“เขาเป็บ้าไปแล้วหรืออย่างไร?”
หรูอี้กับฉินรั่วมองหน้ากันไปมา ก่อนจะมองไปที่หลังของมู่หรงฉือ
ท่ามกลางความมืด ใบหน้าหมดจดของเสี่ยวยินค่อยๆ สงบลง จ้องไปยังตำแหน่งหนึ่ง สายตานิ่งสงบทว่าว่างเปล่า มุมปากยกยิ้มมีเลศนัย
มู่หรงฉือถามอย่างไม่รีบร้อน “หยกโลหิตตกจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียน เ้าจัดฉากขึ้นมาอย่างไร? หยกโลหิตมาจากไหน? เืคนมากมายขนาดนั้น เ้าไปเอามาจากไหน?”
“เ้าอยากรู้หรือ?” เขาทำหน้ายิ้มอย่างได้ใจที่แผนการสำเร็จผนวกกับเชื่อมั่นในตนเอง “วันนั้น จิ้นเซิงที่ดูแลทำความสะอาดตำหนักเฟิ่งเทียนก็เข้าไปตามปกติ ข้าอาศัยตอนที่เขาไม่ทันได้สังเกตวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วเอาหยกโลหิตเทลงไปในเื จากนั้นก็วิ่งกลับมา จิ้นเซิงก็คิดว่าข้าถูพื้นอยู่อีกส่วนของตำหนัก ไม่ได้ออกจากตำหนักไป”
“เป็เช่นนั้นจริง การจัดฉากไม่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการมากมาย หยกโลหิตกับเืคนเ้าเอามาจากไหน? ก่อนหน้านี้เ้าเอาหยกโลหิตกับเืไปซ่อนไว้ที่ใด?” นางถามต่อ
“เตี้ยนเซี่ยฉลาดถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงยังคิดไม่ได้กันเล่า?”
เสี่ยวยินเหมือนไม่อยากจะตอบอะไรอีก มองไปยังจุดๆ หนึ่งแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน เหมือนกับทำเื่บางอย่างสำเร็จแล้ว ไม่มีเื่ใดให้รู้สึกเสียดายอีก
ตอนนี้เองที่ด้านนอกมีเสียงคนเคาะประตูขึ้น ต่อมาก็เป็เสียงของเสิ่นจือเหยียน “เตี้ยนเซี่ย เป็ข้าเอง”
ฉินรั่วเดินไปเปิดประตู เสิ่นจือเหยียนเดินเข้ามาด้วยสภาพหอบเหนื่อย เห็นได้ชัดว่าเขารีบเดินทางมา
เขามองเสี่ยวยินแล้วก็ใเล็กน้อย “เขาก็คือขันทีของตำหนักเฟิ่งเทียนไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาจึงมาลอบสังหารเตี้ยนเซี่ย?”
มู่หรงฉือเล่าคำพูดของเสี่ยวยินให้ฟังรอบหนึ่ง เสิ่นจือเหยียนครุ่นคิด ใบหน้าหล่อเหลาในความมืดเป็เหมือนหยกที่ใสสะอาด “เหมือนเขาจะไม่อยากบอกว่าหยกโลหิตพวกนั้นกับเืคนได้จากที่ใด”
นางพยักหน้า “เปิ่นกงเองก็คิดเช่นนั้น...”
“เตี้ยนเซี่ย เขาฆ่าตัวตายไปแล้ว!”
