หลังแหย่กระต่ายเล่นได้สักพัก เจิ้งเอ้อร์หนิวก็กลับไปทำงาน
เด็กครอบครัวยากจนจะดูแลเื่ภายในบ้านั้แ่เล็ก เด็กชายอายุแปดขวบก็สามารถทำหน้าที่กำลังแรงงานได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เขายังมีเจิ้งซานนีน้องสาววัยสี่ขวบให้ต้องดูแล เจินจูรู้สึกปลงอยู่ในใจ เด็กชายที่อายุน้อยขนาดนี้ รู้จักดูแลน้องสาวแล้ว เด็กยุคปัจจุบันที่โตเหมือนเขาเช่นนี้ คาดว่ายังอ้อนอยู่ในอ้อมอกบิดามารดาอยู่เลย
เมื่อให้ผลพุทราจีนสองกำมือไปในตะกร้าของเอ้อร์หนิวเสร็จจึงโบกมือลา
หมุนกายกลับมาเจอผิงอันที่หมุนติ้วอยู่รอบกระต่าย ความคิดสว่างวาบขึ้นมา ไม่สามารถจับกระต่ายได้ตามอำเภอใจ เช่นนั้นก็จับมาเลี้ยงสักสองสามตัว กระต่ายสืบพันธุ์เก่งมาก จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งดูรายการเกี่ยวกับการเลี้ยงกระต่ายช่องการเกษตรเป็เพื่อนบิดา เธอจำได้แม่น ตอนนั้นอดก้มลงกราบให้กับความสามารถในการสืบพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ของกระต่ายไม่ได้ เพราะทุกปีกระต่ายสามารถสืบพันธุ์ตั้งท้องได้สี่ถึงห้าคอก กระต่ายตัวเมียหนึ่งตัว ปีหนึ่งสามารถให้กำเนิดลูกกระต่ายได้ยี่สิบถึงสามสิบตัว หากเลี้ยงดีก็ยิ่งสามารถออกลูกได้มาก
เจินจูนั่งยองๆ ข้างตะกร้าไผ่สานมองกระต่าย คาดเดาเพศกระต่ายตัวนี้ มันอ้วนขนาดนี้ เพราะท้องลูกกระต่ายอยู่หรือไม่? ดวงตาของเธอเป็ประกาย จำได้ว่าในรายการเคยแนะนำการแยกกระต่ายว่าตั้งท้องหรือไม่อย่างไรอยู่ จึงพลิกตะกร้าไผ่สานด้วยความระมัดระวัง คว้าหูกระต่ายมาจับไว้แน่น ค่อยๆ จับมันพลิกหงายท้องขึ้นฟ้า กระต่ายถีบขาหลังไม่ให้ความร่วมมือเล็กน้อย
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรน่ะ?” ผิงอันที่อยู่ด้านข้างมองอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ผิงอัน เ้าช่วยข้าจับขาหลังกระต่ายที อย่าให้มันขยับ เบาๆ เล่า”
“อ้อ” แม้ผิงอันไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไร แต่เขาก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง
ผิงอันถือโอกาสกดขาหลังกระต่ายไว้ เจินจูค่อยๆ คลำส่วนท้องของกระต่าย ตอนเธอคลำเจอรูปร่างลักษณะทรงกลมเป็พวง ก็ร้องดีใจออกมาในชั่วพริบตา
“เย้ มีลูกกระต่ายจริงด้วย ผิงอัน ต่อไปครอบครัวเราไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเนื้อกระต่ายกินแล้ว ฮ่าๆ…” กล่าวจบก็วางกระต่ายลงเบาๆ คลุมตะกร้าไผ่สานอีกครั้ง
ผิงอันงงงวยพักหนึ่ง กล่าวอย่าใไม่เชื่อ “ท่านพี่ ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีลูกกระต่าย ท่านไม่เคยเลี้ยงกระต่ายเสียหน่อย?”
