“อ๊ะ เจียวเอ๋อร์ หน้าของเ้า...” ฟางซื่อเดินออกมาจากห้องครัว ก็เห็นอวิ๋นเจียวเดินออกมาจากห้องของพี่น้องฉี่เยว่ด้วยใบหน้าเปื้อนหมึก นางรีบหันไปเรียกชุนเหมยที่อยู่ในครัวทันที “ชุนเหมย รีบไปต้มน้ำให้เจียวเอ๋อร์ล้างหน้าเร็วเข้า”
“ท่านแม่ หน้าของข้าเป็อะไรไปหรือเ้าคะ?” อวิ๋นเจียวสงสัย ยกมือขึ้นอยากจะเช็ดหน้า ฟางซื่อรีบเดินเข้าไปจับมือของนางไว้ แล้วแบมือให้นางดู
ดำปี๋เลย! มือของนางเปื้อนหมึกมากขนาดนี้เชียวหรือ! แล้วใบหน้าของนางเล่า? มิน่าล่ะ เด็กคนนั้นถึงได้ยิ้มเ้าเล่ห์เช่นนั้น ที่แท้ก็กำลังหัวเราะเยาะนางอยู่นี่เอง!
เมื่อเห็นอวิ๋นเจียวที่ทั้งโกรธทั้งอาย ฟางซื่อจึงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยเร่ง “เอาล่ะ รีบไปล้างหน้าเถอะ”
กล่าวจบ ฟางซื่อก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องของพี่น้องฉี่เยว่
ฉู่อี้พอเห็นฟางซื่อเดินเข้ามาคนเดียว สายตาของเขาก็เหลือบมองไปด้านหลังอย่างแเี แต่กลับไม่เห็นเด็กสาวที่ชอบโมโหกลบเกลื่อนผู้น่ารักคนนั้น ในใจเขาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาประสานมือคำนับฟางซื่อด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจ “ขอบพระคุณท่านน้าและครอบครัวที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ขอรับ!”
ฟางซื่อเห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ย “โธ่เอ๋ย เ้ายังาเ็อยู่ รีบนอนลงก่อนเถอะ หิวหรือไม่ น้าจะไปอุ่นโจ๊กให้เ้าสักชามดีไหม?”
ฉู่อี้เองก็ไม่ได้เกรงใจ เอ่ยขอบคุณ “เช่นนั้นก็รบกวนท่านน้าแล้ว”
ฟางซื่อเห็นเขามีท่าทางสุภาพเรียบร้อย ไม่ได้แสดงความอึดอัดหรือไม่สบายใจแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใหญ่คนไหนเล่าจะไม่ชอบเด็กที่มีมารยาทเรียบร้อย ดังนั้นจึงรู้สึกชื่นชอบเขาเพิ่มขึ้นในใจไม่น้อย
ตอนที่อยู่ที่เมืองหลวง ฟางซื่อพบเห็นคุณชายคุณหนูจากตระกูลใหญ่ผู้สูงศักดิ์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งล้วนแต่หยิ่งยโสเชิดหน้ามองคนอื่นด้วยสายตาดูถูก พวกชนชั้นสูงศักดิ์เ่าั้ เคยเห็นหัวชาวบ้านตาดำๆ บ้างเสียที่ไหน แต่เด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้านาง แม้จะาเ็อยู่ แต่ก็ยังพยายามลุกขึ้นคำนับด้วยท่าทางจริงใจ ไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย
ฟางซื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยถาม “ว่าแต่เสื้อผ้าของเ้าขาดหมดแล้ว เ้าดูสิ?”
ฉู่อี้ “รบกวนท่านน้าช่วยข้าทิ้งมันไปก็พอ”
ฟางซื่อกล่าวเสริม “ของใช้ส่วนตัวของเ้า ข้าวางไว้ใต้หมอนของเ้าแล้ว” เขาพกพาหยกโบราณชิ้นหนึ่งติดตัวมาด้วย ฟางซื่อก็ถือว่าเคยเห็นของล้ำค่าจากในเมืองหลวงมาไม่น้อย หยกชิ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปจะมีได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่อี้นำหยกออกมาจากอกเสื้อ ลูบไล้แ่เบา ก่อนจะก้มหน้าลงมอง พลางยิ้มบางๆ “ขอบพระคุณท่านน้า เช่นนั้นรบกวนท่านน้าบอกข้าหน่อยเถิดว่า เชิญท่านหมอคนใดมารักษาข้า?”