ฉินรั่วพูดขึ้นด้วยความใ พุ่งเข้าไปง้างปากของเสี่ยวยินแต่สายไปเสียแล้ว
มุมปากของเสี่ยวยินมียาพิษไหลออกมา ส่วนหนึ่งไหลลงคอเข้าสู่อวัยวะภายใน
เสิ่นจือเหยียนรีบเข้ามาตรวจทันที พูดด้วยความเสียดาย “เขาซ่อนพิษเอาไว้ที่ร่องฟันมานานแล้ว”
“เปิ่นกงรู้สึกว่าตอนเขาลอบสังหารเปิ่นกง ก็เตรียมใจตายเอาไว้แล้ว” ั์ตาราวน้ำหมึกของมู่หรงฉือเป็ประกาย “หนึ่ง เขาไม่มีศิลปะการต่อสู้ พึ่งแค่กำลังแรงมาสังหารเปิ่นกง สอง เขาคงจะไปสอบถามการเคลื่อนไหวของเปิ่นกงมาก่อนล่วงหน้าแล้วเฝ้าตอไม้รอกระต่าย สาม เขาทำงานในวังมาหลายปี คงจะรู้ว่าหากลอบสังหารที่นั่นจะง่ายต่อการถูกองครักษ์จับกุม อีกทั้งเขาเองก็รู้ว่าการลอบสังหารเปิ่นกงในวังนั้นลงมือยากมาก”
“ดูเช่นนี้ เขามีความคิดที่จะตายหลังจากลอบสังหารเตี้ยนเซี่ยเอาไว้แล้ว” เสิ่นจือเหยียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ “เหตุใดเขาจึงต้องลงมือสังหารเตี้ยนเซี่ย?”
พูดไปเขาก็ตรวจสอบศพของเสี่ยวยิน เริ่มตรวจสอบจากส่วนหัว
มู่หรงฉือมองดูจากด้านข้าง สายตามองไปยังร่างของเสี่ยวยิน กวาดตามองอย่างละเอียด
ทันใดนั้น สายตาของนางพลันมีความสงสัยปรากฎ นางยกมือเข้าไปในแขนเสื้อของเขา หยิบเส้นผมออกมาเส้นหนึ่ง
ฉินรั่วพูดอย่างไม่เข้าใจ “ผมเส้นนี้ขาวครึ่งหนึ่ง เสี่ยวยินอายุน้อยขนาดนี้ ผมเป็สีดำสนิท ทำไมในแขนเสื้อของเขาถึงได้มีเส้นผมสีขาวได้?”
“ผมขาวเส้นนี้เหมือนกับที่พบบนตัวของศพสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่ บนเตียงก็ได้ผมสีขาวแบบนี้มา” มู่หรงฉือยกเส้นผมหนึ่งขึ้นสูง มองอย่างครุ่นคิด
“ดูแล้วก็เหมือนมาก” เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบศพของเสี่ยวยินต่อ แต่ไม่พบอย่างอื่น “เสี่ยวยินคนนี้เป็อีกปริศนาหนึ่ง ไปเรียกคนที่ดูแลตำหนักเฟิ่งเทียนมา”
พวกเขากลับไปที่ตำหนักบูรพา ไม่นานนักคนดูแลตำหนักก็ถูกองครักษ์มา
เื่ที่องค์รัชทายาทถูกลอบสังหารถูกแพร่กระจายไปทั่ววัง จิ้นเซิงที่ดูแลตำหนักเฟิ่งเทียนที่เงียบเหงาก็ได้ยินเื่นี้ ตอนนี้องค์รัชทายาทส่งคนมาเรียก ย่อมไม่ใช่การตกรางวัลแน่ ไม่แน่ว่าจะต้องถูกขับไล่ออกไป เขาใจนหน้าถอดสี ในใจก็ตำหนิเ้าเด็กบ้าเสี่ยวยินที่ทำให้เขาติดร่างแหไปด้วย
เขาคุกเข่าลงดัง “ตึง” น้ำตาไหลอาบลงมา ร้องขอความเป็ธรรมด้วยเสียงทุกข์ใจ “เตี้ยนเซี่ยผู้มีปัญญาฉลาดหลักแหลม หนูฉายไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เ้าเด็กบ้าเสี่ยวยินกล้าลงมือลอบสังหารเตี้ยนเซี่ยก็สมควรถูกจัดการแล้ว แต่หนูฉายไม่รู้อะไรด้วยเลยจริงๆ...”
เขาโคกศีรษะไปกับพื้น น้ำหูน้ำตานองหน้าราวกับถูกใส่ร้ายครั้งใหญ่หลวง
“ปัง!”
เสิ่นจือเหยียนตบโต๊ะอย่างแรงจนร่างของจิ้นเซิงใจนตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
มู่หรงฉือถามเสียงเย็น “เสี่ยวยินพักอยู่ด้วยกันกับเ้าใช่หรือไม่?”
