง…กลัวถูกดุ จะว่าอย่างนั้นก็ได้
“ถ้ายังไม่มีสติก็อย่าเพิ่งทำงาน”
“…”
“กฎก็ต้องว่าไปตามกฎ ทำข้าวของของร้านเสียหายมากก็ต้องโดนลดเงินเดือนลงไป”
ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อได้ฟัง ครั้งนี้เป็ความผิดของเขาจริง ๆ จะถูกลงโทษแบบนี้ก็ไม่ใช่เื่น่าแปลกใจอะไร ดวงตาสีน้ำตาลสวยทอแสงอ่อนลงด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่มันจะถูกบดบังเอาไว้ด้วยท่าทีที่พยายามทำให้ดูเรียบเฉย น้ำเสียงเอ่ยพูดขอโทษแ่เบาอย่างสิ้นฤทธิ์
“ขอโทษ…”
“…”
“จะรีบเก็บเงินมาซื้อของคืนให้”
ไร้ซึ่งคำพูดตอบกลับจากคู่สนทนา เมื่อแอบเงยหน้าขึ้นไป จึงเห็นดวงตาคมสีรัตติกาลที่ยังคงทอดมองมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งภายในห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบมากเพียงใด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ก่อตัวภายในจิตใจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ร่างเล็กหันซ้ายหันขวา มองไปรอบ ๆ แล้วตัดสินใจจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะถูกประโยคหนึ่งเอ่ยรั้งเอาไว้ก่อน
“กระดาษตรงนั้นมันรก ไปจัดให้ดี วันนี้ไม่ต้องลงไปทำงานข้างล่างแล้ว”
เรียวนิ้วชี้ไปยังบริเวณโต๊ะใกล้ ๆ ที่มีกองกระดาษวางอยู่เต็มไปหมด อาเจินแม้จะยังคงรู้สึกสงสัยต่องานที่ตัวเองได้ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของผู้เป็นายแต่โดยดี ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเป็ระยะยามตั้งใจจดจ่ออยู่กับการจัดโต๊ะ ไม่ได้หันไปมองดูว่าคนด้านหลังกำลังทำอะไรอยู่ และกำลังให้ความสนใจอยู่ที่สิ่งใด ก่อนที่จะหยุดชะงักไปอีกครั้งเมื่อเริ่มรู้สึกปวดท้องขึ้นมา
“อะ…”
“เป็อะไร”
ร่างเล็กส่ายหน้าไปมาแล้วตั้งใจกับงานตรงหน้าของตนอีกครั้ง มือที่จับกระดาษอยู่เริ่มสั่นเทาทั้งร่างกายที่เริ่มงอเข้าหากันตามสัญชาตญาณ เพราะวันนี้ไม่ได้กินอะไรมาั้แ่่สาย ก่อนเข้าทำงานก็ไม่มีอะไรลงท้องจนโรคกระเพาะอาจจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง าาวางปากกาในมือลงแล้วเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาคมทอดมองคนข้างกายอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะลอบวางมือบนบริเวณหน้าท้องอย่างรู้ทัน เท่านั้นคนอายุน้อยกว่าก็งอตัวหนีทันที
“มานั่ง”
“…”
“อย่าดื้อให้มันมากนักหมวย”
“อ้ะ!!”
