“หือ?” หรงจิ่งคงกำลัง้าถามหลินหร่านว่า ที่ท่านอ๋องทรงเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ทั้งหมดเป็เพราะเขาอย่างนั้นหรือไร
หลินหร่านใเล็กน้อย
เื่นี้เขาจะรู้ได้อย่างไร เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ท่านอ๋องมีอุปนิสัยเป็เช่นไรนี่นา
แต่ว่าพอลองมาคิดดู ก่อนหน้านี้ที่พบเจอกัน ท่านอ๋องก็ดูเป็คนที่ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไรนัก ทั้งยังมีท่าทีเข้มงวดมากอีกด้วย แต่หลังจากที่ได้ทำความรู้จักแล้ว ท่านอ๋องก็เป็คนที่อ่อนโยนและดีกับเขายิ่งนัก
“ท่านอ๋อง...ท่านอ๋องดีกับข้ามาตลอด” หลินหร่านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
คำพูดของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ดังนั้น เมื่อเอ่ยเื่นี้ออกมาจึงทำให้เกิดความรู้สึกขวยเขินอย่างอดไม่ได้
หรงจิ่งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วบอก “ท่านอ๋องทรงปฏิบัติดีกับพระชายามาตลอด กระหม่อมเข้าใจเป็อย่างดี แต่ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมก็รู้สึกขอบพระทัยพระชายาอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ ที่ทรงทำให้าาแห่งาของพวกเราเติบโตและเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้”
การเปลี่ยนแปลงของอวี้ฉู่จาวนั้น ทำให้ผู้คนที่ยอมสละชีวิตร่วมรบกับเขารู้สึกได้รับความสนิทสนมและความใส่ใจมากขึ้น อีกทั้งอวี้ฉู่จาวยังคอยช่วยเหลือ วางแผนให้กับพวกเขาอีกด้วย
หรงจิ่งอายุมากกว่าอวี้ฉู่จาวเพียงไม่กี่ปี เขามีความฉลาดหลักแหลม จึงรู้สึกคุ้นเคยกันดียิ่งขึ้น
หรงจิ่งเห็นอวี้ฉู่จาวราวกับเป็น้องชายคนหนึ่ง อวี้ฉู่จาวเป็คนมีพละกำลังแข็งแรง แต่กลับมีนิสัยไม่น่าคบหานัก
เ็าดุจน้ำแข็งอันเยือกเย็น ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ นอกจากเื่การทหารแล้ว กลับไม่มีเื่ใดที่ทำให้เขาเก็บมาใส่ใจได้
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ หรงจิ่งพลันมีความรู้สึกว่าอวี้ฉู่จาวที่เป็เช่นนี้ ทำให้เขาไม่ค่อยคุ้นชินนัก
ถึงอย่างนั้น การที่อวี้ฉู่จาวเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้กลับทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง
หลินหร่านเอี้ยวตัวหันไปทางหรงจิ่งก่อนจะตอบกลับ “ท่านต้าซือหม่าเกรง...เกรงใจเกินไปแล้ว”
อันที่จริง ตอนนี้หลินหร่านก็ยังคงรู้สึกไม่เข้าใจกับสิ่งที่ต้าซือหม่าเอ่ยออกมาเท่าไรนัก แต่ก็พยายามที่จะตอบกลับไปด้วยท่าทีงุนงง
ริมฝีปากของหรงจิ่งเผยรอยยิ้มอยู่ตลอด
เขาคิดว่าพระชายาตัวน้อยผู้นี้ช่างน่ารักเสียจริง
ฝ่ามือข้างหนึ่งของอวี้ฉู่จาวคอยประคองหน้าท้องของหลินหร่านเอาไว้เสมอ เพื่อให้อีกคนสามารถนั่งได้อย่างเรียบร้อยตามเดิม พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพียงหนึ่งประโยค