จิ้นเซิงตอบ “ขอรับ”
เสิ่นจือเหยียนถามอีก “เ้าอยู่กับเสี่ยวยินทุกวัน เขาทำอะไร เหตุใดเ้าถึงไม่รู้?”
จิ้นเซิงคุกเข่าอยู่ที่พื้น สองแขนวางอยู่ที่พื้นอิฐ ตัวสั่นเทาไปทั้งร่าง พูดจาก็ติดๆ ขัดๆ “ถึงแม้หนูฉายจะอยู่กับเสี่ยวยินทุกวัน...แต่เขาก็เป็เหมือนปกติ หนูฉายให้เขาไปทำอะไร เขาก็ทำอย่างนั้น...ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ...หนูฉายไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงลอบสังหารเตี้ยนเซี่ย..หากหนูฉายมองออกสักนิด หนูฉายจะต้องส่งเขามาอยู่ตรงหน้าเตี้ยนเซี่ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
“เ้าคิดดีๆ ่นี้เสี่ยวยินมีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่?” มู่หรงฉือถูกเสียงโวยวายไม่หยุดของเขาทำให้ปวดหัว
“ทางที่ดีเ้าคิดให้ละเอียดก่อนค่อยตอบ ไม่เช่นนั้นองค์รัชทายาทไม่ปล่อยเ้าไว้แน่” เสิ่นจือเหยียนยกถ้วยชาขึ้นพลางยิ้มเย็น
จากมุมมองของจิ้นเซิง รอยยิ้มเย็นของเขากลับเป็รอยยิ้มแสนชั่วร้ายอันทรงเสน่ห์และเืเย็น เขาเหมือนเห็นตนเองหายใจรวยรินอยู่ในเครื่องปะา ดังนั้นจึงก้มหน้าคิดอย่างหนัก
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความดีใจ แต่ครั้นปะทะเข้ากับสายตาอัน “อ่อนโยน” ของเสิ่นจือเหยียนก็รีบก้มหน้าลง “หนูฉายกับเสี่ยวยินพักในห้องเดียวกัน มีอยู่คืนหนึ่ง หนูฉายลุกขึ้นมาตอนกลางคืน ตอนที่กลับมาก็เห็นเสี่ยวยินเพิ่งกลับมาจากด้านนอก ตอนนั้นหนูฉายคิดว่าเขาคงไปห้องน้ำ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมาก ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทิศทางที่เขากลับมาไม่ใช่ทิศทางของห้องน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนว่าเสี่ยวยินจะมีอะไรแปลกๆ จริงๆ มู่หรงฉือถาม “นี่เป็เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อไร?”
“ก่อนที่จะเกิดหยกโลหิตตกจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียนราวสามสี่วันพ่ะย่ะค่ะ” จิ้นเซิงตอบ
“เ้าคิดดีๆ ตอนที่เขากลับมาจากด้านนอกมีตรงไหนผิดปกติหรือไม่?” นางถามอีกครั้ง
“หนูฉายคิดสักครู่พ่ะย่ะค่ะ...” เขาหุบตาลงอย่างรู้สึกผิด “เพราะว่าลุกขึ้นมากลางดึก หนูฉายก็เบลอๆ เห็นอะไรไม่ชัดเจนมากนัก...ใช่แล้ว หนูฉายคิดออกแล้ว ตอนที่หนูฉายล้มตัวลงนอนต่อ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กน้อย ใช่ น่าจะเป็เสียงร้องไห้ เพราะว่าวันต่อมา หนูฉายเห็นดวงตาทั้งสองข้างของเสี่ยวยินบวมแดง ตอนนั้นหนูฉายยังคิดว่าเป็เสียงลมด้านนอก”
เสิ่นจือเหยียนกับองค์รัชทายาทมองตากัน แล้วถามต่อ “เ้ารู้หรือไม่ว่าเสี่ยวยินเข้าวังมาปีไหน? ไปทำงานที่ตำหนักไหนก่อนเป็ที่แรก? บ้านเกิดอยู่ที่ไหน? ที่บ้านมีใครบ้าง?”
