หลายวันมานี้ชุยซั่วที่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก กำลังรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นกว่าทุกวัน
สิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าเก่าของเขา คือการได้รับของดีจากแดนสุสานอสูร นั่นคืออาวุธิญญาชั้นดีชิ้นหนึ่ง อาวุธิญญาชิ้นนี้ทำให้พละกำลังของเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก นั่นทำให้เขาเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อย ผ่อนคลายความกังวลเื่ฉินอวี่ที่มีอยู่แต่เดิม
นอกจากนี้ คงไม่มีสิ่งใดที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการได้เพลิงอสุนีอันทรงพลังของสำนักเทียนหั่ว!
ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาได้ยินเื่เกี่ยวกับเพลิงอสุนีมามากมาย กล่าวกันว่าเพลิงอสุนีมีความแข็งแกร่งมากกว่าเพลิง์ที่ปรมาจารย์สำนักเทียนหั่วเคยเสียอีก!
แม้ว่าจะต้องเสียสละผู้าุโระดับเขตแดนเต๋าไปหนึ่งคน แต่ชุยซั่วก็ไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ การสูญเสียผู้แข็งแกร่งไปหนึ่งคน แต่ได้เพลิงอสุนีเช่นนี้ จะต้องไปสนใจอะไรอีกหรือ? ขอเพียงมีเพลิงอสุนี สถานะของสำนักเทียนหั่วในแดนตะวันออกของเมืองนภาชิงเหลียนจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากจนเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในอนาคตอาจจะมีสถานะที่สูงส่งกว่าสำนักโบราณเทียนหลงก็เป็ได้
ชุยซั่วเดินเข้าไปในร้านขายยาหมื่นสรรพสิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์พี่ใหญ่หวัง เขาก็ยืดเอวขึ้นอย่างกระตือรือร้นและเกรงกลัวเป็พิเศษ ด้วยระดับการฝึกฝนและสถานะของศิษย์พี่ใหญ่หวัง ในภายภาคหน้าเขาจะต้องกลายเป็ผู้นำของสำนักเทียนหั่วอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น สถานะของตนเองก็จะต้องเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
เมื่อเขาเห็นจื่อซวินเอ๋อที่กำลังพูดกับชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในขณะนี้ เขาจึงรีบหันศีรษะและมองไปที่ชายหนุ่มผู้เป็หัวหน้าด้วยรอยยิ้ม และกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่หวัง นั่นคือนักปรุงยาจื่อมิใช่หรือ?”
ชายหนุ่มผู้เป็หัวหน้าสังเกตเห็นจื่อซวินเอ๋อมานานแล้ว รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มของเขา เขามองมาที่ชุยซั่วอย่างชื่นชม จากนั้นก็เดินตรงไปทันที
“นักปรุงยาจื่อ ไม่พบกันนานเชียว” ชายหนุ่มผู้เป็หัวหน้าเดินนำเข้าไปหาจื่อซวินเอ๋อ แสร้งทำเป็พูดอย่างเคร่งขรึม
จื่อซวินเอ๋อหรี่ตามองชายหนุ่มผู้เป็หัวหน้า และพูดด้วยความประหลาดใจ “สหายหวังผิง?”
