ทุกคนไม่คิดว่า คุณปู่เจิ้งนานๆ จะกลับมาสักครั้ง กลับนำข่าวดีมาให้ พวกเขาแต่ละคนต่างเบิกบานใจ โดยเฉพาะแม่เจิ้งที่ยิ้มจนหุบไม่ได้
"ฉันบอกแล้วว่า หลันเยว่เป็คนมีบุญ ดูสิ เื่ดีๆ ไม่ต้องให้เธอร้อนใจเลย ก็ตกลงมาจากฟ้าแล้ว"
หมี่หลันเยว่ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองโชคดีเหลือเกิน นี่มันเหมือนคนกำลังง่วงนอนแล้วเจอมีคนยื่นหมอนมาให้หนุนชัดๆ
"คราวนี้ต้องรบกวนคุณปู่เจิ้งมากจริงๆ ค่ะ และขอบคุณคุณปู่เจิ้งมากที่ให้โอกาสหนู"
แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่ย่อมเข้าใจดี ถ้าไม่มีคุณปู่เจิ้ง ถึงเธอจะรู้ข่าวแบบนี้ เธอก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปดูงาน
"เฮ้ ยัยหนู ขอบคุณอะไรกัน แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้นเอง พอสถานสงเคราะห์เลือกคนเสร็จแล้ว พวกเด็กผู้หญิงที่เหลือก็ไม่มีที่ไป ถ้าเธอให้โอกาสพวกเขาสักหน่อย นั่นแหละคือบุญของพวกเขา เื่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องพูดถึงเื่ขอบคุณหรอก"
คุณปู่เจิ้งไม่ได้ถือเื่นี้เป็เื่ใหญ่จริงๆ เสียด้วยซ้ำ บทสนทนาวกกลับไปที่เื่การตกแต่งห้องเสื้อหมี่หลันเยว่ หมี่หลันเยว่ก็เล่าถึงสไตล์และทิศทางหลักๆ ให้ฟัง แม่เจิ้งก็รับปากอย่างเต็มที่ ให้หมี่หลันเยว่วางใจได้ เื่ทีมงานก่อสร้างเธอจะจัดการเอง
บทสนทนาเริ่มออกทะเลไปเรื่อย ไม่รู้ว่ายังไงก็วกมาถึงเื่หมากล้อม คุณปู่เจิ้งบ่นว่าที่บ้านไม่มีคู่ต่อสู้ เจิ้งซวี่เหยาแต่ก่อนยังพอเล่นเป็เพื่อนเขาได้บ้าง แต่พอไปเมืองนอกห้าปีแล้วไม่พอ แถมพอกลับมา ฝีมือก็ตกต่ำลงอย่างน่าอนาถ ตอนนี้เล่นได้เละเทะสุดๆ
หมี่หลันเยว่จึงส่งสายตาให้พี่ชาย หมี่หลันหยางยังรู้สึกหวั่นๆ อยู่บ้าง เพราะเขาแค่เล่นกับน้องสาวสองคนที่บ้าน ไม่เคยเล่นกับคนนอกเลย ต้องรู้ว่าในยุคนี้ หมากล้อมยังไม่เป็ที่แพร่หลายจริงๆ เป็เพียงงานอดิเรกชั้นสูงของข้าราชการระดับสูงเท่านั้น คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสได้ัั
แต่หมี่หลันเยว่มั่นใจในตัวพี่ชายมาก ในชาติก่อน หมากล้อมของเธอก็เรียนมาจากพี่ชาย พี่ชายคลั่งไคล้หมากล้อมอย่างมากใน่มัธยมปลาย แถมฝีมือยังยอดเยี่นม ในการแข่งขันหมากล้อมระหว่างโรงเรียน เขาทำผลงานได้ดี
ในชาตินี้ หมี่หลันเยว่ไม่ได้รอให้พี่ชายโต แต่ตอนที่เขายังเล็ก เธอก็ช่วยจุดประกายความสนใจนี้ขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังมีเธอเป็คู่ซ้อมด้วย แน่นอนว่าพี่ชายพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพี่ชายจะมีความสามารถพิเศษด้านหมากล้อมในสายเื
ด้วยสายตาให้กำลังใจจากน้องสาว และเห็นพี่ชายอ้าปากสองครั้ง แต่ก็เกาหัวแล้วกลืนคำพูดกลับไป หมี่หลันเยว่จึงบอกคุณปู่เจิ้งโดยตรง
"คุณปู่เจิ้งคะ ถ้าทานข้าวเสร็จ ให้พี่ชายหนูเล่นเป็เพื่อนคุณปู่สักกระดานได้ไหมคะ เขาเพิ่งเรียนได้ไม่นาน คุณปู่ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ"
คุณปู่เจิ้งไม่คาดคิดว่าเด็กผู้ชายจากเมืองเล็กๆ จะเล่นหมากล้อมได้ ในบรรดาเพื่อนเล่นหมากของเขาในแวดวงรัฐบาล ก็มีแต่คนแก่ๆ ทั้งนั้น คนหนุ่มคนสาวเล่นเป็น้อยมาก
"ดีๆๆ กินเสร็จพวกเราสองคนเล่นกัน รีบกินสิ"