“เอ่อ…ท้องของมันคลำแล้วมีพวงเล็กกลมๆ นั่นเป็ลูกกระต่าย พอผ่านไป่หนึ่งคลอดออกมาก็จะมีลูกกระต่ายเยอะแล้ว ถึงตอนนั้นเ้าต้องขยันหน่อย ขุดหญ้าที่กระต่ายชอบกินมามากๆ รอหลังจากนี้สองสามเดือนกระต่ายจะสามารถคลอดลูกออกมาได้อีก เช่นนี้พวกเราจะมีกระต่ายเยอะขึ้น ทั้งสามารถขายหารายได้ และมีเนื้อกระต่ายกินด้วย” เธอกล่าวอย่างอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนกับตรงหน้ามีกระต่ายกลิ้งหลุนๆ อยู่เป็ฝูงใหญ่
ผิงอันถูกฉากในอนาคตที่เธอร่างไว้ดึงดูด ครั้งล่าสุดที่เขาได้กินเนื้อกระต่าย เป็ตอนปีใหม่ปีที่แล้ว นึกถึงเนื้อเด็กหนุ่มก็น้ำลายสอ ครอบครัวหูใช้ชีวิตยากจน ตลอดทั้งปีได้กินเนื้อไม่กี่ครั้ง อาหารประจำวันทั่วไปเป็อาหารมังสวิรัติ พวกถั่ว แตง และผักกวางตุ้ง กินวนเวียนตามลำดับ บางครั้งใส่เนื้อไก่ลงไปก็ถือว่าดีมากแล้ว
“ท่านพี่ ข้าจะขยัน กระต่ายกี่ตัวข้าล้วนให้อาหารได้ แต่จะมีกระต่ายเยอะเพียงนั้นจริงหรือ?”
“แน่นอน กระต่ายหนึ่งคอกมีลูกกระต่ายประมาณสี่ห้าตัว กระต่ายตัวเมียหนึ่งตัวปีหนึ่งก็สามารถให้กำเนิดได้สี่ห้าคอก แต่ต้องเลี้ยงให้ดี นานไปกระต่ายจะยิ่งมีเยอะ ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถคิดได้แล้วว่าจะทานอย่างไรจะกินอย่างไร” เจินจูคำนวณแล้วหัวเราะเหอเหอ
ผิงอันกลืนน้ำลายที่ไหลออกมาเข้าไป คิดถึงปัญหาตามสภาพความเป็จริง “ท่านพี่ กระต่ายเยอะเพียงนั้นจะปล่อยเลี้ยงได้ที่ไหนกัน? บ้านเราไม่มีกรงใหญ่เพียงนั้นหรอก?”
“พวกเราเลี้ยงกระต่ายตัวนี้ให้ดีก่อน รอท่านพ่อกลับมาค่อยบอกให้ท่านทำกรงใหญ่หน่อย” กำลังแรงงานหลักของบ้านไม่อยู่ งานฝีมือเหล่านี้ก็ไม่มีวิธีจัดการ เจินจูได้แต่เฝ้ารอให้ท่านพ่อกลับบ้านมาเร็วขึ้นอีกหน่อย
ปัญหาการเลี้ยงต่างๆ ของกระต่ายที่รื้อออกมาจากความทรงจำของเจินจูมีจำกัด เธอตั้งใจสอนแต่ละอย่างให้แก่ผิงอัน กระต่ายไม่สามารถกินใบหญ้าหรือใบผักที่เปียกน้ำได้ กระต่ายไม่ชอบสภาพแวดล้อมเปียกชื้น กระต่ายไม่สามารถกินน้ำดิบได้ และอื่นๆ อีกมากมาย…
เมื่อทั้งสองกำลังพูดคุยกันถึงปัญหาของกระต่ายอย่างคึกคักกระตือรือร้น เสียงกังวานหูดังสะท้อนมาจากนอกลานบ้าน “เจินจู ผิงอัน พวกเ้ากำลังทำอะไรกัน?”