จิ้นเซิงทั้งลำบากใจทั้งหวาดกลัว “หนูฉายรู้แค่ว่าเมื่อสามปีก่อนเสี่ยวยินทำความผิดถึงได้ถูกส่งมาที่ตำหนักเฟิ่งเทียน ส่วนบ้านเกิดของเขาและครอบครัว หนูฉายไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือให้ฉินรั่วพาเขาออกไป อยากจะขุดประวัติของเสี่ยวยินนั้นไม่ยาก กรมข้าหลวงน่าจะมีเอกสารบันทึกเอาไว้
ตอนนั้นเอง ฉินรั่วก็ไปที่กรมข้าหลวงเพื่อเอาเอกสาร
มู่หรงฉือมาที่ห้องตำรา เอาผมเส้นที่สามวางลงบนโต๊ะหนังสือ
ตอนนี้แสงจากพระอาทิตย์ส่องลงมายังโต๊ะหนังสือพอดี มือเล็กของนางราวถูกอาบอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ เรียวเล็กงดงามราวกับหยก เดิมผิวของนางก็ขาวอยู่แล้วพอมาอยู่ใต้แสงอาทิตย์ก็เหมือนกับหลิวหลีที่ใสสะอาด งดงามมาก
เสิ่นจือเหยียนที่มองผมสามเส้นนั้นอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงนิ้วมือเรียวสวยกับข้อมือนั้น จึงอดมองไปไม่ได้
นี่เป็หยกแกะสลักชั้นเลิศจริงๆ
ช่างหยกที่มีฝีมือที่สุดในโลกก็ยังไม่อาจแกะสลักผลงานที่งดงามจนไร้ที่ติเช่นนี้ออกมาได้
นี่เป็สิ่งที่์ประทานมา!
บุรุษจะตัวผอมบางแค่ไหน จะนุ่มนิ่มเพียงใด ก็ไม่มีทางมีมือเช่นนี้
เขาเหมือนตกอยู่ในความลุ่มหลง จ้องมือข้างนั้นนิ่ง หัวใจพองโต
“เสิ่นจือเหยียน...”
มู่หรงฉือเรียกเขา พบว่าสายตาของเขามองจ้องมาที่มือของนางอย่างตกตะลึง
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกอะไรขึ้นมาได้ หัวใจพลันกระตุกก่อนจะหดมือลงสีหน้าเรียบเฉยแล้วพูดเสียงดัง “จือเหยียน”
ในที่สุด เสิ่นจือเหยียนก็ดึงสติกลับมา ทั้งกระอักกระอ่วนทั้งเขินอาย แก้มขาวมีสีแดงระเรื่อปรากฎขึ้นจางๆ
“สิ่งที่เสี่ยวยินพูด เขาอาศัยตอนจิ้นเซิงไม่ทันสังเกต เอาเืมนุษย์กับหยกโลหิตมาเทตรงหน้าตำหนักเฟิ่งเทียน เื่นี้คงจะสามารถเชื่อได้” จุดที่เสิ่นจือเหยียนยืนนั้นอยู่ในมุมกึ่งมืดกึ่งสว่าง ครึ่งหนึ่งงดงามราวกับหยก อีกครึ่งหนึ่งดำมืดราวกับกลางคืน เปรียบเหมือนนิสัยของเขา ทั้งอ่อนโยนนุ่มนวล ชอบยิ้มหัวเราะ ตอนชันสูตรศพกลับเป็อีกแบบหนึ่ง ที่ทั้งตั้งใจ ระมัดระวัง เป็ความขัดแย้งในตนเอง “หากเขาเอาเืคนกับหยกโลหิตมากมายเดินไปมาอยู่ในวังจะต้องถูกคนเห็นแน่ อีกทั้งคงต้องถูกองครักษ์เรียกไปสอบสวน”
“ก่อนเขาตายก็ไม่ยอมบอกว่าเืคนกับหยกโลหิตนั้นเอามาจากไหน คงจะอยากปกป้องผู้สมรู้ร่วมคิด” มู่หรงฉือวิเคราะห์ต่อ “จากความสามารถของเขา ไม่มีทางที่จะแอบเข้าไปในเรือนชุนอู๋เงียบๆ แล้วฆ่าสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่รีดเอาเืออกมาได้ ดังนั้น คนร้ายที่ฆ่าสามัญชนไป๋กับสามัญชนโม่นั้นไม่ใช่เขา”
“บนตัวสามัญชนไป๋กับสามัญโม่มีผมสีขาวอยู่ เสื้อของเสี่ยวยินเองก็มีผมสีขาวอยู่ เช่นนั้น เสี่ยวยินคงจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่คนหนึ่ง ผู้สมรู้ร่วมคิดเป็คนสังหาร แล้วเอาเืคนกับหยกโลหิตมาให้เขา” เสิ่นจือเหยียนพูด
นางพยักหน้า เช่นนั้น ผู้สมร่วมคิดของเสี่ยวยินเป็ใครกัน?
