บทที่ 44 ทางใครทางมัน
ซั่งซูอวี๋มองพินิจฉินชูอยู่สองรอบก่อนถอนสายตาออก แล้วหันไปมองซูซานเหอ ในเมื่อเหลยอินถามขึ้น ซูซานเหอจำเป็ต้องมีคำตอบ
“ในเมื่อพวกเขามีความกล้าที่จะลดถอนระดับตบะของตน ข้าย่อมต้องให้โอกาสเป็ธรรมดา โอกาสมีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมตัวมาดี ใช่หรือไม่” ซูซานเหอตอบกลับและย้อนถาม
เหลยอินแสยะยิ้มอย่างดูถูก “สำนักชิงหยุนเป็สำนักที่มีศักดิ์ศรี แต่ดูเหมือนศักดิ์ศรีในสายตาของปรมาจารย์ซูจะไร้ค่าราคาถูกเหลือเกิน แต่ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็พูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้”
ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเหลยอิน สีหน้าของซูซานเหอพลันบึ้งตึงทันที พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่าคนอย่างเขาไม่มีศักดิ์ศรีหรือ นอกจากนี้ยังเรียกเขาว่าปรมาจารย์ซู แต่ไม่เรียกว่า ‘ท่านรองเ้าสำนัก’ เห็นได้ชัดว่านางไม่ยอมรับเขาเป็รองเ้าสำนัก การกระทำแบบนี้ของเหลยอินถือว่าไม่ไว้หน้าเขาอย่างสิ้นเชิง แต่เขากลับตอบโต้อะไรไม่ได้เลย
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ซูซานเหอจึงโบกมือออกคำสั่งให้กองกำลังทุกกองออกเดินทาง
ฉินชูหันไปหาไป๋อวี้ พลางพูดติดตลก “หายใจฟึดฟัดแบบนั้นเป็วิชายุทธ์แบบไหนกัน”
“น่าจะเป็วิชาเต่ากลั้นหายใจ ว่ากันว่าหากฝึกไปสักระยะหนึ่งจะหดหัวได้เหมือนเต่า แล้วก็กลั้นหายใจใต้น้ำได้” ไป๋อวี้โต้ตอบฉินชูกลับอย่างรู้งาน
ผู้เข้าร่วมที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่เป็เหล่ายอดฝีมือ มีใครบ้างที่ฟังมุกเสียดสีของฉินชูกับไป๋อวี้ไม่ออก พวกเขาได้แต่กลั้นขำไม่กล้าหัวเราะออกมา
ซูซานเหอหันมาถลึงตาใส่ฉินชูกับไป๋อวี้อย่างเดือดดาล แต่มีหลัวเจินอยู่ด้วย เขาจึงทำอะไรไม่ได้ ไม่เช่นนั้นฉินชูกับไป๋อวี้คงตายคาที่ไปตั้งนานแล้ว
“ทำไมบรรยากาศแปลกๆ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ” ไป๋อวี้มองฉินชู
“เ้าไม่เข้าใจไม่เป็ไร เอาเป็ว่าคนอื่นเข้าใจก็พอ” ฉินชูพูดเคล้าเสียงหัวเราะ
ท่าทางของฉินชูหัวเราะออกมาดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาในสายตาคนจำนวนหนึ่งทันที เป็รองเ้าสำนักแล้วอย่างไรกัน ทำตัวเช่นนั้นจะมีผู้ใดเคารพ
แต่ในสายตาของลูกศิษย์จากยอดเขาหลักล้วนมองฉินชูอย่างอาฆาตแค้น
หลัวเจินเองก็ทำทีเหมือนไม่ได้ยินที่ฉินชูเอ่ย เขาได้แต่นำทางพวกฉินชูโดยไม่พูดอะไร
เหลยอินพาเหล่าลูกศิษย์มาเดินข้างๆ กองกำลังจากยอดเขาชิงจู๋
“ฉินชู เ้าเยี่ยมมาก ข้าชื่นชมเ้าเหลือเกิน” เหลยอินยกนิ้วหัวแม่มือให้ฉินชู
“ขอบพระคุณท่านปรมาจารย์เหลยสำหรับคำชม” ฉินชูประสานมือคารวะเหลยอิน เขาคิดว่าปรมาจารย์หญิงผู้ดูแลยอดเขาเชียนหลัวผู้นี้เป็คนจริงใจและตรงไปตรงมาดี
เมื่อเหล่าลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนหลุดพ้นออกนอกเขตสำนักมาได้สักระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงเขตของหุบเขามี่หยุน
ครั้งนี้เป็การล่วงล้ำเข้ามาในเขตหุบเขามี่หยุนลึกพอสมควร เนื่องจากมียอดฝีมือระดับสูงของสำนักคอยนำทาง ทำให้พวกสัตว์อสูรถูกจัดการไปอย่างไร้ร่องรอย