“ผู้น้อยเอง” ชายหนุ่มผู้นำยิ้มแย้มอย่างพอใจ และดูจะมีความสุขมากที่จื่อซวินเอ๋อจดจำตนเองได้
“มานี่สิอี้จ้านเทียน ผู้นี้คือหวังผิง บุตรผู้ภาคภูมิแห่ง์ของสำนักเทียนหั่ว สหายหวังผิง ผู้นี้คืออี้จ้านเทียนแห่งสำนักโบราณเทียนหลง” จื่อซวินเอ๋อยิ้มและแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
สีหน้าของหวังผิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เขาก็หรี่ตามองไปยังอี้จ้านเทียนที่อยู่ในชุดขาว
ต้องบอกเลยว่า อี้จ้านเทียนผู้นี้มีความเหนือกว่าหวังผิงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็เื่ของรูปลักษณ์หรืออุปนิสัย เขามีความสูงกว่าหกฉื่อ คิ้วโค้งเรียวเหมือนกระบี่ ดวงตาเป็ประกายดุจดวงดาว แม้ว่าร่างกายจะดูผอมบางแต่พลังปราณของเขากลับแข็งเหมือนก้อนหิน ผมสีดำยาวปรกไหล่ จากรูปลักษณ์แล้วดูสง่างามสมเป็สุภาพบุรุษ
แต่สิ่งที่ทำให้หวังผิงเคร่งขรึมไปไม่ใช่เพราะเื่บุคลิกหรือรูปร่างหน้าตา แต่เป็เพราะชื่อเสียงของอี้จ้านเทียน ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็ผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในแดนตะวันออกของเมืองนภาชิงเหลียน
ร่ำลือกันว่า อี้จ้านเทียนผู้นี้ เดิมมีชื่อว่าอี้เจาฮุย และเนื่องจากเขาได้รับการสืบทอดวิชาจ้านเทียนซึ่งเป็หนึ่งในวิชาสืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักโบราณเทียนหลง มีความแข็งแกร่งของพละกำลังที่ไม่อาจเทียบได้ ทำให้เขากลายเป็หนึ่งในสิบอันดับแรกของบรรดาคนรุ่นใหม่ฝั่งแดนตะวันออกแห่งเขตแดนนภาชิงเหลียน จนถูกผู้คนขนานนามใหม่เป็อี้จ้านเทียน!
หวังผิงนึกไม่ถึงเลยว่าอี้จ้านเทียนผู้เลื่องชื่อจะยืนอยู่กับจื่อซวินเอ๋อ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองคนยังดูสนิทสนมกันมาก เื่นี้ทำให้หวังผิงมีความประหลาดใจอย่างยิ่ง เดิมทีเขาคิดว่านางเป็เพียงศิษย์สำนักในของสำนักกุยหยวน แต่ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว... จื่อซวินเอ๋อดูเหมือนจะไม่ธรรมดากว่าที่คิด สิ่งนี้ทำให้ความปรารถนาในใจของหวังผิงยิ่งแข็งแกร่งจนแทบล้นทะลักออกมา
ผู้หญิงเช่นนี้สิ จึงจะเหมาะสมกับคนอย่างข้าหวังผิง
อี้จ้านเทียนเป็คนเรียบง่าย เขามองไปที่หวังผิงแล้วยิ้มอย่างใจเย็น “ที่แท้เ้าก็คือหวังผิง สหายหวัง ครั้งนี้สำนักเทียนหั่วได้อะไรไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
หวังผิงจ้องไปทางอี้จ้านเทียน และพบว่าอี้จ้านเทียนมีท่าทางที่สงบ ดวงตาของเขาลึกล้ำ มองดูแล้วไร้ซึ่งการเสแสร้ง สิ่งนี้ทำให้หวังผิงเริ่มยอมรับนับถือในตัวเขา