สองคนหันศีรษะไปมองพร้อมกัน ชุ่ยจูถือตะกร้าเดินเข้าประตูบ้านมา
“พี่รอง!” คนทั้งสองเรียกออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ฮ่าๆ มาเร็ว วันนี้มีของอร่อย ท่านแม่เ้ากำลังช่วยที่บ้านข้าอยู่ อาหารเที่ยงก็ทานที่นั่นเลย วันนี้ท่านย่าฆ่าไก่ เก็บไว้ให้พวกเ้าถ้วยหนึ่ง อีกสักพักพวกเ้าทานข้าวเที่ยงกันเลยนะ” ขณะพูดก็ประคองเนื้อไก่ถ้วยหนึ่งออกมาจากตะกร้า เนื้อไก่หอมกลิ่นโชยยั่วให้ทั้งสองเกิดน้ำลายสอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจินจูกลืนน้ำลาย เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตนเองจะหิวโหยเนื้อเช่นนี้ เธอในอดีตแม้จะไม่อ้วน แต่ยุคปัจจุบันความผอมเป็ดั่งพระาา การลดน้ำหนักเป็ภารกิจหลักชั่วชีวิตของผู้หญิงทุกคน ตอนนี้กลับกัน ผอมจนคล้ายกับผู้ลี้ภัยทวีปแอฟริกา ซี่โครงบนหนังท้องเป็ซี่ชัดเจน มิน่าเล่าถึงเห็นเนื้อแล้วดวงตาสองข้างจะประกาย
“ว้าว มีเนื้อไก่ทาน!” ผิงอันะโขึ้นมาด้วยความเริงร่า วนรอบชุ่ยจูอยู่พักหนึ่ง ไก่ในบ้านล้วนเลี้ยงไว้ออกไข่ ธรรมดาแล้วต้องมีเทศกาลสำคัญจึงจะสามารถกินเนื้อไก่ได้
“ไม่ต้องรีบ น่องไก่เก็บไว้ให้เ้าแล้ว” ชุ่ยจูมองเขาอย่างขบขัน
“พี่รอง ท่านมาดูนี่สิ ท่านพี่ข้าจับกระต่ายได้ ในท้องกระต่ายมีลูกกระต่ายด้วย รอให้มันคลอดออกมาแล้ว บ้านเราจะมีลูกกระต่ายน้อยเยอะแยะแน่นอน พอลูกกระต่ายโตแล้วก็สามารถให้กำเนิดลูกกระต่ายได้มากขึ้นไปอีก ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะมีกระต่ายเป็ฝูงใหญ่” ผิงอันชี้กระต่ายที่ล้ำค่าในตะกร้าไผ่สานแล้วกล่าวพรรณนาภาพในอนาคตที่นำกระต่ายมาเลี้ยงแบบนกแก้วพูดตามคน [1]
ชุ่ยจูฟังอย่างตะลึง วางของในมือลง เดินรอบกระต่ายอยู่สองสามรอบ ใบหน้าสวยงามดวงเล็กนั่น แสดงสีหน้ายิ้มแล้วกล่าว “กระต่ายค่อนข้างอ้วนพีเลย รู้ได้อย่างไรว่ามันท้องลูกกระต่ายอยู่กัน?”
นางถามคำถามเดียวกันกับผิงอันตอนแรก
เจินจูจำต้องเอาทฤษฎีการท้องของกระต่ายมากล่าวอีกรอบ แล้วกล่าวเน้นอีกว่า “กระต่ายคลอดลูกได้มาก หนึ่งปีสามารถคลอดได้หลายคอกเลย พี่รอง รอ่เลี้ยงกระต่ายได้เยอะจำนวนหนึ่งแล้ว ท่านก็มาจับไปเลี้ยงสักสองสามตัวเถิด แค่พวกเราเลี้ยงมันให้ดี ปีหน้าก็จะมีกระต่ายฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นสามารถขายเอาเงินได้ ในบ้านก็จะมีรายได้ด้วย”