เขารู้ดีว่าตนเองาเ็สาหัสเพียงใด ที่รอดชีวิตมาได้ คงเป็เพราะท่านหมอผู้มีฝีมือการแพทย์ล้ำเลิศ มิเช่นนั้น... ครั้งนี้เขาคงสิ้นใจไปแล้วแน่
ฟางซื่อไม่ได้ปิดบัง “ตอนนั้นแผลของเ้าสาหัสมาก แถมยังมีไข้สูง อันตรายมาก จึงไม่มีเวลาไปเชิญท่านหมอมา โชคดีที่บ้านเรามียาสมานแผล จากนั้นบุตรสาวข้าก็นำยาเม็ดที่ท่านนักพรตมอบให้มารักษาเ้า เ้าพักผ่อนเสียเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปยกโจ๊กมาให้”
แม้ว่าฉู่อี้ไม่ได้แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า แต่ในใจกลับตกตะลึงไม่น้อย หากมีเพียงยาสมานแผล เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะรอดชีวิตจากอาการาเ็นี้มาได้หรือไม่ ที่เขาฟื้นขึ้นมาเร็วเช่นนี้ เป็เพราะยาเม็ดที่ฮูหยินผู้นี้เอ่ยถึงหรือ? ยาเม็ดอะไรกัน ถึงได้มีสรรพคุณวิเศษเช่นนี้?
แล้วครอบครัวชาวนาธรรมดาๆ เช่นนี้ กลับยอมสละยาเม็ดล้ำค่าเช่นนี้เพื่อช่วยชีวิตเขา! บุตรสาวที่นางเอ่ยถึง คือเด็กสาวคนนั้นหรือไม่? ในใจฉู่อี้ตกตะลึง ดั่งคลื่นที่ซัดสาดรุนแรงไม่อาจสงบลงได้ กว่าเขาจะตั้งสติได้ ฟางซื่อก็เดินออกจากห้องไปแล้ว
ตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไป ดวงตาสีดำที่เ็าฉายแววเฉียบคมวูบวาบขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่ตาย เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่คนพวกนั้นจะต้องหวาดกลัวแล้ว...
ไม่นานนัก ฟางซื่อก็ยกโจ๊กมาให้ฉู่อี้ พร้อมกับยาอีกแปดเม็ด นางเอ่ยกำชับฉู่อี้ตามที่อวิ๋นเจียวบอก “ยาเม็ดพวกนี้มีสิบเม็ด เจียวเอ๋อร์บอกว่าให้กินหลังอาหาร มื้อละสองเม็ด วันละสามครั้ง วันนี้เ้ากินไปแล้วสองเม็ด หลังจากกินโจ๊กแล้วสักพักก็ค่อยกินอีกสองเม็ด เดี๋ยวข้าจะไปหาหมอมาตรวจร่างกายให้เ้า ร่างกายของเ้าอ่อนแอ แถมยังาเ็สาหัส ต้องกินยาบำรุงร่างกายเสียหน่อย”
“ท่านน้า ไม่ต้องลำบากแล้ว ข้าไม่เป็ไรแล้ว” ก่อนหน้านี้ยังไม่เรียกหมอ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่จำเป็แล้ว
“เช่นนั้นก็ได้ น้าจะเชื่อเ้า” กล่าวจบ ฟางซื่อรอให้ฉู่อี้กินโจ๊กหมดแล้วจึงยกชามออกไป
หลังจากนางออกไป ฉู่อี้ก็หยิบยาเม็ดที่ฟางซื่อให้ขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด ยาเม็ดพวกนี้ แตกต่างจากยาเม็ดที่เขารู้จักโดยสิ้นเชิง ลักษณะเป็ทรงกลมยาว มีรอยต่อตรงกลาง สีแดงสดเป็ประกายเงามัน เขาแกะยาเม็ดหนึ่งออกมา ปรากฏว่าผงยาข้างในร่วงหกกระจายออกมาจนหมดทันที เหตุใดถึงได้มียาเม็ดแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย?