คุณปู่เจิ้งโบกมือให้ทุกคนรีบกินข้าว ตัวเองก็รีบตักข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาพูดคุยไร้สาระอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณปู่เจิ้งคาดหวังในตัวคู่ต่อสู้ตัวน้อยที่ปรากฏตัวนี้มาก ทำให้หมี่หลันหยางเริ่มประหม่า มองน้องสาวด้วยสายตาที่แปลกไป
"พี่คะ ไม่ต้องกลัวนะ พี่ให้คุณปู่เจิ้งแนะนำหน่อย เพราะพี่เรียนมาได้ไม่นาน แถมยังเรียนด้วยความชอบส่วนตัว ถึงแม้ฝีมือจะไม่ดี คุณปู่เจิ้งก็จะไม่ว่าพี่หรอก ถ้าจะว่าก็ต้องว่าอาจารย์เจิ้งแบบนั้นแหละค่ะ ที่เล่นได้ดีแท้ๆ แต่กลับไม่พยายาม ตอนนี้เลยเล่นได้เละเทะ"
เจิ้งซวี่เหยาผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็โดนหางเลขไปด้วยอย่างนั้นเอง มองคุณปู่และหมี่หลันเยว่อย่างขุ่นเคืองใจเล็กน้อย
"ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ ทำไมต้องจับจ้องมาที่ผมด้วยครับ หรือว่าหน้าผมเหมือนเป้า ใครๆ ก็เอาผมเป็เป้าหมาย"
เมื่อเห็นลูกชายทำปากยื่นด้วยท่าทีไม่พอใจ แม่เจิ้งก็หัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ต้องบอกว่าลูกชายเป็คนประเภทที่ค่อนข้างเป็ผู้ใหญ่และสุขุมมาตลอด ไม่ค่อยออดอ้อนตัวเองเท่าไหร่ ถึงไปเมืองนอกมา ได้รับความคิดจากต่างประเทศมาบ้าง สนิทกับตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ระมัดระวังคำพูดและการกระทำของตัวเองมาก
แต่ครั้งนี้ที่เขาพาเด็กๆ อย่างหมี่หลันเยว่กลับมา เห็นได้ชัดว่าเขากระตือรือร้นและเปิดเผยมากขึ้น บางครั้งก็มีท่าทีเหมือนเด็กๆ ซึ่งทำให้แม่เจิ้งมีความสุขมาก ยังไงก็ต้องอยู่กับเด็กๆ เยอะๆ จิตใจจะได้กระปรี้กระเปร่า ดูเหมือนว่าความคิดที่ลูกชายเลือกกลับไปเป็อาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเป็สิ่งที่ถูกต้องแล้ว
"เพราะว่าคุณเก่ง พวกเราถึงเอาคุณมาเปรียบเทียบไงคะ อย่างเช่นพี่หย่งจิ้น พวกเราก็ไม่เอาเขามาเปรียบเทียบหรอกค่ะ เพราะเขาทำไม่เป็เลยนี่คะ"
เฉียนหย่งจิ้นที่โดนหางเลขไปด้วยอย่างไม่มีเหตุผล ก็ทำได้แค่เบะปาก ไม่มีการตอบโต้ใดๆ
เขาเล่นไม่เป็จริงๆ ตอนนั้นหลันหยางบอกว่าจะสอนเขา แต่เขาี้เีเรียน พลังงานทั้งหมดของเขาถูกใช้ไปกับการเข้าสังคม ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจแล้ว ตัวเองสายตาสั้นจริงๆ การที่คุณอยากจะคบค้าสมาคมกับคนอย่างคุณปู่เจิ้ง แน่นอนว่าคุณต้องมีต้นทุนบางอย่าง แต่ตัวเองกลับไม่มีความสามารถอะไรที่โดดเด่น
ดูเหมือนว่าต่อไปตัวเองต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ นอกตำราเรียนให้มากขึ้น พวกศิลปะการดนตรี ถ้าในมหาวิทยาลัยมีวิชาเลือก ตัวเองต้องเรียนเยอะๆ เพราะตอนนี้ตัวเองอยู่ในเมืองปักกิ่งแล้ว ต่อไปตัวเองไม่รู้ว่าจะต้องเจอบุคคลสำคัญอีกมากเท่าไหร่ ถ้าอยากจะอยู่ในเมืองหลวงให้ได้ ตัวเองต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จะถูกยุคสมัยเขี่ยทิ้งได้ทุกเมื่อ
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เฉียนหย่งจิ้นก็เหลือบมองหมี่หลันเยว่ เขาจำได้แล้ว ตอนที่หลันหยางเรียนหมากล้อม ก็เป็ยัยหนูคนนี้ที่ยุยง ดูเหมือนว่าเธอจะเตรียมการให้พี่ชายั้แ่เนิ่นๆ แล้ว น่าเสียดายที่ตอนนั้นตัวเองยังมองไม่เห็นเล่ห์เหลี่ยมของยัยหนู ทั้งที่ตัวเองก็รู้มานานแล้วว่ายัยหนูไม่ทำอะไรที่ไร้ประโยชน์นี่นา