“หากว่าเลี้ยงได้สำเร็จจริง นั่นก็จะดีมากๆ เลย ถึงตอนนั้นเ้าต้องเป็บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของบ้านเราแน่ แต่ว่าให้กระต่ายกินอาหารอะไรหรือ? กินเพียงหญ้าได้หรือไม่?” ถึงอย่างไรชุ่ยจูก็อายุมากกว่าหน่อย เื่ที่กังวลจึงมีมากขึ้น
“ไม่เป็ไร เดิมทีกระต่ายเติบโตมาในทุ่งกว้าง ถึงตอนนั้นพวกเราขึ้นเขาไปตัดหญ้ามาเลี้ยงเยอะหน่อยก็พอแล้ว มันชอบกินแบบไหนพวกเราก็ตัดมาให้มาก หญ้าที่กระต่ายไม่กินก็ไม่ตัด เช่นนั้นมิใช่เื่ง่ายหรือ” เจินจูปลอบโยน แม้เธอไม่เคยเลี้ยงกระต่ายมาก่อน แต่บิดาของเธอเคยเลี้ยงไม่กี่ตัว ย่อมไม่มีปัญหาใหญ่โตอะไร กระต่ายมักมีพลังกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ ที่จริงกระต่ายก็ไม่ได้เลี้ยงยาก เพียงต้องใส่ใจสุขอนามัยสภาพแวดล้อม อย่าให้มันหิวจนตัวเย็นก็พอแล้ว
ชุ่ยจูคิดแล้วก็เห็นด้วย จึงพยักหน้าตกลง “ได้ เลี้ยงกระต่ายตัวนี้ให้ดีก่อน รอให้ลูกกระต่ายคลอดออกมาค่อยว่ากัน”
“พี่รอง ครอบครัวท่ายายของท่านมากันกี่คนหรือ? ้าให้ข้าไปช่วยหรือไม่?” เจินจูนึกถึงหลี่ซื่อที่ยังช่วยงานอยู่บ้านเก่า
“ก็มีท่านยายข้ากับน้าสะใภ้ใหญ่เท่านั้น ไม่ต้องให้เ้าช่วยหรอก าแของเ้ายังไม่หายดี พักอยู่บ้านดีๆ อย่าได้กระแทกชนกับอะไรเข้าอีกเล่า ข้าจัดการอาหารเที่ยงให้พวกเ้าก่อน” ชุ่ยจูกล่าวจบก็ยกถ้วยเข้าไปในครัว ถูหม้อซาวข้าวให้เรียบร้อย
เจินจูตามเข้ามา กล่าวอย่างขาดความมั่นใจ “พี่รอง ท่านยุ่งมาทั้งวันแล้ว ให้ข้าหุงดีกว่า”
ช่วยไม่ได้ เตาดินในนี้ใช้หม้อใหญ่และฟืนในการหุงต้ม ช่างต่างจากแก๊สธรรมชาติในยุคปัจจุบันมากนัก เธอจะใช้เป็ได้อย่างไร
“ไม่ได้ อาการาเ็ของเ้ายังไม่หายดี เ้าไปอยู่ที่ลานบ้านเถิด อีกเดี๋ยวข้าวก็เรียบร้อยแล้ว” ชุ่ยจูดันเจินจูออกไปโดยไม่คิดสักนิด
ชุ่ยจูเคลื่อนตัวเร็วมาก ขัดหม้อใส่ข้าวจุดไฟ ไม่นานหลังคาบ้านก็มีควันจากการหุงต้มลอยขึ้นไป
ผ่านไปสิบห้านาที กับข้าวก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะ เนื้อไก่หนึ่งถ้วยที่เติมฟักทองลงไปใหม่ ก็คืออาหารเที่ยงของพวกเธอทั้งสองคนแล้ว เพราะทางบ้านชุ่ยจูยังมีแขก หลังทำเสร็จจึงรีบเร่งกลับไปยังที่พักอาศัย ก่อนไปยังนัดแนะว่าวันหลังจะมาดูกระต่ายอีก
สองคนพี่สาวน้องชายทานไก่เลี้ยงเนื้อนุ่มแสนอร่อยหนึ่งมื้ออย่างเอร็ดอร่อย หลังอาหารผิงอันลูบพุงกลมเล็กๆ ด้วยความพึงพอใจ กล่าววิจารณ์ว่า “เนื้อไก่อร่อยจริงๆ หากทุกวันมีเนื้อให้กินคงจะดี”