“ระวังหน่อย เดี๋ยวตกลงไป”
อย่างไรเสีย อวี้ฉู่จาวก็ไม่มีทางปล่อยให้หลินหร่านตกลงไปอย่างแน่นอน เพียงแค่ถ้อยคำของหรงจิ่งที่เอ่ยออกมา ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปเช่นไรก็เท่านั้น
แน่นอนว่าตัวเขานั้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หากเทียบกับตัวเขาในชาติภพก่อน เหตุผลที่เขาเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็เพราะเขามีหลินหร่านอยู่เคียงข้างหรือเพราะเหตุผลอื่น เขาก็ไม่อาจรู้ได้ชัด
การได้กลับชาติมาเกิดนั้น ถือเป็เื่ที่เหลือเชื่อและน่าอัศจรรย์จนเกินจะหาสิ่งใดมาอธิบายได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องจดจำเป็บทเรียน พร้อมค้นหาประสบการณ์ ปกป้องคนที่ตนเองห่วงใย ล้างแค้นผู้ที่ได้กระทำกับตนเอาไว้
นอกจากนี้ เื่ที่เขากลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีความจำเป็ต้องป่าวประกาศให้ใครรับรู้
“อื้อ” หลินหร่านขยับตัวเข้าไปนั่งพิงอวี้ฉู่จาวแล้วนั่งให้เป็ระเบียบเรียบร้อยดังเดิม
ถึงแม้อวี้ฉู่จาวจะไม่ได้เอ่ยตอบหรงจิ่ง แต่หรงจิ่งก็พอจะมองออกว่าการกระทำที่ท่านอ๋องแสดงออกนั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาได้ยินสิ่งที่ตนพูดทั้งหมด
“ท่านอ๋อง สองคนเมื่อครู่คือใครหรือพ่ะย่ะค่ะ” หลินหร่านลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะในใจเขาอยากรู้ว่าชายทั้งคู่ที่มีความรู้สึกดีต่อกันอย่างเปิดเผยนั้นเป็ใคร
“คนที่ดูอ่อนช้อยงดงามผู้นั้นนับเป็คนของหรงจิ่ง มีนามว่าไป๋มู่ ส่วนอีกคนคือบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีฉินฉือ มีนามว่าฉินข่าย”
“เช่นนั้นพวกเขาก็…” หลินหร่านเอียงหัวพร้อมกล่าว
อัครเสนาบดีฉินฉือกับองค์ชายห้าอวี้ฉู่หลิงถือเป็ศัตรูของท่านอ๋อง ซึ่งเื่นั้นหลินหร่านรับรู้เป็อย่างดี
โดยปกติแล้ว ยามท่านอ๋องเริ่มสนทนากับผู้อื่น หลินหร่านมักไม่เอ่ยอะไร เขาจะค่อยๆ วิเคราะห์แล้วทบทวนอย่างช้าๆ
การได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่นานวันเข้า ส่งผลให้เขารับรู้ได้ถึงเื่ราวความขัดแย้งในการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายภายในเมืองหลวงแห่งนี้เป็อย่างดี
“สิ่งที่พวกเขาทั้งคู่รู้สึกต่อกัน เป็เหมือนที่เราทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนกัน”
หลังจากนั้น อวี้ฉู่จาวจึงได้เล่าเื่ราวของไป๋มู่กับฉินข่ายให้หลินหร่านฟัง โดยมีหรงจิ่งคอยเสริมอยู่เป็ระยะ
“เป็เช่นนี้เอง ทั้งคู่คงใช้ชีวิตลำบากน่าดู เดิมทีเริ่มจากความสัมพันธ์ที่ไม่เป็มิตร แต่เพราะเกิดความรู้สึกต่อกันขึ้น ทำให้เขาพร้อมโยนเื่เ่าั้ทิ้งไปข้างหลังสินะพ่ะย่ะค่ะ ยังดีที่ไป๋มู่เป็คนของพวกเรา ท่านอ๋องจึงได้ช่วยเหลือฉินข่ายได้ มิเช่นนั้น ทั้งคู่ต้องแยกจากกันชั่วนิรันดร์เป็แน่”
เมื่อหลินหร่านเอ่ยคำว่า ‘พวกเรา’ เพียงสองคำนี้ออกมา หรงจิ่งก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
กระทั่งอวี้ฉู่จาวก็รับรู้ได้ว่า ถ้อยคำนี้มันช่างทำให้อบอุ่นไปทั่วทั้งหัวใจเสียจริง ราวกับพวกเขากำลังกลายเป็ครอบครัวเดียวกัน เต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งที่แสนอิ่มเอมใจ
หลินหร่านเป็คนที่ชื่นชอบเื่ราวแห่งความสุข และมักจะปิดกั้นสิ่งที่ไม่ดีหรือทำให้ไม่เป็สุขโดยฉับพลัน
หรงจิ่ง ซูชิงเฟิง หยางซาน ลุงตง ติงหร่วนและพวกหลานจื่อ รวมไปถึงท่านอาจารย์อาอย่างจวินเชียนโม่ ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่มีวันทำร้ายตัวเขากับท่านอ๋อง รวมถึงยังคอยช่วยเหลือและพร้อมยืนหยัดอย่างไม่มีเงื่อนไขเพื่อเป็ ‘ผู้จงรักภักดีต่อาาแห่งา’
ฉะนั้น สำหรับหลินหร่านแล้วพวกเขาถือเป็คนในครอบครัว เขาจึงสามารถนำคำว่า ‘พวกเรา’ มาใช้ได้อย่างไม่ติดขัด
“ท่านอ๋อง ท่านกำลังทำสิ่งที่นับเป็เื่ดีมากเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” ใน่ท้าย หลินหร่านเอียงคอมองไปทางหรงจิ่งก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ท่านดูสิ ท่านอ๋องเป็คนดีมากจริงเชียว”
“อืม…” หรงจิ่งระบายยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยตอบรับ “ก็เป็เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านพลันยกยิ้มกว้าง
การที่อวี้ฉู่จาวถูกกล่าวถึงเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่า ตนกำลังถูกยกยอไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้น ทั้งสามคนที่อยู่บนหลังอาชาทั้งสองตัวก็ควบพวกมันกลับไปยังตัวเมืองอวี้อันในทันที
ซึ่งใน่เวลานี้ เมืองอวี้อันกำลังเกิดเหตุโกลาหล
ขณะที่อวี้ฉู่จาวกับหลินหร่านเพิ่งจะกลับมาถึงประตูของตำหนักอ๋อง แน่นอนว่า ณ ตอนนี้หรงจิ่งก็ยังคงอยู่กับทั้งคู่ด้วยเช่นกัน
ครู่ต่อมา หยางซานรีบวิ่งมาตรงหน้าทั้งสามคนก่อนกล่าว “ท่านอ๋อง โรคระบาดได้แพร่กระจายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในใจของอวี้ฉู่จาวรู้สึกตะลึงงัน แต่เขายังคงแสดงออกด้วยท่าทีสงบ ทว่าหลินหร่านมิอาจแสดงท่าทีสงบนิ่งเช่นนั้นได้
หลังจากที่เขาถูกอวี้ฉู่จาวอุ้มหลงจากอาชา เขาก็มองไปทางท่านอ๋องกับหยางซานที่กำลังสนทนาเื่การแพร่ระบาดของโรคด้วยความตั้งใจ
หรงจิ่งก็ลงจากหลังอาชาด้วยเช่นกัน ตัวเขารับรู้เื่โรคระบาดนี้ เนื่องด้วยอวี้ฉู่จาวเคยบอกเื่นี้กับเขาแล้ว
เขาคิดว่า หากมีเวลาจะมาพูดคุยเื่นี้กับซูชิงเฟิงเพื่อจะได้รู้รายละเอียดของโรคนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
ถึงอย่างนั้น เหตุใดจู่ๆ จึงได้แพร่ระบาดได้เร็วนัก? มิใช่ว่าควบคุมการแพร่ระบาดโดยการเผาเมืองไปแล้วหรอกหรือ?