แดนสุสานอสูรอยู่ในขอบเขตอำนาจของสำนักโบราณเทียนหลง ด้วยท่าทีของสำนักโบราณเทียนหลง กล่าวได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักโบราณเทียนหลง ก็ต้องเป็วัตถุของสำนักโบราณเทียนหลง เมื่อเป็เช่นนี้ สำนักโบราณเทียนหลงและสำนักเทียนหั่ว จึงต้องกลายเป็ศัตรูต่อกัน แต่อี้จ้านเทียนกลับดูเป็คนเรียบง่าย ไม่เหมือนคนของสำนักโบราณเทียนหลง ด้วยท่าทางที่ดูมีความอดทนและนิ่งขรึมนี้ ทำให้หวังผิงอดไม่ได้ที่จะมองอยู่หลายครั้ง
หวังผิงยิ้มอย่างขมขื่นทันทีและพูดว่า “การที่ผู้าุโระดับสูงแห่งสำนักเทียนหั่วต้องเอาชีวิตเข้าแลกจะเรียกว่าความโชคดีได้อย่างไร? หากมีผู้แข็งแกร่งสำนักโบราณเทียนหลงรวมตัวกันมาเป็จำนวนมากจริงๆ พละกำลังก็คงยิ่งยากที่จะคาดเดา” ในครั้งแรกที่หวังผิงได้ยินเื่นี้ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยเช่นกัน ในตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าล้วนแต่ต้องเลือกอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สำนักเทียนหั่วสามารถตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองนภาชิงเหลียนได้ ก็เพราะมีผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเต๋าสองคนคอยกำกับดูแล แต่ไม่นึกว่า เพียงเพื่อจะได้เพลิงอสุนี ผู้าุโระดับเขตแดนเต๋าคนหนึ่งถึงขั้นยอมสละตนเอง นี่เป็สิ่งแสดงให้เห็นว่าเพลิงอสุนีนั้นวิเศษเพียงใด
อี้จ้านเทียนยิ้มอย่างเฉยเมยและไม่ปฏิเสธ ในฐานะที่สำนักโบราณเทียนหลงคือผู้มีกำลังสูงสุดในแดนตะวันออกของแดนนภาชิงเหลียน ซึ่งเป็ที่รู้จักกันมานาน เขาจึงไม่จำเป็ต้องรักษาความสุภาพอันใด และพูดอย่างเฉยเมย “สหายหวังเกรงใจเกินไปแล้ว เื่ตำหนักเต๋าในแดนสุสานอสูรครั้งนี้ได้รวบรวมบุตรผู้ภาคภูมิของ์แห่งแดนตะวันออกไว้เป็จำนวนมาก ในฐานะเป็เ้าภาพ จึงจำเป็ต้องทำหน้าที่ของเ้าบ้านให้ดีที่สุด สิบวันจากนี้ไป ข้าจะต้องร่วมงานเลี้ยงในวังหลวงแคว้นอู่ ถึงเวลานั้นหวังว่าคงจะได้พบกับสหายหวังและศิษย์น้องหญิงของเ้านะ”
“งานเลี้ยงของพี่อี้พวกข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน” หวังผิงพยักหน้า และไม่เกรงกลัวว่าจะเป็งานเลี้ยงอำพรางที่อาจมีแผนการอะไรซ่อนอยู่ ยิ่งกว่านั้น การได้พบกับบุตรอันภาคภูมิของ์สุดอัจฉริยะแห่งแดนตะวันออกย่อมเป็ประโยชน์กับเส้นทางในอนาคตของเขาอย่างยิ่ง
“ตกลงตามนั้น เช่นนั้นข้าขอตัวไปเตรียมตัวก่อน นักปรุงยาจื่อ อย่าลืมแจ้งพี่ถงให้ข้าด้วยล่ะ” พูดจบ อี้จ้านเทียนก็ขอตัวกลับออกไป
เมื่อเดินไปส่งอี้จ้านเทียนจนถึงประตูแล้ว ใบหน้าของจื่อซวินเอ๋อก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น นางหันหลังกลับไปมองหวังผิง “สหายหวัง ไม่ทราบว่ามาครั้งนี้เ้ามีธุระอะไร?”
