EPISODE 01
โซ่ Talk
“เฉียบ เฮียโซ่แม่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์เฉยเลยว่ะ”
“ดูเหมือนว่ารายการที่พวกเราไปอัดเมื่อหลายวันก่อนจะออนแอร์แล้วสินะ”
“คำตอบของเฮียโซ่คงเป็ประเด็นร้อนน่าดู ป่านนี้น้องพิมที่ถูกเฮียเขาแหกหน้ากลางรายการจะเป็ไงบ้างวะ”
“นั่นดิ แล้วเฮียมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเื่นี้ยังไงบ้างอะเฮียโซ่”
ประโยคนั่นทำให้ผมที่เป็เ้าของชื่อที่กำลังเป็ตกเป็ประเด็นร้อนให้คนพูดถึงเมื่อกี้ถึงกับต้องปรือตาขึ้นมาทันที ก่อนที่ผมจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเดียวกันกับที่ผมกำลังอยู่ในตอนนี้ด้วยสายตาง่วงงุนก็เห็นว่าตอนนี้สายตาของทุกคนกำลังมองมาที่ผมเป็ตาเดียวอยู่
“หืม มองทำไม มีอะไรข้องใจก็ว่ามา”
ผมเอ่ยถามกลับไป ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาที่ผมใช้แทนเตียงนอนงีบหลับก่อนหน้านี้ แล้วเอื้อมมือไปหยิบเอาขวดน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาเปิดแล้วจัดการกรอกน้ำเข้าปากเพื่อดับความกระหายให้ตัวเองทันที
“อ้าว ที่พูดกันเมื่อกี้เฮียไม่ได้ยินเหรอ”
ถ้าหากว่าผมได้ยินที่พวกมันพูด ผมจะถามกลับไปอย่างนั้นเหรอ และอีกอย่างเมื่อกี้ผมก็หลับอยู่ด้วยจะไปได้ยินพวกมันพูดกันได้ยังไง ผมตื่นเพราะผมได้ยินเหมือนมีคนเรียกชื่อผมก็แค่นั้น นอกจากชื่อของตัวเองผมก็ไม่ได้ยินอะไรนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว
“กูหลับ”
“ช่างเื่นั้นเถอะ ตอนนี้เฮียรู้ไหมว่าชื่อของเฮียติดเทรนด์ทวิตเตอร์อีกแล้ว”
หืม ชื่อของผมติดเทรนด์ทวิตเตอร์อย่างนั้นเหรอ อ่า ครั้งนี้ติดเพราะเื่วุ่นวายอะไรอีกวะเนี่ย
“#โซ่สายเบรก ตอนนี้ติดท็อปเทรนด์ทวิตเตอร์เรียบร้อยแล้วว่ะเฮีย”
อ่อ ผมยังไม่ได้บอกไปสินะว่าตอนนี้ผมเป็ใครมาจากไหน โซ่ คือชื่อของผม ตอนนี้ก็อายุยี่สิบหกปีแล้ว ซึ่งผมเป็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มักจะชอบเล่นเครื่องดนตรีเป็งานอดิเรก และตอนนี้ผมก็มีวงเป็ของตัวเอง ชื่อว่าวงไดอาโทนิค ผมทำหน้าที่เป็มือเบสประจำวง ซึ่งวงของผมได้ถูกก่อตั้งมาร่วมห้าปีแล้ว โดยมีสมาชิกทั้งหมดสี่คน และคนที่เอาแต่เรียกผมว่าเฮียเมื่อกี้มันก็เป็หนึ่งในสมาชิกในวงของผมเช่นเดียวกัน มันมีชื่อว่าไอ้ภีม เป็มือกลองประจำวงของผมเอง มันอายุน้อยกว่าผมสี่ปี ตอนนี้มันน่าจะเรียนอยู่ปีสี่แล้วล่ะมั้ง
และนอกจากไอ้ภีมที่กำลังพูดกับผมอยู่ตอนนี้แล้ว ยังมีสมาชิกคนอื่นๆ รวมตัวอยู่ในห้องด้วย ซึ่งก็มี ไอ้แรม ที่ทำหน้าที่เป็นักร้องประจำวงควบด้วยตำแหน่งเพื่อนสนิทของผม และไอ้โปรดที่เป็รุ่นน้องที่สนิทกับพวกผมมาั้แ่มัธยมและมันก็รับหน้าที่เป็มือกีตาร์ประจำวง ซึ่งตอนนี้สมาชิกในวงของพวกผมส่วนใหญ่ก็อยู่ในวัยทำงานกันหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ไอ้ภีมคนเดียวที่ยังเรียนอยู่ อ่อ ไอ้โปรดมันอายุห่างจากผมแค่หนึ่งปีน่ะ