หนึ่งวันผ่านไป กองกำลังของสำนักชิงหยุนก็มาถึงเขตรอบนอกของพื้นที่แห่งหนึ่งที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขารอบทิศ ภายในพื้นที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
“ทุกคนรออยู่ตรงนี้ก่อน ตอนนี้ทุกคนยังมีเวลาอีกประมาณสองสามชั่วยามเพื่อเตรียมตัวก่อนจะเข้าไปด้านใน” ซูซานเหอประกาศขึ้น
หลังจากซูซานเหอประกาศ กองกำลังของแต่ละยอดเขาก็แยกย้ายกันไปรอตามจุดต่างๆ โดยที่กองกำลังของยอดเขาชิงจู๋กับเชียนหลัวรออยู่ใกล้ๆ กัน
ระหว่างที่รอเวลา กองกำลังจากยอดเขาเชียนหลัวก็เข้ามาแนะนำตัวกับฉินชู หลิวเสวี่ยที่ต่อสู้วัดฝีมือกับฉินชูก่อนหน้านี้เป็หัวหน้า ส่วนสมาชิกที่เหลือประกอบด้วยผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกสามคน แต่ว่าผู้ชายคนนั้นกลับมองฉินชูด้วยสายตาเจือแววปรปักษ์อยู่รำไร
“ศิษย์น้องฉิน หลังจากออกมาจากโบราณสถานชิงหวาง เอาไว้พวกเรามาต่อสู้วัดฝีมือกันอีก” หลิวเสวี่ยพูดกับฉินชูอย่างเป็ธรรมชาติ น้ำเสียงของนางเหมือนไม่เก็บความพ่ายแพ้ครั้งที่แล้วมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ฉินชูตอบกลับด้วยความยินดี
ได้ยินเช่นนั้น เหลยอินก็หันไปมองฉินชูเชิงตำหนิทันที “เ้าหนูอย่างเ้าเรียกนางว่าศิษย์พี่สักนิดสักหน่อยมันจะตายนักหรืออย่างไร”
“ท่านปรมาจารย์เหลย ศิษย์เป็เพียงศิษย์รับใช้ แล้วจะให้เรียกคนอื่นว่าศิษย์พี่อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร แบบนี้เกรงว่าไม่เหมาะสม” ฉินชูพูดตามความคิดของตัวเอง
“ไม่เห็นมีอะไรไม่เหมาะสมเลย หากคิดว่าคนคนนั้นไม่เหมาะที่จะนับถือเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้อง เ้าก็ไม่ต้องข้องเกี่ยว ไม่มีใครสามารถดูถูกเ้าได้” หลัวเจินพูดให้ท้ายฉินชู เพราะเขาเป็หน้าตาให้ยอดเขาชิงจู๋ ดังนั้นหลัวเจินไม่มีทางปล่อยให้ฉินชูถูกหยามแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวเจิน ฉินชูก็ประสานมือให้หลิวเสวี่ยพร้อมกับเรียกคำว่า ‘ศิษย์พี่’ ออกมา
หลังจากพูดคุยสร้างความคุ้นเคยกันอยู่ครู่หนึ่ง ฉินชูก็นั่งสมาธิเข้าฌาน ส่วนไป๋อวี้ กับพวกเจิ้งชิวก็จับกลุ่มนั่งคุยกับพวกหลิวเสวี่ย
หลังจากนั้นสองชั่วยาม ม่านหมอกหนาพลันค่อยๆ เจือจาง วงแหวนเรืองแสงวูบวาบปรากฏขึ้นสู่สายตาทุกคน ภายในวงแหวนเรืองแสงมีตำหนักหลังใหญ่โอฬารตั้งอยู่ โดยบริเวณประตูใหญ่มีวงแหวนเรืองแสงปรากฏอยู่อีกหนึ่งวง
“พวกเ้าสามารถเข้าไปได้แล้ว” ซูซานเหอพูดขึ้น
ฉินชูลุกขึ้น จากนั้นเดินไปที่วงแหวนเรืองแสง โดยมีไป๋อวี้ เจิ้งชิว หานอวี้และชิวจ้านเดินตามหลัง ถัดไปอีกก็มีกองกำลังของหลิวเสวี่ยตามมาติดๆ
“หุนหันพลันแล่นหาใช่เื่ดี คนที่ตายก่อนล้วนมีนิสัยเช่นนี้” จางจี้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าซูซานเหอพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ
“ปรามคนดี ไม่ห้ามคนทราม เอาเวลาไปห้ามปรามบางคนที่จ้องก่อกวนด้านในไม่ดีกว่าหรือ” หลัวเจินพูดขึ้น เขาเข้าใจความคิดของฉินชูที่กังวลว่าคนอื่นจะชิงเข้าไปก่อน หากเข้าไปก่อนแล้วลอบวางกับดัก แบบนี้จะยิ่งรับมือยาก