หวังผิงจ้องไปที่จื่อซวินเอ๋อด้วยดวงตาที่ดูร้อนแรง ก่อนจะพูดขึ้นพลางยื่นแหวนมิติให้นางวงหนึ่ง “ก็ไม่มีเื่อะไรมากนัก ข้าแค่ได้ยินมาว่าศิษย์น้องที่โง่เขลาของข้าได้ทำให้นักปรุงยาจื่อขุ่นเคือง ดังนั้น ข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอโทษนักปรุงยาจื่อแทนเขา นี่คือเจตนาของศิษย์น้องข้า ขอนักปรุงยาจื่อโปรดรับไว้ด้วย”
จื่อซวินเอ๋อกลอกตาไปทางชุยซั่วซึ่งกำลังเต็มไปด้วยความกังวลใจ นางจึงพูดออกไปอย่างเฉยเมยโดยไม่มองวงแหวนมิติ “แค่เื่เล็กน้อย สหายหวังเกรงใจเกินไปแล้ว”
“หลายวันมานี้ศิษย์น้องของข้ามักจะเป็กังวลเื่นี้อยู่เสมอ หากนักปรุงยาจื่อไม่รับไว้ เกรงว่าเขาคงยากจะสงบใจได้” หวังผิงกล่าวต่อ
จื่อซวินเอ๋อได้ยินดังนี้ นางจึงรับวงแหวนมิติมาจากหวังผิงทันที
ชุยซั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าครั้งนี้เขาจะต้องาเ็อีกครั้ง แต่เมื่อได้ระบายเื่นี้ออกไป ก็นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก นับั้แ่เกิดเหตุการณ์ของฉินเสวี่ยเมื่อครั้งล่าสุด ชุยซั่วก็ตื่นตระหนกเป็อย่างมาก และด้านฉินหย่งและฉินเฟิงต่างก็ใกลัวจนไม่กล้าออกไปไหน จนต้องย้ายไปพักในตระกูลชุยเช่นกัน
“ได้ยินศิษย์น้องชุยบอกว่า นักปรุงยาจื่อกับฉินอวี่และฉินเสวี่ยทั้งสองพี่น้อง มีความสนิทสนมกันหรือ?” หวังผิงเหลือบมองชุยซั่วและยิ้มอย่างเฉยเมย
“ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น ข้าเพียงแต่สงสารฉินเสวี่ย ส่วนฉินอวี่อะไรนั่น ข้าไม่รู้จักหรอก” จื่อซวินเอ๋อพูดช้าๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อเป็เช่นนี้ ในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า ศิษย์น้องของข้าก็คงไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว ไม่ได้พบนักปรุงยาจื่อเสียนาน จะดีกว่าหรือไม่หากจะลองให้โอกาสศิษย์น้องชุยพาพวกเราไปร่วมลิ้มรสอาหารชั้นเลิศของเมืองหลักเทียนอู่สักหน่อย?” หวังผิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และถามอย่างมีความหวัง
จื่อซวินเอ๋อยิ้มหวาน “ความหวังดีของสหายหวังนั้น ซวินเอ๋อรับไว้แล้ว รออีกสิบวันข้างหน้าพวกเราค่อยพบกันในวังหลวง เป็อย่างไร?”
“ก็ดี จริงสิ นักปรุงยาจื่อ ที่นี่พอจะมีโอสถที่ช่วยเสริมพละกำลังได้ในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่? เช่นยาะเิกาย?” หวังผิงเอ่ยออกไปอย่างไม่อิดออด
หลังจากพวกหวังผิงกลับออกไปจนหมดแล้ว จื่อซวินเอ๋อก็กลับไปยังหอพำนักของตนเอง และเอนตัวลงบนเก้าอี้หวาย นางหยิบแหวนมิติวงนั้นออกมาและกวาดสายตาครู่หนึ่ง ก่อนอดที่จะพึมพำกับตนเองไม่ได้ “เป็มูลค่าที่มากมายนัก แต่น่าเสียดายนี่ดูจะบุ่มบ่ามไปหน่อย... ความทะเยอทะยานของอี้จ้านเทียนมีมากยิ่งนัก หรือสำนักโบราณเทียนหลงอาจจะทำอะไรบางอย่าง?... งานเลี้ยง... ควรจะเชิญเขามาดีหรือไม่? หากเขาไปด้วยคงจะมีสีสันน่าดู?”
