กลุ่มคนที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์ต่างก็ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน พวกเขามองไปทางมู่เฟิงด้วยความสงสัย เพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่เฟิงถึงได้รับการตอบรับที่มากมายเช่นนี้ เพียงแค่เขาเอ่ยปากก็มีชาวยุทธ์กลุ่มใหญ่เข้ามาช่วยเหลือเขาในทันทีแล้ว
“พะ พวกเ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง พวกเราคือตระกูลถัง ข้าคือคุณหนูถังจากตระกูลถัง หากพวกเ้ากล้าแตะต้องข้า ตระกูลของข้าจะไม่ปล่อยพวกเ้าไปแน่”
ถังเสวี่ยก้าวถอยออกไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก
“ฮ่าๆ ตระกูลถัง วาจาของเ้าช่างน่าขันสิ้นดี เหลาจื่อกล้าเสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพื่อแสวงหาทรัพย์สมบัติ เหตุใดยังต้องกลัวตระกูลถังของพวกเ้าด้วย? พวกข้าเป็ชาวยุทธ์ ยึดมั่นในคุณธรรมเป็ที่สุด น้องเฟิงเย่มีบุญคุณช่วยชีวิตพวกข้า แล้วตระกูลถังของพวกเ้าเล่าทำอะไรให้พวกข้าบ้าง?
“ยิ่งไปกว่านั้น หากเหลาจื่อลงมือสังหารพวกเ้าให้หมดเสีย ตระกูลถังของพวกเ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็ฝีมือของผู้ใด? อย่าได้ใช้อำนาจตระกูลของพวกเ้ามาข่มขู่ข้า สิ่งที่พวกข้าดูแคลนเป็ที่สุดคือพวกศิษย์ตระกูลใหญ่อย่างพวกเ้า เอาแต่ทำตัวสูงส่ง ยามที่เอาชนะไม่ได้ก็ใช้กำลังของตระกูลมาข่มผู้อื่น สาวน้อย หากเ้ายังทำให้ข้าโมโห ข้าจะให้เหล่าพี่น้องเล่นสนุกกับร่างกายของเ้า ดูสิว่าเ้าจะยังมีหน้ามาหยิ่งผยองได้อีกหรือไม่”
หูเถี่ยหนิ่วแค่นเสียงออกมาอย่างเ็า ท่าทางของเขาดูห้าวหาญเป็ที่สุด
“ถูกต้อง ตระกูลถังของพวกเ้าจะทำอะไรได้? เหลาจื่อไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถตามล่าพวกข้าไปได้ทั่วหล้าหรอก ฉะนั้นจงสงบปากสงบคำไปเสีย อย่าได้ใช้อำนาจของตระกูลมาข่มพวกเรา”
คนอื่นๆ ต่างก็กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
ชีวิตของคนอย่างพวกเขาล้วนเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ หากให้พูดกันตามตรงคนอย่างพวกเขาก็คือพวกเดนตายอย่างไรเล่า แบบนี้แล้วยังจะมีอะไรให้คนอย่างพวกเขาต้องเกรงกลัวอีก? แน่นอนว่าไม่มี
หลังจากได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ภายในใจของมู่เฟิงก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที ชาวยุทธ์กลุ่มนี้ช่างมีคุณธรรมน้ำใจยิ่งนัก มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะลอบชำเลืองมองไปทางซือถูคงและเหล่าบัณฑิตร่วมสำนักศึกษาที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์จากระยะไกล คนพวกนั้นยังเทียบอะไรไม่ได้กับกลุ่มชาวยุทธ์เหล่านี้เลย
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่คนกลุ่มนี้เลือกปกป้องมู่เฟิงก็เพราะฐานะนักสลักลายเส้นของเด็กหนุ่ม หากว่าพวกมีความสัมพันธ์อันดีกับนักสลักลายเส้น ในอนาคตย่อมง่ายต่อการขอให้อีกฝ่ายช่วยสลักลายเส้นอาวุธปราณให้
