หลินโม่เหนียง ลืมตาเปียกชื้นมองฝูงชนที่กำลังโหวกเหวกโวยวายผ่านกรงไม้ไผ่ด้วยความฉงน นางยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่เพียงในจมูก ลำคอและในอกของตนคล้ายถูกไฟเผาไหม้จนปวดแสบ
“นางเป็ปิศาจ”
“ต้องฆ่านางเดี๋ยวนี้”
“แต่นางไม่ได้ตาย นางพิสูจน์ความผิดตัวเองแล้ว”
“ใช่แล้ว นางบริสุทธิ์ นางถูกใส่ร้าย”
ผู้คนต่างกำลังถกเถียงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หลินโม่เหนียงที่แสบคอแสบจมูกไปหมดทำเพียงตะแคงตัว สำลักน้ำออกมาจำนวนมาก
“แค่ก ๆ ๆ ๆ” แม้นางจะไอจนเสียงดัง แต่ผู้คนยังคงเถียงกันต่อไป ไม่มีผู้ใดสนใจความเปลี่ยนแปลงของนางสักนิด
“นางแพศยานี่ต้องเป็ภูตผีปิศาจจำแลงมาแน่นอน หากเป็คนทั่วไป จะอยู่ในน้ำได้เป็เวลานานเท่านี้ได้อย่างไร ั้แ่ปล่อยนางทิ้งลงน้ำก็ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่นางกลับยังมีชีวิตอยู่ ต้องเป็ปิศาจแน่!”
หลินโม่เหนียงเหลือบสายตามองชายที่กำลังพูด นางจำเสียงของเขาได้ เขาเป็คหบดีร่ำรวยในเมืองนี้ และเป็สามีของนางด้วย!!
นางเริ่มจดจำได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อสองวันก่อนพ่อแม่ผู้ยากจนได้ขายหลินโม่เหนียงให้กับพ่อค้าทาส เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนหลายปีมานี้ ทำให้ขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ครอบครัวจนๆ ของนางจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ตัดใจขายบุตรสาวออกไปเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายในบ้านไว้
ด้วยความที่หลินโม่เหนียงเป็สตรีงดงาม นางจึงขายได้ราคาดี ทั้งไม่ต้องไปทำงานในหอโคมแดง มีคหบดีอายุมากผู้หนึ่งยินดีจะรับนางเป็อนุ แต่งเข้าจวนอย่างถูกต้อง แม้นางจะอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
น่าเสียดายที่คืนเข้าหอ หลังจากตาแก่นั่นกระทำต่อร่างกายของนางอย่างรุนแรง รุ่งขึ้นเมื่อสาวรับใช้เข้ามาตรวจสอบ บนฟูกนอนกลับไม่พบรอยเืพรหมจรรย์
ภรรยาเอกของคหบดีเริ่มโวยวาย ยกความอัปมงคลความอับอายร้อยแปดพันเก้ามาอ้างเพื่อขับนางออกจากจวนให้ได้ เหล่าอนุอีกหลายสิบคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย คหบดีเฒ่าจึงได้แต่จนใจขับหลินโม่เหนียงออกจากจวน ทั้งที่ตัวเด็กสาวเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดนางจึงไม่มีเืพรหมจรรย์ นางมั่นใจว่าตลอด่ชีวิตที่เกิดมา นางไม่เคยเข้าหอกับชายใด
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านของพ่อแม่ ทุกคนกลับจับหลินโม่เหนียงใส่กรงไม้และนำไปถ่วงน้ำเพื่อล้างอายให้กับวงศ์ตระกูลจนๆ ของพวกเขา ทั้งยังป่าวประกาศไปทั้งเมืองให้ผู้คนมาดูหลินโม่เหนียงถูกฆ่า ต่อให้นางจะร้องขอด้วยความกลัว แต่พ่อแม่ก็ทำราวกับไม่รู้จักบุตรสาวคนนี้อีกแล้ว
คหบดีที่คืนเข้าหอยังพลอดรักกล่าวคำหวานกับนางไม่ขาดปาก วันนี้กลับพาภรรยาเอกของเขามาเฝ้าดูหลินโม่เหนียงถูกถ่วงน้ำด้วย
หลังจากที่หลินโม่เหนียงถูกนำไปถ่วงลงแม่น้ำ จากนั้นนางคล้ายจำอะไรไม่ค่อยได้ นอกจากความกลัวตายและความเงียบสงบใต้น้ำ ยามนี้นางก็ยังคงประหลาดใจว่าเหตุใดตัวเองจึงยังไม่ตาย
“ตัวข้า อับอายยิ่งนักที่ต้องแต่งอนุเช่นนางปิศาจนี่” คหบดีกล่าวออกมา คล้ายว่าตัวเขาถูกผู้ใดบังคับให้แต่งนางเข้าจวน
“ข้าบอกท่านแล้วว่านางสารเลวนี่เป็ปิศาจ ท่านก็ไม่เชื่อ” ฮูหยินของคหบดีร่วมผสมโรงด้วย
“โธ่..ลูกแม่ เ้าน่าสงสารนัก เ้าถูกนางปิศาจกินไปแล้วหรือ ฮือๆ ๆ ๆ” แม่ของหลินโม่เหนียงถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้าโศก ท่าทางที่นางร้องไห้ข้างกรงขังบุตรสาว ดูแล้วช่างน่าสงสารน่าเวทนายิ่งนัก
หลินโม่เหนียงได้แต่มองคนในครอบครัวและคนแปลกหน้าด้วยความสงบยิ่ง หลังจากได้ผ่านความตายมาครั้งหนึ่ง นางคล้ายจะไม่สนใจอะไรในโลกนี้อีกแล้ว อยากออกไปให้พ้นๆ จากคนพวกนี้เสียที นางยังคิดว่าเหตุใดจึงไม่ตายๆ ไปเสีย ให้สมกับความตั้งใจของพวกเขา นางจะได้ไม่ต้องทนมองหน้าคนพวกนี้อีก
“เชิญท่านนักพรตมาปราบปิศาจเถิด” ใครสักคนเอ่ยขึ้น
หลินโม่เหนียงทำเพียงกอดเข่าตัวเองไว้ พยายามให้ความอบอุ่นกับตัวเอง แม้นางจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว ไม่สนใจอีกแล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ปล่อยให้ทุกคนทำตามใจ
‘ไม่มีประโยชน์ที่ต้องพูดคุย’ หลินโม่เหนียงคิดเพียงเท่านี้
ผ่านไปไม่ถึงเค่อ นักพรตอายุไม่เกินสี่สิบปีผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมอย่างดี พร้อมไม้เท้าหยกประดับยอดทองคำก็มาถึง เขาเดินรอบๆ กรงไม้ของหลินโม่เหนียง และทำบางอย่างราวกับสวดคาถาใส่นาง แต่หลินโม่เหนียงไม่สนใจ
“นางไม่ใช่ปิศาจ!” นักพรตเอ่ย
สิ้นเสียงนั้น หลินโม่เหนียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองนักพรตด้วยความฉงน ท่ามกลางเสียงแตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน นักพรตกลับส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางและหันไปเอ่ยกับผู้คนว่า
“นางเป็ผู้ที่ได้รับจุมพิตั! นางถูกใส่ร้าย”
“อะไรนะ จุมพิตัที่จะมอบให้เพียงผู้บริสุทธิ์เท่านั้นน่ะหรือ”
“ข้าเคยได้ยิน แต่ยังไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง”
“โธ่เอ๊ย นางช่างน่าสงสาร ถูกใส่ร้ายจริงๆ สินะ”
“ต้องเป็ผู้มีบุญบารมีสูงส่งจึงจะได้รับจุมพิตจากเทพเ้าั นางต้องไม่ใช่คนชั่วช้าแน่นอน”
ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง เพียงคำพูดประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนหันมาเห็นใจหลินโม่เหนียงและมองคหบดีกับภรรยาด้วยความเหยียดหยาม บางคนถึงกับส่ายหัวด้วย