...
ในโรงเตี๊ยม
ฉินอวี่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากการทำสมาธิ การแสดงออกของเขานิ่งสงบ ยกมือขวาขึ้นมา พลังิญญาก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วทั้งห้าทันที พลังิญญานี้สามารถเรียกได้ว่าพลังปราณเสถียร
แม้ว่าพลังปราณเสถียรจะถูกจัดว่าเป็พลังิญญา แต่มีพลังการโจมตีโอบล้อมอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้นจึงเรียกมันว่าพลังปราณเสถียร
ในระยะเวลาครึ่งเดือน ฉินอวี่ก็ก้าวสู่ขั้นปราณเสถียรได้สำเร็จ
“สมแล้วที่เป็ร่างอสุนีลึกลับ ในระดับขั้นปราณเสถียรจะมีพลังของสายฟ้าที่เข้มข้น หากสามารถเรียนรู้วิชายุทธ์อสุนีได้ บางทีอาจจะใช้พลังออกมาได้มากยิ่งขึ้น ถงอวิ๋นเฟยอยู่ในเผ่ายุทธ์ทองคำ แม้เขาจะระงับระดับฝึกฝนไว้ พลังของเขาก็ยังยากที่จะเทียบได้ เพราะข้ามีพลังของปีศาจคลั่ง ข้าจึงไม่รู้สึกเกรงกลัว แต่ถึงอย่างไร ทักษะการต่อสู้ของเผ่ายุทธ์ทองคำก็ไม่อาจมองข้ามได้” ฉินอวี่พึมพำ
“น่าเสียดายที่มีเวลาน้อยเกินไป หาก้าฝึกฝนให้สำเร็จวิชายุทธ์อสุนีในระยะเวลาอันสั้น เกรงว่าจะต้องใช้ไปมากยิ่งนัก” ฉินอวี่ครุ่นคิด และมองไปยังจุดตันเถียนที่อยู่ภายใน
เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน จุดตันเถียนได้ขยายออกไปอย่างมาก พลังิญญาที่บรรจุอยู่ภายในก็ไม่สามารถอธิบายถึงความยิ่งใหญ่นี้ได้ เมื่อหันมองดูเมล็ดพันธุ์คืนชีพในจุดตันเถียน ฉินอวี่ก็จมดิ่งลงไปในความคิดของตนเองทันที
เนื่องจากตำราโบราณที่เขาอ่านมา แทบไม่มีการแนะนำเื่ของเมล็ดพันธุ์คืนชีพอย่างละเอียดเอาไว้เลย ฉินอวี่จึงไม่ค่อยรู้เื่เมล็ดพันธุ์คืนชีพมากนัก ดังนั้นเขาจึงอาศัยการศึกษาและสังเกตด้วยตนเอง
เมื่อนึกถึงฉากสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติไปในดินแดนที่ถูกผนึกและความรู้สึกเร่าร้อนใน่ท้องในตอนนั้น ในใจของฉินอวี่ก็ใอย่างมาก เขาได้ยินผู้คนจำนวนมากกล่าวถึงการที่สำนักเทียนหั่วได้รับเพลิงอสุนีไปมาตลอดทาง ผนวกกับที่สยงท่าเทียนได้กล่าวเอาไว้ มีความเป็ไปได้ว่าจะต้องเป็เื่จริงแน่นอน เพียงแต่... สิ่งที่ฉินอวี่ยังไม่เข้าใจก็คือ หากสำนักเทียนหั่วได้เพลิงอสุนีแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในร่างกายของตนเองคืออะไรกัน?