เมื่อศิษย์ตระกูลถังเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถใช้ภูมิหลังของตระกูลมาบีบให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ พวกเขาก็มีท่าทีตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าของถังเสวี่ยซีดเผือดลง นางรู้สึกหวาดกลัวกับคำพูดสุดท้ายของหูเถี่ยหนิ่ว
“น้องเฟิงเย่ เ้าจะให้ทำอย่างไรกับศิษย์ตระกูลถังกลุ่มนี้สามารถบอกมาได้เลย หากเ้า้าให้พวกเขาตาย ย่อมจะไม่มีใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวออกมา
“ถูกต้องแล้วน้องเฟิงเย่ เ้าจะให้ทำอย่างไรกับคนเหล่านี้ ให้ข้าจับแม่นางน้อยนั่นมาให้เ้าได้เล่นสนุกดีหรือไม่ ดูแล้วนางอายุยังน้อย น่าจะยังเป็สาวบริสุทธิ์”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ…”
ทันใดนั้นพวกเขาก็หัวเราะเสียงดัง ชายร่างผอมสูงตบไหล่มู่เฟิงก่อนจะหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก ส่วนถังเสวี่ยใบหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
มู่เฟิงมองพวกเขาก่อนจะกล่าวออกมาว่า “คนที่ทำให้สหายผู้นั้นต้องตาย ข้าได้สังหารเขาไปแล้ว ส่วนคนเหล่านี้ไม่ได้สร้างความเกลียดชังอะไรข้า ดังนั้นข้าจะปล่อยพวกเขาไป แต่อีกเดี๋ยวข้าฝังศพของสหายผู้นั้นแล้ว พวกเ้าทุกคนจะต้องกราบไหว้ขอขมาเขา”
“ไม่มีทาง จะให้พวกข้ากราบไหว้หลุมศพเ้าคนรากหญ้าเช่นนั้นน่ะหรือ ฝันไปเถอะ!”
ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลถังกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ
หลังจากได้ยินคำพูดนั้นดวงตาของมู่เฟิงก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า ฉับพลันนั้นเขาดีดฝ่าเท้าพุ่งทะยานร่างออกไปพร้อมกับใช้ดาบแทงทะลุทรวงอกของชายผู้นั้นทันที
ฉึก!
“อ๊าก!”
ศิษย์ผู้นั้นหวีดร้องโหยหวนออกมา คมดาบของมู่เฟิงตัดขั้วหัวใจของอีกฝ่ายโดยตรง ทำให้เขาเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว
“ถังสุ่ย”
คนที่เหลือต่างก็มองอย่างโกรธแค้น แต่เมื่อพวกเขาจะลงมือโต้กลับ กลุ่มคนหลายสิบคนก็ล้อมพวกเขาเอาไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคมดาบและคมกระบี่ กลุ่มศิษย์ตระกูลถังก็หวาดกลัวมากจนไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดอีก
“ชีวิตรากหญ้า? สถานะของเ้าสูงส่งมากหรือ? จะไม่กราบไหว้ก็ได้ เช่นนั้นก็จงถูกฝังไปพร้อมกับเขาเถอะ”
มู่เฟิงเตะร่างของศิษย์ตระกูลถังผู้นั้น ทำให้ร่างไร้ิญญาของอีกฝ่ายล้มฟุบลงไปบนพื้น ภาพการสังหารอันโเี้นี้ทำเอาแม้แต่ทหารรับจ้าง รวมถึงนักผจญภัยคนอื่นๆ พากันใ
มู่เฟิงหรี่ตาลง เขาชี้ปลายดาบไปทางตระกูลถังและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “พวกเ้าเองก็เหมือนกัน จะไม่กราบไหว้ก็ได้ ข้าเองก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารคนเพิ่มอีกสักคนสองคนให้ร่วมเดินทางไปกับสหายของข้า”
สีหน้าของศิษย์ตระกูลถังซีดเผือดด้วยความตระหนก แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