“เกิดเหตุระบาดได้อย่างไร?” อวี้ฉู่จาวถาม
“เกิดขึ้นที่เมืองแห่งหนึ่งในแถบชานเมืองของเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายห้ามักจะไปตรวจตราที่นั่น จึงทำให้ติดโรคระบาดกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” หยางซานเอ่ยตอบ
“ว่าอย่างไรนะ?” หรงจิ่งใไม่น้อย
ในตอนแรก เขาไม่ได้คิดว่าจะมีเื่ราวอะไรเป็พิเศษ แต่เวลานี้อวี้ฉู่หลิงกลับติดโรคระบาด เท่ากับว่าเื่นี้ต้องไม่ใช่เื่ธรรมดาทั่วไปแล้วแน่ๆ
“ขอบเขตของโรคระบาดกระจายไปมากถึงไหนแล้ว? แล้วรู้เื่นี้ได้อย่างไรกัน?” อวี้ฉู่จาวพาหลินหร่านเดินเข้าไปในตำหนัก โดยมีหรงจิ่งเดินตามเข้ามาด้วย
หยางซานที่เดินตามมาเช่นกันตอบกลับ “ขอบเขตนั้นมิได้กว้างนัก เพียงแค่กระจายอยู่ในชานเมืองเล็กๆ เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ภายหลังองค์ชายห้ากลับมาถึงเมืองหลวงก็รู้สึกไม่สบาย หลังจากหมอหลวงตรวจไม่พบอาการจึงได้ให้คนไปตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ”
“ซูชิงเฟิงกลับมาเมืองหลวงหรือยัง?”
“ตอนนี้หมอซูยังไม่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ แต่วันนี้คาดว่าจะกลับมาถึงโรงยาพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนคอยดูไว้ หากเขากลับมาให้รีบแจ้งทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบ หยางซานจึงได้ถอยออกไป
“ชิงเฟิงไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งเอ่ยถาม
อวี้ฉู่จาวที่กำลังจูงมือหลินหร่านเข้าไปนั่งในห้องโถงตอบ “เขาไปที่เขตผิงเพื่อดูว่าอาจมีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับเื่นี้อีก”
หรงจิ่งพยักหน้ารับ “ตอนนี้โรคระบาดแพร่มาสู่เมืองหลวงแล้ว อีกทั้งองค์ชายห้ายังติดโรคนี้ เกรงว่าผู้คนเ่าั้คงยากที่จะปกปิดเื่นี้เอาไว้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ โรคระบาดในเขตผิงได้ถูกคนกลุ่มหนึ่งอำพรางเอาไว้ ถึงขนาดลงทุนลงแรงทำให้เขตผิงต้องสูญหายไปจากบันทึก
ผู้ที่อยู่เื้ัเื่นี้คือผู้ใด เจตนาวางแผนชั่วร้ายเช่นนี้เนื่องด้วยเหตุใด
หากพูดกันตามตรงแล้ว เื่นี้ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
“เื่นี้เราอาจทำได้เพียงนั่งรอเป็ชาวประมง เป็ผู้รอรับผลประโยชน์ก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” แววตาของหรงจิ่งพลันเป็ประกาย
ทั้งสองคนสบตากัน เพียงเท่านั้นท่านอ๋องก็รับรู้ได้ทันทีว่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความมากเล่ห์เสียจริง
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านต้าซือหม่าในการวางแผนแล้ว” อวี้ฉู่จาวเผยรอยยิ้มออกมา “ทว่า เื่นี้อาจไม่ได้มีแค่โรคระบาดเสียแล้ว ต้องมีเงื่อนงำอีกแน่นอน”
อวี้ฉู่จาวกล่าวจบก็หันมาสบตากับหลินหร่าน ซึ่งหลินหร่านก็เข้าใจสิ่งที่ท่านอ๋อง้าบอกโดยพลัน
เวลาต่อมา หลินหร่านจึงหมุนตัวเดินเข้าไปยังเรือนด้านใน
-----------------------------------------------------
