เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นต่างก็ใอีกครั้ง พลังแห่งอำนาจไม่ใช่ว่าจะควบคุมกันได้ง่าย ๆ เพราะการควบคุมอำนาจชนิดหนึ่งจะต้องมีความรู้ในระดับลึกซึ้งจึงจะทำสำเร็จ ซึ่งเย่เฟิงไม่เพียงแต่หลอมรวมพลังธาตุไฟในแดนลับยอดเขาเทพโอสถ แต่ยามปกติยังใช้พลังชนิดนี้น้อยมาก
แต่วินาทีที่พลังธาตุในแหวนหยกเทพโอสถหลั่งไหลสู่ร่างกาย เขากลับบรรลุอำนาจไฟ นี่พิสูจน์แล้วว่าพร์และสติปัญญาของเย่เฟิงร้ายกาจเพียงใด
“ผู้าุโคิ้วขาวยกยอเกินไปแล้ว ผู้เยาว์เพียงแค่บังเอิญเท่านั้น” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม แม้แต่ตัวเขาก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะบรรลุพลังแห่งอำนาจในสถานการณ์เช่นนี้
“แหวนหยกเทพโอสถเป็ของเ้า นับจากนี้ไปเ้าก็คือประมุขคนต่อไปของวังเทพโอสถ หวังว่าต่อไปเ้าจะนำพาวังเทพโอสถไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวกล่าวอย่างจริงจังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าจะพยายาม หากวันหน้าข้าขึ้นเป็ผู้ยิ่งใหญ่ วันนั้นจะเป็วันที่วังเทพโอสถผงาดในอาณาจักรจ้าว!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมดวงตาฉายแววมุ่งมั่น ในเมื่อเขารับ่ต่อในการเป็ประมุขแห่งวังเทพโอสถ ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ขณะที่ผู้ทำพิธีแห่งวังเทพโอสถทั้งสี่มองชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นตรงหน้า พวกเขาก็ราวกับเห็นความเกรงขามของเย่เฟิงตอนขึ้นเป็ผู้ยิ่งใหญ่ที่สง่าผ่าเผยท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ พวกเขาเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับวังเทพโอสถ
เย่เฟิงจะไม่เผยแพร่เื่ที่เขารับตำแหน่งประมุขคนใหม่ของวังเทพโอสถ ถึงอย่างไรพลังของเย่เฟิงในตอนนี้ยังมีไม่มากพอ หากถูกใครหมายหัวก็อาจเกิดหายนะขึ้นได้ทุกเมื่อ
ภายนอกของวังเทพโอสถจึงยังคงอยู่ในการควบคุมของผู้าุโเซี่ยชิงซาน กระทั่งไม่มีผู้ใดทราบว่าเย่เฟิงสืบทอดตำแหน่งประมุข ความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มผู้เคยได้รับนวมรดกในยอดเขาเทพโอสถกับวังเทพโอสถจะค่อย ๆ ถูกลืมเลือน
บัดนี้เย่เฟิงมีเพียงสองตัวตนที่ทุกคนทราบกันดี ตัวตนที่หนึ่งคือศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ตัวตนที่สองคืออันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง และจะไม่มีผู้ใดทราบว่าเย่เฟิงเกี่ยวข้องกับวังเทพโอสถ
เย่เฟิงไม่รั้งอยู่ที่วังเทพโอสถต่อ หลังจากเขากล่าวลาผู้ทำพิธีทั้งสี่ก็ออกไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากมาถึงถนนสายหนึ่งที่สงบเงียบ จู่ ๆ มีเสียงเรียกดังขึ้นที่ด้านหลังเย่เฟิง “หยุดนะ!”