“นี่มันยาให้เ้ากิน ไม่ใช่ให้เ้าเอามาเล่นจนสิ้นเปลืองเช่นนี้นะ!” ฟางซื่อกับชุนเหมยต้องเตรียมอาหารเย็น อีกทั้งในบ้านยังมีอะไรต้องทำอีกมากมาย ดังนั้นเื่ยกน้ำมาให้ฉู่อี้ จึงตกเป็หน้าที่ของอวิ๋นเจียว
อวิ๋นเจียววางกาต้มน้ำลงบนโต๊ะอย่างแรง จ้องมองฉู่อี้อย่างไม่พอใจ ที่นางมอบยาปฏิชีวนะให้เขา ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้เขาทำลายข้าวของของนางให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์นะ
“ขออภัย ข้า... ข้าแค่สงสัย” ยาเม็ดที่สามารถทำให้เขาหายไข้ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมเป็ยาที่ล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขากลับทำยาหายไปหนึ่งเม็ดต่อหน้าต่อตาเ้าของ ฉู่อี้เพิ่งเคยรู้สึกผิดเช่นนี้เป็ครั้งแรกในชีวิต
เขาจึงหยิบหยกออกมาจากอกเสื้อโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็แบ่งออกเป็สองส่วนต่อหน้าอวิ๋นเจียว แล้วยื่นให้นางครึ่งหนึ่ง “หยกชิ้นนี้ ถือเป็ค่าตอบแทนค่ายาของเ้าแล้วกัน”
อวิ๋นเจียวดูหยกไม่เป็ และมองไม่ออกว่าลวดลายบนหยกคืออะไร รู้สึกแค่ว่ามันดูโบราณและสวยงามดี แต่ก็ไม่รู้ว่าราคาแพงหรือไม่ ถึงกระนั้นนางก็รับมาอย่างไม่เกรงใจ เพราะยังไงซะยานี้ก็ซื้อมาจากเถาเป่าด้วยเงินจริงๆ ไม่ใช่ของที่เก็บมาจากที่ไหนเสียหน่อย
เมื่อเห็นท่าทางดูแคลนของอวิ๋นเจียว มุมปากของฉู่อี้ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกเบาๆ อย่างไม่ทันสังเกต แต่ครู่เดียวก็แปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มอบอุ่น “ยาเม็ดของเ้า สามารถรักษาได้สารพัดโรคเลยหรือ?”
อวิ๋นเจียวหัวเราะเยาะ “จะมียาอะไรที่รักษาได้สารพัดโรคกันเล่า? สิ่งใดก็ตามที่เรียกว่ายา ย่อมต้องรักษาตามอาการ ถ้าใช้ถูกก็เป็ยาดีรักษาโรค แต่ถ้าใช้ผิดก็เป็ยาพิษ ยาเม็ดที่ท่านถืออยู่ ท่านนักพรตบอกว่าใช้รักษาอาการอักเสบและแผลภายนอกติดเชื้อ อย่าถามข้าว่ามันหมายความว่าอะไร ข้าเองก็ไม่รู้ ท่านนักพรตที่มอบยาให้ข้าเป็คนบอกวิธีกินให้แก่ข้าเท่านั้น”
“ข้าคิดมากไปเอง” เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเจียวไม่้าพูดอะไรมาก ฉู่อี้จึงไม่ได้ซักถามต่อ เขากินยาไปสองเม็ดต่อหน้านาง
“เจียวเอ๋อร์!”
“เอ๊ะ เ้าฟื้นแล้วหรือ? ข้าชื่ออวิ๋นฉี่ซาน นี่น้องสาวข้าอวิ๋นเจียว ส่วนนี่พี่ชายข้าอวิ๋นฉี่เยว่” ขณะนั้น อวิ๋นฉี่เยว่กับอวิ๋นฉี่ซานก็เดินเข้ามา อวิ๋นฉี่เยว่เหลือบมองฉู่อี้ด้วยสายตาเ็า ก่อนจะดึงอวิ๋นเจียวไปหลบข้างหลัง ส่วนอวิ๋นฉี่ซาน เดินเข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้นโดยไม่ทันสังเกตเห็นสายตาคมกริบของพี่ชายที่มองมา
“ฉู่อี้” รอยยิ้มอ่อนแรงปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉู่อี้ ขณะที่สายตามองผ่านอวิ๋นฉี่เยว่ไป รอยยิ้มในดวงตาทอประกายเข้มขึ้น อวิ๋นฉี่เยว่มีท่าทีระแวดระวังและป้องกันตัวจากเขาโดยสัญชาตญาณ ราวกับ... กำลังระวังขโมย!
“อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ เ้ากำลังทำอะไร?” ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงฟางซื่อดังมาจากนอกประตูด้วยความโกรธ อวิ๋นเจียวกับพี่ชายทั้งสองคนจึงรีบละจากฉู่อี้ออกมาทันที
พอเดินออกมาก็เห็นฟางซื่อยืนขวางอวิ๋นเหมยเอ๋อร์กับเถาซื่ออยู่ที่หน้าประตูห้องของอวิ๋นเจียว ส่วนเอวของอวิ๋นเหมยเอ๋อร์นั้นดูหนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด