ในวันนี้เหนียนยวี่อยู่ในลานเรือนขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอทั้งสองนั่งจิบชาและเล่นหมากล้อม เฝ้ารอให้อนุตู้เคลื่อนไหว
“เป็เพียงรูสุนัขในสนามหลังจวนที่ถูกทิ้งร้างมานานเท่านั้นดูเหมือนว่าวันนี้นางจะกังวลมากเสียจริง เมื่อเทียบกับการสูญเสียชีวิตแล้ว ความอัปยศในการลอดเข้ามาทางรูสุนัขนั้นมิใช่เื่สำคัญเท่าใดนัก” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอพ่นลมหายใจแ่เบาครั้นนึกเื่บางอย่างขึ้นได้ นางจึงเหลือบมองจือเถา พลางเอ่ยว่า “นายท่านเล่า?”
“ทูลองค์หญิงเพคะ ยามนี้นายท่านหลับไปแล้วเพคะ วันนี้นายท่านค้างที่ห้องของอนุกุ้ยเพคะ” จือเถากล่าวตามความจริง
ครั้นองค์หญิงใหญ่ชิงเหอฟังจบ นางโบกมือเรียกเหนียนยวี่เหนียนยวี่เข้าไปหานาง เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่ชิงเหอลุกขึ้นยืน นางเข้าใจได้ทันทีว่าองค์หญิงใหญ่จะเป็คนไปดำเนินงิ้วฉากนี้เหนียนยวี่จึงรีบเข้าไปประคองนางทันที คนทั้งสองก้าวเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังหน้าลานโถงรับรองแขก
ใต้มุมกำแพงด้านหลังลานจวน
จวนองค์หญิงใหญ่มีทหารเฝ้ายามเป็ของตนเองและทหารเ่าั้เป็ราชองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ซึ่งตามปกติพวกเขาจะปกป้องจวนองค์หญิงใหญ่อย่างหนาแน่นตลอดเวลา ทว่านางรู้ดีว่าทุกๆ ชั่วโมงจะมีการแลกเปลี่ยนเวรยาม ซึ่งใน่เวลานี้จะเป็่ที่การเฝ้ายามในจวนองค์หญิงใหญ่หละหลวมที่สุดและนางมีโอกาสเพียงในเวลานี้เท่านั้น
ท่ามกลางความมืดมิดในห้องโถง อนุตู้เดินตามการจัดวางสิ่งของในความทรงจำของนางพลางคลำหาตำแหน่งของโต๊ะอาหาร ซึ่งมีบางอย่างบนนั้นที่นาง้า
นางมั่นใจว่า วางไว้ที่ตำแหน่งนี้ ทว่าเหตุใดยามนี้ถึงไม่มี?
ไม่มีแล้ว...ไม่มีแล้ว...ถ้อยคำสามคำนี้ดังสะท้อนวนเวียนอยู่ในหัวของอนุตู้ไม่หยุดยามนี้นางทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
สิ่งที่ควรจะมีกลับหายไป นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เสียงที่เอ่ยออกมาอย่างไม่รีบร้อนความน่าเกรงขามที่แฝงมาในน้ำเสียงสงบนิ่ง นางจำเสียงนั้นได้ คราวนี้นางยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม
ในห้องโถง เหนียนยวี่มองคนที่หันหลังให้พวกนาง คนผู้นั้นสวมชุดสีดำทั้งตัวทว่ากลับยังคงมองออกว่านั่นคืออนุตู้
“เ้าบอกว่า เ้ากลับมาเอง หรือเป็เปิ่นกงสั่งให้คนพาเ้ากลับมา!” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอนั่งลงบนเก้าอี้ ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาทำให้ผู้คนไม่กล้าเหลือบมอง
ร่างกายของอนุตู้สั่นสะท้าน นางกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัวนางรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ แม้นตนเองคิดจะหลบหนีก็คงจะหนีไม่พ้นเสียแล้วทว่านางก็มิอาจยอมให้ถูกจับแต่โดยดีได้
อนุตู้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นางค่อยๆ หันหลังกลับไปและก้าวเดินไปหาองค์หญิงใหญ่ชิงเหอจากนั้นนางทิ้งตัวลงคุกเข่าลงบนพื้นอย่างตื่นตระหนก นางดึงผ้าคลุมหน้าออกใต้ผ้าคลุมหน้าผืนนั้น เป็อย่างที่คาดคิด มันคือใบหน้าของอนุตู้ อนุตู้ก้มคำนับโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างรุนแรง “องค์หญิงเพคะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว โปรดเข้าใจและให้ความอดทนกับหม่อมฉันขอทรงไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
“ผิดไปแล้วงั้นหรือ? เช่นนั้นลองเอ่ยมาเสียว่า เ้ามีความผิดอะไร?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยราบเรียบ ไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาง
อนุตู้สายตาเป็ประกาย “อนุภรรยาผู้ต่ำต้อยเยี่ยงข้าไม่ควรโลภมากไม่ควรคิดขโมย...ไม่ควรคิดขโมยของจากจวนองค์หญิงใหญ่...”
“ขโมยของจากจวนองค์หญิงใหญ่หรือ?” องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเลิกคิ้ว ไม่เพียงแต่นาง ทว่ามุมปากของเหนียนยวี่เองยังแย้มรอยยิ้มบางเช่นกัน อนุตู้ผู้นี้ ถึงตอนนี้แล้วก็ยังคงดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง!
นี่เรียกว่าเป็ความผิดเล็กน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับความผิดฐานคิดทำร้ายเด็กในครรภ์ขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ
“อนุตู้ เ้ากำลังพูดเื่ไร้สาระอะไร เ้าพยายามขโมยของที่ไหนกันเห็นได้ชัดว่าเ้ามาหาของชิ้นนี้” จือเถาตวาดใส่นางอย่างรุนแรง สีหน้าดุดัน ยามที่กล่าว นางหยิบของมนตร์ดำในมือขึ้นมา
อนุตู้เห็นดังนั้น ในใจนางพลันสะอึกไปครู่หนึ่งทว่าใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความสงสัย “แม่นางจือเถา นี่คือ…”
“แม่นางจือเถาช่างตลกเสียจริง อนุภรรยาผู้ต่ำต้อยเช่นข้าไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน จะรู้จักได้เยี่ยงไร?” อนุตู้ฉีกยิ้มมุมปากพลางหันไปมององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ “องค์หญิงเพคะ นี่คือสิ่งใดหรือเพคะ? หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ นะเพคะองค์หญิงโปรดตรวจสอบเื่นี้ให้แน่ชัดด้วยเพคะ”
อนุตู้เหลือบมองห่อผ้าที่สูงเท่าคนหนึ่งคนความวิตกกังวลของนางยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยถามอีกครั้ง หัวใจของอนุตู้พลันสั่นสะท้าน นางแทบไม่เคยนึกถึงเื่นี้ อนุตู้รีบกล่าวออกไปอย่างลนลาน “หม่อมฉัน...หม่อมฉันมาขโมยของเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ชิงเหอออกคำสั่ง จือเถาก้าวมาข้างหน้า เพื่อแก้มัดห่อผ้าและเปิดห่อผ้าออกศีรษะของคนผู้หนึ่งโผล่พ้นออกมาเป็อย่างแรก เหนียนยวี่เห็นใบหน้านั้นนางหันไปเหลือบมองอนุตู้อย่างอดไม่ได้ อย่างที่คิดนางเห็นอนุตู้ที่แต่เดิมยังคงสงบนิ่ง เพียงพริบตาความสงบนิ่งอันมั่นคงนั้นพลันแตกสลาย