เย่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหยุดฝีเท้าแล้วค่อย ๆ หันหลังไป ก่อนจะเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล คนผู้นี้มีผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเคร่งขรึม แต่ขณะที่มองคนผู้นี้ เย่เฟิงก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตา
“เป็เ้า ฟู่หยาง!” พลันปรากฏภาพเงาร่างหนึ่งในหัว ทำให้เย่เฟิงจำผู้มาได้ในทันที คนผู้นี้ก็คืออดีตผู้าุโใหญ่แห่งวังเทพโอสถ ฟู่หยาง
เมื่อหลายเดือนก่อน เฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้สิ้นอายุขัย ฟู่หยางในฐานะผู้าุโใหญ่เกิดความละโมบ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งประมุข ต่อมาฟู่เจินบุตรชายของฟู่หยางเกิดการกระทบกระทั่งกับเย่เฟิงในแดนลับยอดเขาเทพโอสถ และ้าฆ่าเย่เฟิงเพื่อนวมรดก หากเฒ่าอู๋ปรากฏตัวไม่ทันการณ์ ฟู่หยางคงลงมือฆ่าเย่เฟิงไปแล้ว
หลังจากคลื่นลมสงบ ฟู่หยางและครอบครัวก็หายตัวไปจากวังเทพโอสถในชั่วข้ามคืน และไม่มีผู้ใดทราบว่าพวกเขาไปที่ใด แต่บัดนี้ไม่นึกว่าฟู่หยางจะมาปรากฏตัวที่นี่ ทำเย่เฟิงรู้สึกเกินคาดเล็กน้อย
“บัดซบ ตาแก่สี่คนนั้นมอบตำแหน่งประมุขให้คนนอกอย่างเ้าจริง ๆ ด้วย!” ฟู่หยางกล่าวด้วยความโมโหขณะมองแหวนหยกที่สวมอยู่บนนิ้วของเย่เฟิง พร้อมใบหน้าบูดเบี้ยวเล็กน้อย เมื่อผนวกกับสีหน้าเคร่งขรึม ทำให้ผู้ใดพบเห็นต้องรู้สึกอึดอัด
“มีธุระอันใด?” เย่เฟิงเอ่ยถามตรง ๆ โดยไม่คิดเสียเวลากับฟู่หยาง
“พวกเขาสี่คนยอมคนนอกอย่างเ้า แต่กลับไม่ให้โอกาสข้าผู้ซึ่งสร้างผลงานให้วังเทพโอสถมามากมาย พวกเขาสมควรตายยิ่งกว่าเ้า!” ฟู่หยางเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเย่เฟิง เพียงพึมพำกับตัวเอง พร้อมกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกวูบ เขาจ้องตำแหน่งประมุขมาหลายสิบปี ทำงานอย่างหนัก แต่สุดท้ายตำแหน่งนี้กลับไม่ใช่ของตัวเอง เขาก็ย่อมไม่เต็มใจ ดังนั้นฟู่หยางในเวลานี้จึงคลุ้มคลั่ง จิตใจก็เริ่มบิดเบี้ยว
“ในเมื่อข้าเจอเ้าแล้ว ก็ต้องเก็บเ้าให้ได้ ต่อไปข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตามหาเ้าอีก!” ฟู่หยางกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบ พร้อมไอสังหารแผ่ออกจากร่าง เขาปรารถนาที่จะฆ่าเย่เฟิงมาตลอด และวันนี้ก็ถือเป็โอกาสของเขาแล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แน่
“เ้าอยากฆ่าข้างั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“เ้าแย่งชิงทุกอย่างไปจากข้า แน่นอนว่าเ้าต้องชดใช้ให้สาสม!” ฟู่หยางกล่าวเสียงเย็น
“เ้าคิดว่าเ้าในตอนนี้จะทำสำเร็จงั้นหรือ?” เย่เฟิงเผยสีหน้าเย้ยหยัน แม้เวลาไม่กี่เดือนจะไม่ยาวนาน แต่บัดนี้พลังของเย่เฟิงก็เปลี่ยนไปแล้ว เขาจะกลัวฟู่หยางไปทำไม?
ขณะกล่าวเช่นนั้น เย่เฟิงก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมา ทำห้วงอากาศแข็งตัวเล็กน้อย
“เ้าบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้วงั้นหรือ!” ฟู่หยางตกตะลึงเมื่อััได้ถึงลมปราณจากตัวเย่เฟิง เขาไม่นึกว่ามดแมลงอย่างเย่เฟิงจะบรรลุขั้นยุทธ์แท้ในเวลาไม่กี่เดือน
“แต่เ้าคิดว่าบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้วจะเอาชนะข้าได้งั้นหรือ?” ฟู่หยางแสยะยิ้ม เขาเองก็ปลดปล่อยพลังปราณที่แกร่งสุดออกมา ซึ่งเป็พลังแห่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ในฐานะอดีตผู้าุโใหญ่แห่งวังเทพโอสถ หากฟู่หยางไม่เดินในเส้นทางวิถีแห่งโอสถ ป่านนี้เขาคงกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดไปแล้ว ไม่เพียงแต่ฟู่หยาง แต่ตบะของคนอื่น ๆ ในวังเทพโอสถก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากเท่าที่ควร เพราะงานหลักของพวกเขาคือการปรุงยา ส่วนวรยุทธ์เป็เื่รอง
“จะเอาชนะเ้าได้หรือไม่ เ้าประสบกับตัวเองเดี๋ยวก็รู้!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม เขาเอาสองมือไพล่หลังราวกับไม่เห็นฟู่หยางอยู่ในสายตา นี่ทำให้ฟู่หยางโมโหขึ้นมา “ในเมื่อเป็เช่นนั้น งั้นข้าก็จะส่งเ้าไปลงนรกซะ!”
เมื่อกล่าวจบ ฟู่หยางสำแดงท่าร่างและก้าวออกมาทันที ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงในพริบตา พร้อมวาดฝ่ามือจู่โจมไปยังหน้าอกเย่เฟิง เขาวางแผนว่าจะต้องฆ่าเย่เฟิงด้วยฝ่ามือนี้ให้ได้
“มีพลังแค่นี้แต่อยากฆ่าข้างั้นหรือ? ไสหัวไปซะ!” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นเขาเหวี่ยงหมัดโจมตีโดยไม่สนใจฟู่หยาง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น ด้วยการปะทะนี้ ฟู่หยางถูกซัดกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง ทำให้กำแพงนั้นสั่นะเืและเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ น้อย ๆ
“เป็ไปได้ยังไง? เ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?” ฟู่หยางร่วงลงพื้นก็กระอักเืออกมา จากนั้นมองเย่เฟิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ ในความคิดของเขา เย่เฟิงเป็เพียงมดแมลงตัวหนึ่ง เขาฟู่หยางอยากฆ่าก็แค่สำแดงกระบวนท่าเดียวก็ทำได้แล้ว แม้เย่เฟิงจะบรรลุขั้นยุทธ์แท้ แต่ก็ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของเขา เพราะช่องว่างระหว่างระดับขั้นพลังมิอาจชดเชยได้
แต่ดูเหมือนว่าเขาฟู่หยางจะคิดผิดมหันต์ เขาอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 กลับเปราะบางเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง มิหนำซ้ำยังถูกอีกฝ่ายซัดกระเด็นปลิวด้วยหมัดเดียว สำหรับฟู่หยางแล้ว ผลกระทบทางจิตใจร้ายแรงกว่าาแบนร่างกายยิ่งนัก
“คนที่อยากฆ่าข้ามีเยอะมาก แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดทำสำเร็จเลยสักคนเดียว ส่วนเ้า ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางทำสำเร็จ” เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ เขาเดินไปหาฟู่หยาง แต่ทุกย่างก้าวของเขาทำให้หัวใจของฟู่หยางจมดิ่งลง ไม่นานเย่เฟิงก็มาถึงเบื้องหน้าฟู่หยาง เขาเชิดหน้ามองอีกฝ่าย ซึ่งเย่เฟิงในเวลานี้มิใช่คนเก่าที่ถูกเรียกว่ามดแมลงเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ข้าจะสู้กับเ้า!” ดูเหมือนว่าจะคาดเดาได้ถึงจุดจบของตนเอง ดวงตาของฟู่หยางจึงฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมา จากนั้นมีเข็มเงินเล็ก ๆ ที่อาบไปด้วยยาพิษโผล่ออกจากระหว่างนิ้วมือของเขา ตราบใดที่โดนเข็มเงินพิษนี้แม้แต่นิดเดียว ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ก็จะต้องตายภายในสิบลมหายใจ
ทันใดนั้นฟู่หยางปาเข็มเงินออกไป หมายสังหารเย่เฟิงด้วยพิษนี้ ทว่าเย่เฟิงเตรียมพร้อมนานแล้ว ตอนที่เข็มเงินนั่นเข้ามาใกล้ตัวเขา เขายกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ ก่อนจะใช้สองนิ้วรับเข็มเงิน
“งั้นข้าขอคืนให้เ้า!” เย่เฟิงแผดเสียงะโก่อนจะปาเข็มเงินกลับคืนไป พลันทะลุเข้าิับริเวณหน้าอกของฟู่หยาง
“เ้า...” ฟู่หยางหน้าถอดสีจนขาวซีดในพริบตา เมื่อเวลาผ่านไป ฟู่หยางเริ่มหายใจรวยริน ตัวสั่นเทาไม่หยุดกระทั่งเืออกทวารทั้งเจ็ด และตายในที่สุด
“เป็เข็มพิษที่ร้ายกาจมาก!” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเอง หากเมื่อครู่เขาไม่ระวังตัวก็อาจจะโดนเข็มเงินแทงร่างแล้ว หากเป็เช่นนั้นคนที่ตายก็จะไม่ใช่ฟู่หยาง แต่เป็เขาเย่เฟิง
เมื่อฟู่หยางตาย เย่เฟิงก็ไม่สนใจอีกฝ่าย และออกไปจากที่นี่ทันที ซึ่งหลังจากออกไปได้ไม่นานเขาก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน จู่ ๆ มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวที่ด้านหน้าเขา เขาจึงหยุดฝีเท้า เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาอย่างชัดเจนก็อดประหลาดใจไม่ได้
“คุณชายเย่โปรดหยุดก่อน” ชุ่ยเอ๋อร์กล่าวกับเย่เฟิง
“องค์หญิงสบายดีไหม?” เย่เฟิงเอ่ยถามถึงจ้าวซินอี๋อย่างอดไม่ได้
อีกสามวันก็จะถึงวันสิ้นเดือนของเดือนนี้แล้ว เย่เฟิงยังจำได้ชัดเจนว่าวันสิ้นเดือนก็คือวันที่เว่ยฉีเทียนและจ้าวซินอี๋จะหมั้นหมายอย่างเป็อย่างทางการ พอไม่ได้พบนางมาหลายวัน เขาก็อยากรู้ว่า่นี้นางเป็อย่างไรบ้าง
“องค์หญิงอยู่ทางนั้น คุณชายเย่รีบไปเถิดเ้าค่ะ!” ชุ่ยเอ๋อร์ได้ยินคำถามของเย่เฟิงก็เผยสีหน้าซับซ้อน พร้อมดวงตาฉายแววแค้นเคือง แน่นอนว่าเย่เฟิงรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาจึงหันไปมองสวนดอกไม้ข้าง ๆ ก่อนจะเห็นเงาร่างงดงามหนึ่งอยู่ที่นั่น แม้หญิงผู้นี้สวมผ้าคลุมหน้าและหันหลังให้ทางนี้ แต่กลับปกปิดความสวยไม่ได้ ซึ่งนอกจากองค์หญิงจ้าวซินอี๋แล้วจะมีผู้ใดอีก?
จากนั้นเย่เฟิงเดินไปหาจ้าวซินอี๋ เขามองแผ่นหลังนั้นก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นในใจ
“องค์หญิงหาข้ามีเื่อันใดหรือ?” เย่เฟิงมาถึงก็เอ่ยถามทันที
เมื่อจ้าวซินอี๋ได้ยินเสียงเย่เฟิงก็ค่อย ๆ หันหลังมาพร้อมปลดผ้าคลุมหน้า จึงเผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามนั้น แต่นางในเวลานี้ดูระทมทุกข์ จนตัวผอมแห้งไปเล็กน้อย
“ไม่มีเื่ก็มาหาเ้าไม่ได้หรือ?” จ้าวซินอี๋กล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้” เย่เฟิงกล่าว แต่เขากลับไม่รู้จะตอบคำถามของจ้าวซินอี๋อย่างไรดี จึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “วันนี้มาหาข้าได้ องค์หญิงเป็อย่างไรบ้าง?”
“อีกสามวันก็จะถึงวันที่ข้าต้องหมั้นกับเว่ยฉีเทียน เมื่อการหมั้นเสร็จสิ้น ข้าก็ต้องไปอยู่อาณาจักรเว่ยและกลายเป็พระชายาของเว่ยฉีเทียน หรือเ้าไม่อยากพูดคุยกับข้าแล้ว?” จ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงเปลี่ยนเื่ จึงพูดเื่ของตัวเองแทน พร้อมดวงตาเผยประกายความผิดหวัง
“เ้าไม่จำเป็ต้องตอบข้า อาจเป็ข้าที่คิดมากไปเอง” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางยิ้มจาง ๆ โดยไม่รอให้เย่เฟิงเอ่ยคำใด ๆ ออกมา