ซึ่งความคิดของฉินชูก็เป็เหมือนอย่างที่หลัวเจินคาดเดาไม่ผิด ลำพังภายในโบราณสถานชิงหวางก็เต็มไปด้วยอันตรายอยู่แล้ว แต่ด้านหลังประตูใหญ่น่าจะยังไม่มีอันตรายอะไรมาก หากปล่อยให้คนอื่นเข้าไปก่อน ก็จะยิ่งคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ยากกว่าเดิม
หลังจากเดินเข้ามาในวงแหวนเรืองแสง ฉินชูก็พาพวกพ้องเข้าไปในประตูใหญ่ของตำหนักทันที
ทันทีที่เข้าประตูไปด้านใน บรรยากาศรอบๆ ก็กดดันขึ้นฉับพลัน ถึงแม้มีหินผลึกส่องแสงสว่างอยู่ตามฝาผนัง แต่บรรยากาศกลับแตกต่างจากด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
ตามที่ตัวเองได้ทำการศึกษาเส้นทางในแผนที่มาก่อนหน้านี้ ฉินชูรีบนำกองกำลังเดินผ่านทางเดินด้านในตำหนักไปอย่างรวดเร็ว
โดยทางเดินด้านในตำหนักทอดยาวลงไปด้านล่าง ตามข้อมูลบอกว่าโบราณสถานชิงหวางเป็พระราชวังใต้ดินขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน
หลังจากเดินมาสักระยะ ฉินชูก็นำกองกำลังทั้งสองกองเข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในห้องโถงมีทางแยกอยู่สองสามทาง
“ไปทางนี้แล้วกัน” ฉินชูเลือกเส้นทางมาหนึ่งทาง
“ทำไมถึงเลือกเส้นทางนี้” ลูกศิษย์ผู้ชายจากยอดเขาเชียนหลัวถามขึ้น
ฉินชูขมวดคิ้ว “แล้วทำไมถึงเลือกเส้นทางนี้ไม่ได้”
“หากเส้นทางที่เ้าเลือกเป็ทางตายขึ้นมาจะทำอย่างไร ข้าคิดว่าทางนี้ดีกว่า” ลูกศิษย์ผู้ชายจากยอดเขาเชียนหลัวชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง
ความเห็นแตกออกเป็สองฝั่ง ลูกศิษย์ชายจากยอดเขาเชียนหลัวมีชื่อว่าซาหาน เมื่อรู้ว่าเขาสงสัยในการตัดสินใจของตัวเอง ฉินชูก็ชักไม่อยากร่วมเดินทางกับเขา
“ก็ได้ เช่นนั้นเ้าจงไปทางที่เ้าเลือก ส่วนพวกเราทุกคนจะไปทางนี้” ฉินชูพูดขึ้น
“พวกเ้ามาจากยอดเขาชิงจู๋ อย่าเหมารวมว่าคนจากยอดเขาเชียนหลัวเป็คนของเ้า อย่าคิดว่าพวกเราจะเอาแต่ตามหลังและดูเ้าชิงเอาผลประโยชน์ไปก่อน” ซาหานเดินแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างฉินชูกับหลิวเสวี่ย
ฉินชูไม่พูดอะไร เมื่อมีความเห็นต่างกัน ย่อมต้องแยกทาง เขาไม่อยากผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเหลยอิน แต่เห็นๆ อยู่ว่าซาหานทำตัวมีปัญหากับเขา
“พวกเราไปกันเถอะ” ซาหานเรียกคนจากยอดเขาเชียนหลัวที่เหลือ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปอีกทางเป็คนแรก
“เฮ้อ ศิษย์น้องฉิน ข้าเป็หัวหน้าที่ไม่เอาไหนเอง แต่ถึงอย่างไรข้าเองก็ไม่อาจปล่อยให้ศิษย์น้องซาไปคนเดียวได้” หลิวเสวี่ยจนปัญญา นางไม่เข้าใจว่าซาหานกำลังคิดอะไรอยู่
“ไม่เป็ไร เช่นนั้นก็ต่างคนต่างไป ขอศิษย์พี่หลิวจงระวังตัว” หลังจากประสานมือคารวะหลิวเสวี่ย ฉินชูก็พาพวกไป๋อวี้ไปยังเส้นทางที่ตัวเองเลือก
ไป๋อวี้รีบเดินมาข้างๆ ฉินชู “ลูกพี่ สายตาเ้าหมอนั่นแปลกๆ มาตลอดทาง แยกทางกับเขาก็ถือว่าดีแล้ว”
“พวกเราต้องระวังตัว หากพวกยอดเขาหลักเจอพวกเราเข้าจะต้องลงมือแน่นอน ผู้หญิงคนนั้นแข็งแกร่งมาก พวกเราต้องระวังตัว” ฉินชูพูดขึ้น เขาจำคำชื่นชมของโม่เต้าจื่อที่มีต่อซั่งซูอวี๋ได้ขึ้นใจ