“แถมชื่อของเฮียยังได้พาดหัวข่าวอีกด้วยนะ เดี๋ยวผมอ่านให้ฟัง ‘นักดนตรีหนุ่มหน้าหล่อลั่นปากกับพิธีกรกลางรายการปัดว่าดาราสาวอย่างน้องพิมที่เคยให้สัมภาษณ์ว่าหนุ่มโซ่เป็หนุ่มในดวงใจเบรกเอาไว้เป็แค่เพื่อนร่วมงาน งานนี้...’ ”
“พอ ไม่ต้องอ่านแล้ว”
ก่อนที่ไอ้ภีมมันจะอ่านข่าวมาทั้งหน้าผมก็ได้เอ่ยปากห้ามมันเอาไว้เพราะเื่แบบนี้มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องเจอ เพราะสถานะภาพของผมในตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ว่าผมจะเดินไปไหนหรือว่าทำอะไรก็มักจะตกเป็ข่าวให้ชาวบ้านพูดถึงได้ตลอด เพราะผมดันบังเอิญเป็คนธรรมดาคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ดันมีชื่อเสียงขึ้นมาน่ะและชื่อเสียงที่ว่านั่นผมก็ได้มันมาเมื่อห้าปีก่อน ซึ่งตอนนี้พวกผมก็ได้กลายเป็บุคคลไม่ว่าใครต่างก็รู้จักเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
แต่กว่าพวกผมจะเดินทางมาถึงตอนนี้ได้ พวกผมก็ผ่านอะไรมาค่อนข้างมาก เพราะเมื่อก่อนพวกผมเป็แค่วงดนตรีโนเนมที่เล่นในผับก็แค่นั้น ไม่ได้มีชื่อเสียงหรือว่าเส้นสายอะไรในแวดวงการบันเทิงเลยสักนิด ทุกอย่างที่พวกผมได้มาล้วนเกิดมาจากความพยายามของพวกผมทั้งนั้น ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยหรือว่าให้การสนับสนุนเลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นพวกผมจึงค่อนข้างที่จะรู้สึกภูมิใจในตัวของตัวเองและผลงานที่ทำออกมาเป็อย่างมาก
แต่ที่ทำให้ผมต้องรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้มันก็เป็เพราะว่าผู้คนส่วนใหญ่สนใจกันผิดจุดนี่สิ มันก็ดีที่พวกผมเป็ที่สนใจของคนได้เยอะขนาดนี้ แต่สิ่งที่พวกผมอยากให้คนเหล่าสนใจก็คือผลงานเพลงมากกว่า เื่ไร้สาระอย่างข่าวซุบซิบที่กำลังเป็กระแสให้พูดถึงในตอนนี้ อ่า แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมคนนี้รู้สึกเบื่อกับเื่ไร้สาระพวกนี้ได้ยังไงกันล่ะ
“เื่ไร้สาระพวกนั้นกูไม่สนใจหรอก”
“คนอย่างมึงเคยสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเื่ทำเพลงบ้างไหมวะ”
ไอ้แรมเอ่ยพูดกับผม เพราะมันคือคนที่น่าจะรู้ตัวตนของผมดีที่สุดว่าผมเป็คนยังไง เพราะไอ้แรมมันรู้จักกับผมมานานกว่าคนอื่นๆ ในวงน่ะ
“ไม่มี”
ผมตอบไป เพราะความสนใจของผมตอนนี้มันมีแค่เื่ทำเพลงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ตอนนี้ผมอยากจะโฟกัสกับมันมากที่สุดเพราะหลังจากนี้ผมคงทุ่มเวลาให้กับการทำเพลงเหมือนอย่างตอนนี้ไม่ได้แน่ เพราะนอกจากเื่วงดนตรีผมยังมีภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับอีกหนึ่งอย่างก็คือ ผมต้องสืบทอดกิจการต่อจากพ่อของผม และเวลานั้นมันก็ใกล้จะมาถึงแล้วด้วย ในเมื่อตอนนี้ผมยังทุ่มกับการทำเพลงได้ผมก็ควรสนใจมันให้ถึงที่สุดสิ
“มึงนี่นา เวลาสนใจอะไรมึงก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งสิ่งนั้นแค่อย่างเดียว ถามจริงเถอะ มึงไม่คิดที่จะสนใจอย่างอื่นเลยเหรอ อย่างเช่นเื่ความรักอะไรแบบเนี่ย”