ตัวเองประมาทไปเอง คิดว่าแค่เรียนรู้เื่ธุรกิจจากเธอก็จะสามารถประสบความสำเร็จไปได้ทุกที่ ดูเหมือนว่ายังมีอีกหลายอย่างที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วกลับมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอาชีพนั้นคือ คุณภาพของตัวบุคคลเป็ตัวกำหนดอนาคตของคุณว่าจะยิ่งใหญ่ได้แค่ไหน
เอ๊ะ? คำพูดที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้ดูคุ้นๆ เฉียนหย่งจิ้นคิดแล้วก็คิดออกว่าคำพูดนี้เคยเป็สิ่งที่หมี่หลันเยว่พูด ตัวเองตอนนั้นละเลยไปเอง เฉียนหย่งจิ้นถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ ถ้าตัวเองเข้าใจความหมายของคำพูดนี้เร็วกว่านี้ ตัวเองก็คงเป็คนที่เตรียมพร้อมแล้ว
เขากัดฟันคิดอย่างมุ่งมั่น ตอนนี้รู้ถึงความหมายของมันก็ยังไม่สาย ตัวเองเพิ่งจะอายุสิบแปดปี ยังมีอนาคตที่สดใสอีกมาก ตราบใดที่ตัวเองเริ่มั้แ่ตอนนี้ พยายามที่จะเสริมสร้างตัวเองให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตัวเองก็คงตามเธอไปได้ตลอด?
มองหมี่หลันเยว่อย่างสง่างามวางตะเกียบลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากอย่างเบามือ หัวใจของเฉียนหย่งจิ้นก็เต้นรัวขึ้นมา บางที ตัวเองอาจจะไม่มีวันตามทันเธอ แต่แค่ได้ติดตามเธออย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้ว ด้วยความฉลาดและไหวพริบของเธอ จะมีสักกี่คนที่ตามทันเธอได้!
"หลันหยาง มาๆๆ ให้พวกเขาเก็บกวาดชาม พวกเราสองคนไปประลองกันก่อน"
เมื่อเห็นหมี่หลันหยางลุกขึ้นยืน เตรียมที่จะช่วยเก็บกวาด คุณปู่เจิ้งทนไม่ไหว รีบดึงหมี่หลันหยางไปที่ห้องหนังสือของตัวเอง ไม่ให้เขาทำสิ่งที่คนอื่นทำได้ เพราะเขาร้อนใจแล้ว
แน่นอนว่าเจิ้งซวี่เหยาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ เขาอยากจะดูว่าเด็กหนุ่มที่มาจากเมืองเล็กๆ ชายขอบคนนี้ จะสร้างความประหลาดใจให้เขาได้อีกไหม ต้องรู้ว่าในเมืองเล็กๆ แบบนั้น ไม่น่าจะมีใครพูดถึงเื่หมากล้อมได้เลย เขาถึงกับคิดที่จะเรียนมันได้ แสดงว่าเป็คนที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
เขาสงสัยมากว่าหมี่หลันหยางได้ยินเื่หมากล้อมมาจากที่ไหน แถมยังสามารถมีสมาธิจดจ่อที่จะเรียนมันได้ ต้องรู้ว่าหลายคนยังพอที่จะเรียนหมากรุกได้ รถ ม้า ขุน เรือ าา สัญลักษณ์ชัดเจน เล่นแล้วให้ความรู้สึกฮึกเหิม
แต่คนที่เคยเรียนหมากล้อมแล้วเท่านั้นถึงจะรู้ว่า หมากล้อมคือสนามรบที่แท้จริง หมากทุกตัวมีรูปร่างเหมือนกัน คุณแยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็ขุน ตัวไหนเป็าา แต่พวกมันจะถูกคุณในฐานะผู้นำ สร้างเป็ัใหญ่ ัเล็ก สร้างเป็กับดักหลุมพราง สรุปคือคุณหยิบหมากที่กลมเกลี้ยงขึ้นมา คุณนั่นแหละคือคนที่ตัดสินผลแพ้ชนะ
"ไปกันให้หมดนั่นแหละ ที่นี่มีคนเก็บกวาด ไม่ต้องให้พวกนายที่เป็ผู้ชายมาทำหรอก"
แม่เจิ้งเห็นว่าลูกชายไม่ได้ลังเลเลยตามสองคนนั้นไป ส่วนคนที่เหลือก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบไล่คนออกไปหมด ตัวเองกับหมี่หลันเยว่ช่วยแม่บ้านเก็บโต๊ะ
"ดูท่าทางเธอเองก็เป็คนที่เล่นหมากเป็ใช่ไหม?"