“จากฉากสุดท้ายนั้นจะเห็นได้ว่า พลังของสายฟ้าควรจะหมดไปพร้อมกับเือสูร และเม็ดพันธุ์คืนชีพก็น่าจะดูดซับพลังของสายฟ้ามาแล้ว แต่หากเป็เช่นนี้... แล้วสิ่งที่สำนักเทียนหั่วได้ไปคืออะไรกันแน่? ไม่มีพลังของสายฟ้า แล้วจะเรียกเพลิงอสุนีได้หรือ?” ฉินอวี่ยิ่งสับสนมากขึ้น
ผ่านไปเป็เวลานาน
ท่าทีของฉินอวี่ยิ่งดูแปลกมากขึ้น ก่อนพูดขึ้นมา “เป็ไปได้ว่าสำนักเทียนหั่วนั้นคงจะดูดซับไปเพียงเพลิงฟ้าดินเท่านั้นไม่ใช่ ‘เพลิงอสุนี’ ไม่มีพลังของสายฟ้าอยู่แล้ว ฉะนั้นคงจะเรียกมันได้อย่างดีที่สุดว่าเป็เพียงเพลิงฟ้าดิน...”
“ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อครั้งก่อนเป็เื่จริงหรือไม่ ว่าสำนักเทียนหั่วยอมเสียสละผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าไปคนหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งเพลิงอสุนี หากเป็เื่จริง เช่นนั้นแล้วสำนักเทียนหั่วนับว่าได้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว เสียสละผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเต๋าเพื่อแลกกับเพลิงฟ้าดิน? นี่คงเป็เื่ตลกสิ้นดี...”
ฉินอวี่เริ่มประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว จนเริ่มแน่ใจได้แน่นอนว่าวานราคงจะบุกเข้าไปในดินแดนที่ถูกปิดผนึกไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อตามหาเพลิงอสุนีแต่สุดท้ายกลับต้องพบจุดจบที่น่าอนาถ และเป็ไปได้ยากมากที่ผู้ฝึกฝนขั้นเขตแดนเต๋าทั่วไปจะสามารถดูดซับเพลิงอสุนีไว้ได้... ดังนั้น สิ่งที่ปรมาจารย์สำนักเทียนหั่วได้ไป ไม่ใช่เพลิงอสุนีของแท้อย่างแน่นอน
ฉินอวี่มีความสุขขึ้นมาทันที ครึ่งเดือนจากนี้ไป ถ้าเขาฆ่าชุยซั่วได้ เขาก็จะรุกรานสำนักเทียนหั่วอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นสำนักเทียนหั่วต้องพบความสูญเสียอันยิ่งใหญ่
“สามารถจินตนาการได้เลยว่า ปรมาจารย์คนนั้นของสำนักเทียนหั่วคงจะต้องอารมณ์เสียอย่างมาก แม้ว่าจะต้องพบความทุกข์ทรมานก็ไม่อาจพูดอะไรได้ ได้แต่เพียงกลืนกินการสูญเสียเหล่านี้ไปเท่านั้น...”
“หากใครคนอื่นรู้ว่าสิ่งที่สำนักเทียนหั่วได้ไปไม่ใช่เพลิงอสุนี และยังต้องเสียสละผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าไปอีกหนึ่งคน สำนักเทียนหั่วจะต้องกลายเป็ตัวตลกของผู้คนแน่นอน และคงจะต้องพบกับหายนะจนถูกทำลายล้าง! ท้ายที่สุด การสูญเสียผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าครั้งนี้ได้ทำให้พละกำลังของสำนักเทียนหั่วสูญเสียไปอย่างมาก...”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ควรไปคิดอะไรตอนนี้ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดของข้าคือการลองว่าสามารถยืมใช้พลังของสายฟ้าได้หรือไม่ แม้ว่าจะไม่ได้ ก็ต้องรวมพลังของอสุนีดำที่บรรจุอยู่ในพลังิญญาของจุดตันเถียนไว้ เมื่อถึงเวลา มันอาจจะเป็ไพ่ไม้ตายของข้าก็ได้” ฉินอวี่พูดกับตนเอง