“ไร้สาระ ของแบบนั้นกูไม่้าหรอก”
“เฮ้อ ชีวิตมึงนี่จืดชืดฉิบหาย แต่แปลกนะ คนจืดชืดอย่างมึงกลับแต่งเพลงออกมาได้ดี”
แปลกตรงไหน ผมว่าเื่พวกนี้มันเป็เื่ของพร์ที่อยู่ในตัวมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถหามันเจอเราก็จะสามารถประยุกต์ใช้มันได้อย่างสร้างสรรค์เหมือนอย่างที่ผมในตอนนี้ยังไงล่ะ
“แถมสาวๆ ยังตามกรี๊ดมึงอีก สงสัยผู้หญิงสมัยนี้คงชอบของแปลกอย่างไอ้โซ่กันแน่วะ”
มันเป็เื่ปกติที่ผมมักจะถูกบรรดาสมาชิกในวงพูดเกี่ยวกับตัวผมแบบนี้ เพราะผมเองก็รู้ตัวดีว่าชีวิตของผมมันค่อนข้างจืดชืดไม่มีสีสันเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมทำให้ชีวิตตัวเองมีสีสันไม่ได้หรอกนะ ผมทำได้ถ้าผมจะทำ แต่ที่ผมยังทำตัวจืดชืดแบบนี้เป็เพราะว่าผมชอบที่ผมแบบนี้มากกว่า ผมชอบความสงบผมแปลกตรงไหน
“หนึ่งในนั้นก็มีน้องพิมนางเอกเอ็มวีเพลงใหม่ของเราอยู่ด้วย จะว่าไป ป่านนี้น้องพิมคงวีนแตกไปแล้วแน่ๆ ที่เฮียโซ่ให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น”
น้องพิมอะไรนั่น เธอคือนางเอกที่พึ่งมาแสดงในเอ็มวีเพลงใหม่ล่าสุดที่วงของพวกผมพึ่งปล่อยออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งใน่ที่พวกเรากำลังถ่ายทำเอ็มวีเพลงกันอยู่นั้น เธอได้แสดงท่าทีอย่างเปิดเผยว่าเธอสนใจในตัวผมแถมยังเคยเข้ามาให้ท่าผมหลายต่อหลายครั้งอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมปฏิเสธเธอไปอย่างไร้เยื่อใยทุกครั้งเพราะผมไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด
และนอกจากเื่นั้นแล้ว เธอยังไม่ค่อยสนใจทำงานสักเท่าไหร่อีกด้วย ผมคบคิดที่จะหานางเอกคนใหม่มาทำแทนเธอแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าที่เธอมาเป็นางเอกเอ็มวีได้มันเป็เพราะทางสปอนเซอร์ฝากฝังมา ไอ้ผมก็ขัดใจอะไรไม่ได้ด้วยสิเลยต้องปล่อยเลยตามเลยอย่างที่เห็น แต่ไม่คิดว่าเ้าหล่อนจะไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าวจนต้องเป็เื่แบบนี้ แต่ถ้าจะโทษว่าเป็ความผิดของผมก็ที่ตอบพิธีกรอย่างไม่ไว้หน้าเธอไปแบบนั้นก็คงไม่ได้ เพราะที่ผมพูดออกไปทั้งหมดนั้นมันคือความจริงนี่นา
“มึงก็น่าจะพูดไว้หน้าน้องเขาบ้าง อย่างน้อยน้องเขาก็เป็นางเอกเอ็มวีเพลงใหม่ของเรา”
“กูตอบไปตามความจริง”
ใช่ และในเมื่อผมพูดความจริงมันก็ย่อมไม่ใช่ความผิดของผมสิ และอีกอย่างผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับคำตอบที่ผมได้พูดออกไปเลยสักนิด เพราะฉะนั้นอย่าโทษว่าเป็ความผิดของผม
“และอีกอย่าง ได้งานเพราะเส้นสายแบบนั้น กูต้องไว้หน้าอะไรอีกล่ะ”
“เฮ้อ มึงนี่นา ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”
“กูก็เป็ของกูแบบนี้มานานแล้ว จะให้กูเปลี่ยนไปเพราะคนคนเดียวกูไม่ทำหรอก”
“เออๆ กูเชื่อแล้วว่าไม่มีใครในโลกนี้มาทำให้คนอย่างมึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
แกรก!
“ทุกคน เตรียมตัวกันถึงไหนแล้ว”
ในระหว่างที่พวกผมกำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องพักที่พวกผมกำลังนั่งอยู่ก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของพี่ก้อง ผู้จัดการประจำวงของพวกผมเดินหอบเอาข้าวของเต็มมือเข้ามาในห้องพักด้วย
“เฮียโซ่พึ่งตื่นครับพี่ก้อง”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นรีบๆ แต่งหน้ากันเลย ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
พี่ก้องเอ่ยเร่ง มันเลยทำให้ผมต้องลุกขึ้นจากโซฟาที่ผมใช้ทั้งนั่งทั้งนอนก่อนหน้านี้แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องสำอางมากมายวางอยู่เต็มไปหมดเพื่อที่ผมจะได้แปลงโฉมให้กับตัวเอง อ่อ วันนี้พวกผมมีงานสำคัญรออยู่น่ะ มันเป็งานที่พวกผมตั้งหน้าตั้งตารอมานานแล้ว นั่นก็คือ คอนเสิร์ตครบรอบห้าปีของวงของพวกผมยังไงล่ะ และตอนนี้พวกผมก็อยู่กันที่ห้องพักด้านหลังเวทีเพื่อที่จะขึ้นไปแสดงดนตรีสดต่อหน้าคนนับหมื่นคนอยู่ อ่า และแล้ววันนี้ก็มาถึงสักที ผมรอวันนี้มานานแล้ว รู้สึกประหม่าเหมือนกันแฮะ
นารา Talk
“โห่”
ฉันถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้นทันทีหลังจากที่ฉันได้เห็นสิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของตัวเองตอนนี้เข้า ซึ่งมันเป็ภาพที่ให้ความรู้สึกอลังการและละลานตาเวลาที่ได้มองมากจริงๆ ว้าว ที่นี่ที่ไหน มันคือ์บนดินหรือเปล่า
“รอก่อนนะ นารากำลังไปหาแล้ว”
ฉันพึมพำพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นก่อนที่ฉันจะเดินลิ่วเข้าไปหาสิ่งสิ่งนั้นทันทีโดยที่ฉันไม่ลังเลเลยสักนิด อ่อ คงสงสัยกันใช่ไหมล่ะว่าอะไรกันที่ทำให้ฉันคนนี้รู้สึกตื่นเต้นได้มากขนาดนี้ แน่นอนว่ามันมีแค่เื่เดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้ฉันมีชีวิตชีวาในวันที่แสนน่าเบื่อแบบนี้ได้นั่นก็คือบรรดาอาหารคาวหวานทั้งหลายยังไงล่ะ และตอนนี้ต่อหน้าฉันมันกำลังมีงานอีเว้นท์สำหรับสายกินอย่างฉันตั้งอยู่ด้วย
อ่า โชคดีชะมัด ฉันนึกว่าวันนี้มันจะเป็วันที่น่าเบื่อสำหรับฉันแล้วซะอีก แต่พอเห็นบูธขายอาหารเรียงรายอยู่ต่อหน้าฉันแบบนี้แล้ว คำว่าเบื่อที่ฉันคิดก่อนหน้านี้มันก็หายไปหมดเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
“เอาอันนี้ที่หนึ่งค่ะ”
ทันทีที่ฉันเดินมาถึงบูธขายอาหารร้านหนึ่ง ฉันก็สั่งอาหารกับพนักงานทันที และในระหว่างที่ฉันกำลังรอให้พนักงานทำอาหารให้ฉันอยู่นั้น สายตาของฉันมันก็กวาดมองดูรอบๆ พื้นที่ตัวเองยืนอยู่เพื่อที่จะหาเป้าหมายต่อไป แน่นอนว่าฉันไม่คิดที่จะหยุดอยู่แค่ร้านเดียวแน่ ในเมื่อมีบูธขายอาหารอยู่เยอะขนาดนี้ฉันก็ต้องกินให้คุ้มสิ
“กูว่าแล้วมึงต้องอยู่ที่นี่”
แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังกวาดสายตามองรอบๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา พร้อมกับมือของคนคนนั้นเอื้อมมาแตะไหล่ของฉัน พอฉันหันไปมองก็เห็นว่าเป็อีกัสนั่นเอง
“อ้าว มาแล้วเหรอ”
ฉันเอ่ยทักทายมันไปและมันก็เป็จังหวะกันที่อาหารที่ฉันสั่งเมื่อกี้ทำเสร็จพอดี ฉันเลยหันไปจ่ายเงินให้กับพนักงานแล้วรับอาหารที่ว่านั่นมาถือแล้วจัดการยัดใส่ปากตัวเองทันทีโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าตอนนี้อีกัสมันกำลังยืนทำหน้าั์ใส่ฉันอยู่หรือเปล่า เพราะสิ่งที่ฉันสนใจตอนนี้มันก็มีแค่เื่กินเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ อ่า ฟินจัง
“กูบอกให้มึงยืนรออยู่ที่ทางเข้าไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมึงถึงมายืนตรงนี้ รู้ไหมว่ากูเดินหามึงตั้งนาน”
“ก็กูหิว”
ฉันพึมพำพูดกับอีกัสแล้วก็หันมาจดจ่อกับการกินต่อ
“นี่มึงไม่ได้กินข้าวมาเหรอ”
“กินแล้ว”
“กินแล้วแต่ยังหิวอีกเนี่ยนะ”
“มึงจะหงุดหงิดทำไม วันนี้ก็มาเป็เพื่อนมึงก็ถือเป็บุญคุณแค่ไหนแล้ว”
“ได้ข่าวว่ากูล่อมึงมาด้วยเค้กฟรีไม่ใช่เหรอ”
เออว่ะ
“รีบๆ กิน คอนเสิร์ตใกล้จะเริ่มแล้ว”
อ่อ ฉันบอกไปหรือยังนะว่าวันนี้ฉันมาทำอะไรกับอีกัสที่นี่ ก็วันนี้มันเป็วันที่ฉันต้องมาดูคอนเสิร์ตเป็เพื่อนอีกัสตามที่ฉันได้ตกลงทำสัญญากับมันั้แ่เมื่อวานนั่นแหละ จริงๆ แล้วฉันก็อยากจะชิ่งหนีอยู่หรอกนะเพราะฉันมันเป็พวกประเภทที่ไม่ค่อยชอบมาอยู่ในพื้นที่แออัดและเสียงดังน่ะ แต่ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะว่าถ้าหากฉันเบี้ยวนัดอีกัสล่ะก็ ฉันคงถูกอีกัสมันเล่นงานฉันจนน่วมในวันถัดไปแน่ๆ ฉันเลยต้องจำใจมาอย่างที่เห็นนั่นแหละ ส่วนเื่เค้กฟรีมันก็เป็แค่ของแถมเล็กน้อยๆ ก็แค่นั่นแหละ
“อ้าว กูพึ่งเริ่มเองนะ ยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่กูยังไม่ได้ลองกินเลย”
“ไว้ค่อยกลับมาลองที่หลัง ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปกันเถอะ”
แล้วอีกัสมันก็ลากฉันเดินออกมาจากบูธขายอาหารทันทีแล้วลากฉันเดินตรงไปยังโซนที่จัดแสดงคอนเสิร์ตแทน ซึ่งพื้นที่ตรงนี้มีบรรยากาศที่ต่างจากบูธขายอาหารที่ฉันยืนอยู่ก่อนหน้านี้มาก เพราะที่นี่ทั้งร้อนทั้งแออัด แถมคนก็เยอะมากจนเบียดเสียดไปหมด นี่ถ้าหากว่าฉันพลัดหลงกับอีกัสตรงนี้ฉันคงไม่มีทางหามันเจอได้แน่ๆ เพราะเหตุนั้นฉันเลยกอดแขนอีกัสไว้แน่นเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้
“กูเปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหม”
“ไม่ทันแล้วเพื่อนรัก เพราะมึงมาไกลเกินกว่าที่จะเดินออกไปได้แล้ว”
ใช่ ฉันมาไกลเกินที่จะเดินออกไปได้แล้วจริงๆ เพราะประตูทางเข้ามันอยู่ห่างไปมากเลยล่ะ ถ้าหากฉันเดินกลับไปฉันคงถูกคนเหยียบตายตรงหน้าทางเข้าแน่ๆ ในเมื่อหมดหนทางที่จะกลับไปแบบนี้แล้วฉันคงต้องเดินหน้าต่อสินะ
เฮ้อ ให้ตายสิ นี่ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย ฉันคิดกับตัวเองในใจด้วยความอนาถใจก่อนที่จะยึดเกาะแขนของอีกัสให้แน่นกว่าเดิมแล้วค่อยๆ เดินตามมันเข้าไปในฮอลล์ที่ใช้จัดแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วยความยากลำบาก แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังเดินเกาะแขนอีกัสอยู่นั้น จู่ๆ ฉันก็เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นมาหลังจากที่ฉันเห็นว่าอีกัสมันกำลังพาฉันเดินผ่านจุดที่เป็พื้นที่สำหรับคนที่ซื้อบัตรสำหรับการนั่งกูคอนเสิร์ต
“นี่มึงไม่ได้ซื้อบัตรนั่งเหรอ”
“เื่อะไรกูจะยอมจ่ายเงินเพื่อมานั่งดูไกลๆ ตรงนี้ด้วยล่ะ”
ห๊ะ นี่มันจะบอกว่ามันไม่ได้ซื้อบัตรนั่งอย่างนั้นเหรอ
“ได้มาดูทั้งทีก็ก็ต้องดูไกลๆ สิ”
หลังจากที่อีกัสพูดกับฉันมาแบบนั้นแล้ว ไม่กี่นาทีต่อมามันก็พาฉันเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าเวที ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ฉันว่ามันให้ความรู้สึกแย่กว่าทางเข้าฮอลล์จัดแสดงอีก เพราะมันทั้งเบียด ทั้งร้อน แถมยังไม่มีที่นั่งอีก นี่อีกัสมันพาฉันมาดูคอนเสิร์ตหรือพาฉันมาทรมานกันแน่เนี่ย อ่า ให้ตายสิ เค้กฟรีอาทิตย์หนึ่งเนี่ยฉันว่ามันเริ่มที่จะไม่คุ้มแล้วล่ะ
“เห็นไหมตรงนี้ดีกว่าตรงนั้นตั้งเยอะ”
อีกัสหันมาพูดกับฉันด้วยความภูมิใจ แต่ตอนนี้มันช่วยดูสีหน้าของฉันตอนนี้ก่อนดีไหม ว่าฉันมีอารมณ์ภูมิใจกับผลงานของมันด้วยหรือเปล่า เฮ้อ ฉันอยากกลับบ้านแล้ว
“ทีนี้แหละกูจะได้เห็นพี่โซ่ชัดๆ สักที”
“สาบานว่านี่จะเป็ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่กูจะมาทำอะไรแบบนี้กับมึง”
“เอาน่า เพื่อแต้มบุญของเพื่อน”
เพื่อแต้มบุญของมัน แต่เป็เวรกรรมของฉัน
ตุ้ม!
“เหี้ย!”
ฉันอุทานออกมาด้วยความใเมื่อจู่ๆ ก็เกิดเสียงดังลั่นสนั่นขึ้นมา และเสียงนั่นมันก็ทำให้ฉันใมาก ใจนฉันทำหน้าเหวอออกมาให้เห็นเลยล่ะให้ตายสิ เมื่อกี้มันคือเสียงอะไรอย่างนั้นเหรอ มีอะไระเิหรือเปล่า
“กรี๊ด!”
แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังตื่นตระหนกกับเสียงดังเมื่อกี้อยู่นั้น จู่ๆ ไฟทุกดวงมันก็มืดสนิทลงจนฉันมองอะไรไม่เห็น แต่นอกจากความมืดสนิทในตอนนี้แล้วยังมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจนฉันต้องรีบเอามืออุดหูของตัวเองไว้ทันทีเพราะเสียงนั่นมันดังมากจริงๆ อ่า คนพวกนี้จะแหกปากร้องกันทำไมเนี่ย
พรึบ!
“กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไฟด้านหน้าเวทีสว่างขึ้นมา แต่เสียงกรีดร้องครั้งนี้มันดังกว่าครั้งแรกมาก ดูเหมือนว่าสาเหตุที่ทำให้คนแหกปากร้องดังขึ้นกว่าเดิมมันคงจะมาจากบุคคลที่ยืนอยู่บนเวทีตอนนี้สินะ นี่น่ะเหรอ วงไดอาโทนิคที่อีกัสพูดถึงบ่อยๆ ใน่นี้ นี่ถือว่าเป็ครั้งแรกที่ฉันได้เห็นพวกเขาตัวเป็ๆ เพราะที่ผ่านมาฉันจะเห็นพวกเขาได้จากป้ายโฆษณาหรือว่าบนหน้าจอโทรทัศน์เท่านั้น พอได้มาเห็นตัวจริงแบบนี้แล้วก็ยอมรับว่าพวกเขาทั้งสี่คนค่อนข้างโดดเด่นจริงๆ แต่..โดดเด่นไปก็เท่นั่นแหละ เพราะฉันไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรพวกเขาเลยสักนิด อ่า อยากออกไปจากที่นี่จัง
ผลัก!
“โอ๊ย”
ในระหว่างคอนเสิร์ตกำลังดำเนินการอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างมากระแทกเข้ากับร่างกายของฉันจนฉันต้องหลุดเสียงร้องออกมาเพราะแรงกระแทกเมื่อกี้มันค่อนข้างแรง และฉันก็รู้สึกเจ็บมากด้วย และแรงที่ว่านั่นมันก็มาจากผู้หญิงที่ยืนอยู่ๆ ข้างๆ ฉันนั่นเอง ซึ่งตอนนี้เธอกำลังะโโลดเต้นไปกับเสียงเพลงอย่างเมามันโดยไม่สนใจเลยสักนิดว่าเมื่อกี้เธอทำให้ฉันเจ็บตัว
“อีกัส ชะนีข้างๆ ชนกู”
ฉันหันไปฟ้องอีกัสเผื่อว่ามันจะช่วยฉันได้
“เื่ปกติแหละ ทนๆ ไปก่อน กูกำลังมันเลย ว๊าย พี่โซ่ ทางนี้ค่ะทางนี้”
อีเพื่อนเลว ช่วยสนใจฉันสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง
ผลัก!
“โอ๊ย!”
ฉันตวัดสายตาไปมองหน้าคู่กรณีทันทีหลังจากที่ฉันถูกกระแทกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันก็เป็เหมือนเดิมเพราะชะนีคนนั้นยังคงเมามันกับการเต้นตามจังหวะอยู่เหมือนเดิม
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
ฉันบ่นออกมาด้วยความรู้สึกหัวเสียก่อนที่จะยกแขนขึ้นมากอดอกของตัวเองแล้วพยายามทำใจให้เย็นลง เพราะฉันเข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้ดีว่าเื่ที่ฉันกำลังเจอตอนนี้มันเป็เื่ที่เลี่ยงไม่ได้ จริงๆ เพราะที่นี่คนทั้งเยอะ แถมยังเบียดกันอีกมันไม่ใช่เื่แปลกที่จะมีคนมาชนหรือว่ากระแทกฉัน ฉันโทษว่าเป็ความผิดใครไม่ได้หรอก ถ้าหากจะโทษก็คงจะโทษตัวเองนี่แหละที่มาอยู่ผิดที่ผิดทางแบบนี้เอง
แต่ในระหว่างที่ฉันกำลังยืนควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงอยู่นั้น จู่ๆ สายตาของฉันมันก็ไปสะดุดเข้าอะไรบางอย่างเข้าพอดี อะไรที่ว่านั่นเป็คน คนที่ว่านั่นตอนนี้ยืนอยู่บนเวที และในมือของเขาก็กำลังถือเบสอยู่ แต่ที่ทำให้ฉันต้องสะดุดตาเมื่อกี้มันไม่ใช่เพราะว่าคนคนนั้นเป็คนดังหรอกนะ แต่มันเป็เพราะสายตาของคนคนนั้นต่างหากล่ะ ตอนนี้สายตาของเขากำลังจ้องมายังจุดที่ฉันยืนอยู่
[โปรดติดตามตอนต่อไป]
เฮียโซ่หรือเปล่า เฮียโซ่มองน้องอยู่ใช่ไหม
เห็นใช่ไหมว่าน้องโดนชน น้องยิ่งตัวเล็กๆอยู่ด้วย
ยัยหนูของฉันคงเจ็บน่าดู เพื่อนก็สนแต่ผู้ไม่สนใจชะนีอย่างนางเอกฉันเลย
แต่ดูเหมือนว่าผู้จะสนใจน้องนะ 555
หนึ่งคอมเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