เมื่อเห็นว่าหมี่หลันเยว่มองออกไปนอกประตูห้องอาหารเป็ครั้งคราว แม่เจิ้งก็ถามขึ้นมา หมี่หลันเยว่ตอบตามตรง
"พอได้ค่ะ พี่ชายหนูเล่นหมากก็มีแต่หนูเป็เพื่อนค่ะ คนอื่นเล่นไม่เป็"
"ถ้าอย่างนั้นเธอยังจะเกรงใจป้าทำไม รีบไปดูพวกเขาเล่นหมากสิ ไม่บอกป้าแต่แรกล่ะ"
แม่เจิ้งแตะที่หน้าผากเล็กๆ ของหมี่หลันเยว่เบาๆ
"ถ้ารู้ว่าเธอชอบเล่นหมากล้อมด้วย ป้าก็ให้เธอไปนานแล้ว เื่นี้ป้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด"
หมี่หลันเยว่อยากจะปฏิเสธ อยากจะอยู่เป็เพื่อนแม่เจิ้งในห้องรับแขกก่อน แต่แม่เจิ้งกลับผลักเธอออกจากห้องรับแขก หมี่หลันเยว่จึงทำได้แค่ไปที่ห้องหนังสือของคุณปู่เจิ้งด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ สถานการณ์ภายในกำลังดุเดือด คุณปู่เจิ้งมีสีหน้าเคร่งขรึม
เธอเดินไปข้างๆ กระดานหมากอย่างเบามือ มองสถานการณ์ของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะสูสีกันมากจริงๆ มีเล่ห์เหลี่ยมซ่อนอยู่ข้างใน อยู่ที่ว่าสุดท้ายใครจะแสดงฝีมือได้ดีกว่ากัน หรือใครจะซ่อนไว้ได้ลึกกว่ากัน หมี่หลันเยว่มีความสามารถพิเศษด้านหมากล้อมน้อยกว่าพี่ชาย ดังนั้นสำหรับคู่ต่อสู้สองคนที่เก่งกว่าเธอ เธอจึงตัดสินไม่ได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร ทำได้แค่รอผลลัพธ์
หมากล้อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถจบการต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้น การวางหมากของทั้งสองฝ่ายก็ช้าลงเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกตึงเครียด แม้แต่เฉียนหย่งจิ้นและคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจหมากล้อม ก็ััได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดในสนามรบ ทั้งสองฝ่ายน่าจะกัดกันอย่างดุเดือด ไม่ยอมให้กัน
เพียงแต่ว่าในบาง่เวลา หมี่หลันหยางก็ตัดัใหญ่ของคุณปู่เจิ้งอย่างกะทันหัน กลยุทธ์นี้เป็สิ่งที่หมี่หลันเยว่ก็มองไม่ออกเช่นกัน คุณปู่เจิ้งอาจจะกำลังต่อสู้ในอีกด้านหนึ่งอย่างดุเดือดเกินไป จนไม่ได้ใส่ใจกับสถานการณ์ทางด้านนี้ เมื่อหมากดำแผ่นนั้นถูกตัดออก สถานการณ์ก็พลิกผันไปในทันที
"ไอ้หนู ไม่เลวเลยนี่"
คุณปู่เจิ้งตบไหล่หมี่หลันหยาง มีความตื่นเต้นที่ได้เจอกับสหายร่วมรบ
"ถ้าอย่างนั้น พวกเรามาเล่นกันอีกกระดานดีไหม"
เห็นได้ชัดว่าคุณปู่เจิ้งเล่นอย่างสนุกสนาน หมี่หลันหยางก็ต้องเล่นเป็เพื่อนอยู่แล้ว เจิ้งซวี่เหยากลับแอบสังเกตเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่คิดว่าจะเป็คนที่มีฝีมือจริงๆ มีความคิดที่รอบคอบ ไม่รีบร้อน ไม่ตื่นตระหนก หลังจากวางแผนอย่างละเอียดแล้ว จู่ๆ ก็สำแดงเดช ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ติด