“ดูความคิดเ้าสิ รอตอนพวกเราเลี้ยงกระต่ายออกมาได้ฝูงใหญ่ก่อน เ้าอยากกินเนื้อเวลาไหนล้วนกินได้” เจินจูทอดถอนใจอีกครั้ง เมื่อก่อนคิดเพียงจะลดน้ำหนักอย่างไร ไม่ยอมทานข้าวปลาที่อุดมสมบูรณ์ กลับยินดีที่จะทานผัก ตอนนี้สมใจแล้ว แต่ละมื้อทานผักกวางตุ้งและธัญพืช ส่วนเนื้อไก่ เป็ด ปลากลับไม่ได้กิน
“ฮิๆ ทราบแล้ว ข้าจะไปเอาผักป่าที่กระต่ายชอบกินมาล้างตากแห้ง”
เมื่อครู่ที่เธอให้อาหารกระต่ายก็พบว่า ผักป่าส่วนใหญ่กระต่ายล้วนชอบกิน ผักป่าที่มันไม่กินก็เก็บออกมาเลี้ยงไก่ เช่นนี้ทั้งสองอย่างก็ไม่เสียเปล่าแล้ว ผิงอันยกตะกร้าไผ่สานไปยังลำธารเล็กๆ ล้างผักป่าด้วยพลังเต็มเปี่ยม
เธอส่ายหัวแล้วยิ้ม นิสัยเด็กน้อยเสียจริง เธอหมุนกายกลับมาเก็บถ้วยไปขัดล้าง
ยามนี้ล้างถ้วยน่าจะไม่มีน้ำยาล้างจาน คนชนบทปกติแล้วใช้ขี้เถ้าจากฟางข้าวล้างถ้วย จึงกำฟางข้าวแห้งกำหนึ่งเผาเป็ขี้เถ้า ใส่ในกระปุกสำรองไว้ ตอนล้างถ้วยและตะเกียบ คว้ามาหนึ่งกำก็ล้างได้สะอาดแล้ว
เจินจูนั่งยองที่มุมกำแพง คว้าขี้เถ้าฟางข้าวจากในกระปุกมาหนึ่งกำ รู้สึกแปลกใหม่เล็กน้อย เอาถ้วยทีละอันมาถูด้วยฝ่ามือหนึ่งรอบ แล้วใช้กระบวยตักน้ำเทหนึ่งพรวด สะอาดจริงๆ ด้วย ในใจอดชื่นชมอยู่พักหนึ่งไม่ได้ ความเฉลียวฉลาดของคนสมัยโบราณไม่อาจดูแคลนได้เลย
เพิ่งเอาถ้วยวางเรียบร้อย นอกบ้านก็มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ สะท้อนเข้ามา เจินจูชะโงกมอง ท่านแม่หลี่ซื่อของเธอกำลังดันประตูเปิดเดินเข้ามาในบ้าน
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว”
เจินจูมองร่างที่อยู่นอกห้องครัว หลี่ซื่อย่นหัวคิ้ว รีบก้าวเข้ามาใกล้ แล้วลูบาแบนศีรษะของเธอ ในตาปรากฏความกังวลออกมา เจินจูยิ้มๆ และเปิดปากกล่าว “ท่านแม่ ไม่เป็ไร หัวข้าไม่เจ็บแล้ว ดีขึ้นมากแล้ว”
หลี่ซื่อฟังแล้ว ขมวดหัวคิ้วมองเธอด้วยความโกรธ ดึงมือเธอกลับมาในห้อง พลิกผ้าห่มเปิดออกแล้วคลุมให้เธอเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงยิ้มให้เธอบางๆ และหมุนกายกลับไปยุ่งกับงานต่อ
เจินจูค่อยๆ มองไปทางอื่น คิดจะเข้ามิติช่องว่างไปดูเมล็ดพันธุ์ที่เพาะไว้ว่างอกหรือยัง แต่มองเงาของหลี่ซื่อกำลังยุ่งอยู่กับงานในลานบ้านแล้ว รู้สึกอย่าเสี่ยงอันตรายเลยดีกว่า แม้เธอจะไม่รู้สึกง่วง แต่นอนๆ ไป สายตาก็เริ่มพร่าเบลอ หลับลง
เชิงอรรถ
[1] นกแก้วพูดตามคน เปรียบว่า คนอื่นพูดอย่างไร เขาก็พูดตามแบบนั้น