น้ำเสียงทุ้มแหบฉายแววเจือความหงุดหงิดอยู่ในนั้นเมื่ออาเจินยังคงดื้อดึงทำหูทวนลมไม่สนใจคำสั่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะเบิกตากว้างทั้งน้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมาอย่างใ ยามร่างทั้งร่างถูกจับอุ้มพาดบ่าแล้วปล่อยลงบนโซฟาตัวใหญ่อย่างไม่ถนอมมากนัก อาเจินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองสบกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันทีก่อนจะเอ่ยเถียงอย่างดื้อดึง
“เจินจะปวดท้องหรือเป็อะไรก็ไม่ได้ทำให้เฮียเดือดร้อนสักหน่อย” คราวนี้าาแค่นหัวเราะเสียงหนัก เอ่ยตอบกลับอย่างไม่ยอมความพอกัน
“ปวดท้องแล้วยังจะทำอวดดี”
ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันทันทียามมองตามอีกฝ่ายที่เดินเปิดประตูออกไปสั่งลูกน้องให้นำอาหารและยาขึ้นมา ก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับมาอีกครั้งแล้วนั่งยองลงบนพื้น แล้วจะวางมือลงบนหน้าท้องแบนราบ ทว่าอาเจินกลับขยับหนีกันเสียก่อน เอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เริ่มแ่เบาลง ไม่รู้ว่าด้วยอาการปวดท้องหรือเพราะสาเหตุใด ร่างกายเริ่มกระสับกระส่ายขยับไปมาอยู่ไม่นิ่ง
“ถ้าจะมาว่ากันแบบนี้ก็ไม่ต้องมายุ่ง…”
“อยู่นิ่ง ๆ เป็ไหมหมวย จะขยับทำไมนัก”
“ฮึก ก็เจินปวดท้อง เฮียมาปวดท้องแบบเจินดูบ้างไหมอะ จะได้รู้ว่ามันอยู่นิ่ง ๆ ได้ไหม”
“…”
ใบหน้าหล่อเหลาของคนที่นั่งอยู่ระดับต่ำกว่าเงยขึ้นมองสบกัน ทอดมองใบหน้าของอดีตคนรักที่เริ่มงอง้ำทั้งยังเริ่มคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำตา มือน้อย ๆ ที่วางอยู่บนลาดไหล่กว้างจิกขยุ้มเนื้อผ้าเสื้อเชิ้ตของาาอย่างแรงจนมันเริ่มยับยู่ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงนั่งนิ่งมองอยู่ท่าเดิม ปล่อยให้อาเจินระบายอารมณ์ใส่ตนได้สมใจ
“อยู่นิ่ง ๆ ก็ว่า ทำอะไรก็ว่า ถ้าอยู่ใกล้กันแล้วมันขัดหูขัดตานัก วันหลังเฮียก็ไม่ต้องมายุ่งกับเจินั้แ่แรก อึก”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดเริ่มเคล้าเสียงสะอื้น ดวงตากลมเริ่มแดงก่ำ ถ้อยคำในประโยคเริ่มแฝงไปด้วยความน้อยใจอยู่ในนั้น กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงบนลาดไหล่กว้างหนึ่งครั้งไม่แรงนักหมายจะเอาคืนให้หายแค้น ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะถูกจับกอบกุมเอาไว้ได้ทันแล้วเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือลูบคลึงผิวเนื้อหลังมือแ่เบา
“ไม่ว่าแล้ว…”
“…”
“เฮียไม่ว่าเธอแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มแหบที่เอ่ยพูดอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ สอดเข้าไปใต้ชายเสื้อตัวใหญ่ ัักับหน้าท้องขาวแบนราบโดยตรง อุณหภูมิของฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อยเป็ผลให้อาเจินเริ่มเกร็งตัวขึ้นมา มือข้างหนึ่งวางลงบนลาดไหล่กว้างแล้วจิกขยุ้มอย่างแรง
“ปวดมากไหม”
“…อือ”
คนอายุน้อยกว่าพยักหน้ารับเล็กน้อย นิ้วเท้าเริ่มงองุ้มเข้าหากันยามรับรู้ได้ถึงััของฝ่ามือที่ลูบบริเวณหน้าท้องให้อย่างแ่เบา ร่างกายที่กระสับกระส่ายเริ่มสงบลง กระนั้นมือก็ยังคงกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่น ดวงตาสีน้ำตาลสวยทอดมองใบหน้าของคนที่ยังก้มหน้ามองท้องของตนอยู่ ทว่าเมื่อดวงตาคมคู่นั้นช้อนขึ้นมองสบกัน พลันรู้สึกเหมือนทุกสิ่งอย่างรอบกายหยุดชะงักนิ่งไปหมด
“สั่งคนให้เอาอาหารกับยาขึ้นมาให้แล้ว รออีกหน่อย”
อาเจินมองคนตรงหน้าแน่นิ่ง ก่อนที่เรียวนิ้วจะวางลงบนริมฝีปากบางกระจับของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล บรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงถกเถียงกันเหมือนทุกที
ไม่รู้เลยว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าถูกลดลงไปั้แ่เมื่อไร…หากผละปลายนิ้วออกมาตอนนี้ ริมฝีปากของพวกเขาจะัักันหรือไม่...
“ขวัญเอ๋ยขวัญมา…”
น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยปลอบขวัญแ่เบา ฝ่ามือที่ััอยู่บริเวณหน้าท้องนวดคลึงให้อย่างอ่อนโยน ทั้งดวงตาสองคู่ที่มองสบกันแน่นิ่ง คล้ายกับกำลังตกลงไปสู่ห้วงแห่งภวังค์
“หายเจ็บท้องนะคะหมวยเจิน”
...
“ที่พูดมานี่ถามกันหรือยังว่ากูอยากมีใหม่หรือเปล่า?”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้