มู่เฟิงเก็บดาบ จากนั้นเขาก็หิ้วศีรษะของถังซานเดินไปยังร่างของสหายที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะการเก็บสมุนไพรให้เขา เด็กหนุ่มลงมือขุดหลุมศพให้อีกฝ่ายด้วยมือทั้งสองของตนเอง กลุ่มชาวยุทธ์เองก็เข้ามาช่วยขุดด้วยเช่นกัน เพียงไม่นานหลุมที่มีขนาดเท่าร่างของมนุษย์ก็ถูกขุดจนเสร็จสมบูรณ์
มู่เฟิงวางร่างของชายหนุ่มลงไปในหลุม ก่อนจะกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ข้าต้องขออภัยท่านด้วย ข้ายังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของท่านด้วยซ้ำ แต่ท่านกลับต้องมาตายเพื่อข้า ท่านจงจากไปอย่างสงบเถิด ฆาตกรที่สังหารท่าน ข้าได้ช่วยลงมีดเขาแทนท่านแล้ว”
หลังจากมู่เฟิงกล่าวจบ เขาก็กลบดินฝังศพ สร้างหลุมศพที่ไร้ชื่อขึ้นมา จากนั้นเขาก็วางศีรษะของถังซานไว้บนหลุมศพ ก่อนจะก้มศีรษะคำนับสามครั้ง
ทหารรับจ้างคนอื่นๆ ต่างก็ถอนหายใจออกมา พวกเขาเองก็กำหมัดโค้งคำนับด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเขาคุ้นเคยกับความเป็ความตายเหล่านี้มานานแล้ว พวกเขาไม่สนใจว่าวันพรุ่งนี้จะเป็อย่างไร เพราะการมีชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ต่างหากที่เป็ความจริง
“มาสิ กราบไหว้เขาเสีย”
มู่เฟิงหันไปพูดกับตระกูลถังอย่างเ็า
ศิษย์ตระกูลถังยังคงลังเลเล็กน้อย ดวงตาของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็เย็นะเื กลุ่มคนเ่าั้จึงรีบก้าวเท้าออกมาคำนับหลุมศพสามครั้งทันที
“พี่หญิง คนผู้นั้นมีที่มาอย่างไรกัน เหตุใดจึงมีคนยินยอมช่วยเหลือเขามากมายถึงเพียงนี้?”
ท่ามกลางฝูงชน ข่งเซวียนเอ๋อร์ที่กำลังเฝ้ามองสถานการณ์หันไปเอ่ยถามข่งย่วนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
ข่งย่วนส่ายหน้า แน่นอนว่านางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ทหารรับจ้างที่อยู่ข้างๆ จึงกล่าวว่า “น้องชายผู้นั้นมีนามว่าเฟิงเย่ เขาเป็นักสลักลายเส้น เขาเป็คนมีคุณธรรมมาก หากไม่ได้เขาช่วยเหลือ เกรงว่าพวกข้าคงไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงตรงนี้ได้”
“เฟิงเย่ นักสลักลายเส้น”
ข่งเซวียนเอ๋อร์มองดูเด็กหนุ่มผู้มีเส้นผมสีแดงอีกครั้ง นางรู้สึกว่าเขามีความคล้ายคลึงกับคนผู้หนึ่งเป็อย่างมาก โดยเฉพาะั์ตาสีโลหิตคู่นั้น รวมไปถึงท่าทางการแสดงออกเ่าั้ของเขาด้วย
เมื่อนึกถึงเขาแววตาของข่งเซวียนเอ๋อร์ก็หม่นแสงลง ตอนนี้เขาถูกตระกูลอินปิดล้อมโจมตี ไม่รู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
หลังจากมู่เฟิงจัดการเื่ของชายหนุ่มผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปล่อยให้คนของตระกูลถังจากไปด้วยความตื่นตระหนก ส่วนคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องต่างก็ถยอยแยกย้ายกันไป
มู่เฟิงเงยหน้ามองไปยังหญ้าโลหิตมรกตที่อยู่้า ทันใดนั้นหูเถี่ยหนิ่วก็ดีดฝ่าเท้าทะยานร่างขึ้นสูงกว่ายี่สิบเมตรเพื่อขึ้นไปบนผา และช่วยมู่เฟิงเก็บหญ้าโลหิตมรกตลงมา
“น้องเฟิงเย่ นี่คือสิ่งที่เ้า้าใช่หรือไม่?”
หูเถี่ยหนิ่วมอบหญ้าโลหิตมรกตให้กับมู่เฟิง
“ขอบคุณพี่ใหญ่เถี่ยหนิ่ว เป็หญ้านี่ถูกต้องแล้ว เมื่อได้มันมา สหายของข้าก็มีทางรอดแล้ว”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเก็บหญ้าโลหิตมรกตลงกล่องสมุนไพรและเก็บเข้าไปในแหวนเฉียนคุน ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้เสียที พิษในกายของจื่อเยว่จะได้รับการรักษาแล้ว
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในหุบเขาแห่งนี้ยังมีของดีอีกไม่น้อย ข้าไม่รั้งอยู่กับเ้าแล้ว หากว่าเ้ามีเื่ใดก็เรียกพวกข้าได้เสมอเลยนะ”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมตบมือลงบนไหล่ของมู่เฟิง มู่เฟิงไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณทุกคน “เื่ในวันนี้ขอบคุณทุกท่านมาก หากออกไปแล้วพวกเรายังได้เจอกันอีก ข้าจะเชิญพวกท่านไปดื่มสุรา และทำอาวุธปราณมอบให้กับพวกท่าน”
“ฮ่าๆ นับว่าดียิ่งนัก”
ทุกคนต่างก็หัวเราะออกมา จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปค้นหาสมุนไพรต่อ
หลังจากมู่เฟิงได้รับหญ้าโลหิตมรกตมาแล้ว เขาก็ชำเลืองมองไปทางซือถูคง ข่งย่วนและกลุ่มบัณฑิตคนอื่นที่อยู่ในที่ไกลๆ
เวลานี้อีกฝ่ายก็กำลังมองหาสมุนไพรในหุบเขาอยู่เช่นกัน แน่นอนว่ายังไม่มีใครออกไปจากที่นี่ เพราะพวกเขายังต้องเข้าไปสำรวจบริเวณชั้นสามเพื่อหาทางเข้าสู่ชั้นสี่อีก
มู่เฟิงเกิดลังเลใจขึ้นมา ตอนนี้เขาได้รับหญ้าโลหิตมรกตมาแล้ว จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ก็ถือว่าลุล่วง ฉะนั้นตอนนี้เขาก็ควรจะกลับไปทันทีเพื่อช่วยจื่อเยว่หรือควรจะเข้าไปยังชั้นสามเพื่อผจญภัยกับพวกเขาต่อดี?
มู่เฟิงมองซือถูคงด้วยสายตาเ็า ชายผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร ในกลุ่มคนเ่าั้มีเพียงข่งย่วนและข่งเซวียนเอ๋อร์เท่านั้นที่เป็มิตรกับเขา และควรค่าให้เขาเป็มิตรด้วย
มู่เฟิงเบนสายตามองไปยังข่งเซวียนเอ๋อร์ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเข้าไปยังชั้นสามกับอีกฝ่าย ไม่แน่ว่าคราวนี้เขาอาจจะได้รับโอกาสบางอย่างกลับมา นอกจากนี้หากมันอันตรายเกินไป เขาจะได้พาข่งเซวียนเอ๋อร์และข่งย่วนออกมาด้วย