...
สำหรับราชวงศ์แคว้นเยี่ยน ในยามปกติ ฮ่องเต้จะมาจัดการฎีกาหารือกับเสนาบดีที่ห้องตำรา อวี้หวางที่ดูแลราชสำนัก แน่นอนว่าจะต้องจัดการฎีกาในห้องตำรา แต่ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหารวมถึงการคาดเดาอันไม่จำเป็ มู่หรงอวี้จึงไม่ได้นั่งในห้องทรงงาน แต่ไปนั่งอยู่ในห้องหนังสือทางตำหนักข้างฝั่งตะวันออกแทน
ในที่สุด เขาก็จัดการกับงานในวันนี้จนหมด ครั้นดื่มชาหมดถ้วยแล้วจึงลุกขึ้นยืดเอว
องครักษ์เงาอู๋หยิงเข้ามาโดยปราศจากสุ่มเสียง “ท่านอ๋อง”
“มีข่าวคราวจากแคว้นซีฉินแล้วหรือ?” มู่หรงอวี้ถามเสียงขรึม ั์ตาสีดำลึกล้ำกระเพื่อมไหว
“สายลับที่แฝงตัวในแคว้นซีฉินตอบกลับมาว่าไม่พบร่องรอยใดๆ พ่ะย่ะค่ะ” อู๋หยิงก้มหน้าลง
ความผิดหวังแล่นผ่านดวงตาของมู่หรงอวี้ไปวูบหนึ่ง “ที่เปิ่นหวางให้พวกเ้าไปตรวจสอบแคว้นเจียหลันมีความคืบหน้าหรือไม่?”
“ตรวจสอบไม่พบร่องรอยเลยพ่ะย่ะค่ะ” อู๋หยิงขมวดคิ้วตอบ “พูดไปแล้วก็แปลก คนที่อยู่เื้ัเื่เหล่านี้ฝีมือสูงส่ง ลงมือแเี ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย”
“องค์รัชทายาทกับศาลต้าหลี่ตรวจสอบเจออะไรหรือ?”
“หลายวันมานี้ องค์รัชทายาทกับเสิ่นเซ่าชิงมักจะไปสืบคดีด้วยกันบ่อยครั้ง คิดไปแล้วก็คงจะมีความคืบหน้าเล็กน้อย กระหม่อมไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ดังนั้นจึงไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาตรวจสอบพบอะไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้พยักหน้า อู๋หยิงถอยออกไปเงียบๆ ก่อนจะเป็เสี่ยวอิงจื่อที่เข้ามา เป็นางกำนัลที่ผู้ดูแลหลิวอันส่งมา
น้ำเสียงของเสี่ยวอิงจื่ออ่อนหวานแหลมเล็ก “ทูลท่านอ๋อง วันนี้องค์รัชทายาทถูกลอบสังหารในวัง ทั้งยังได้รับาเ็เพคะ”
“อ้อ?” คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “องค์รัชทายาทาเ็หนักหรือไม่? จับนักฆ่าได้หรือไม่?”
“จับนักฆ่าได้ตรงนั้นเลยเพคะ หนูฉายไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ใต้เท้าผู้ดูแลบอกว่าอาการาเ็ขององค์รัชทายาทไม่ได้หนักมากเพคะ” เสี่ยวอิงจื่อตอบกลับ
เพิ่งจะพูดเสร็จ นางพลันรู้สึกถึงสายลมที่ผ่านหน้าไป เป็สายลมสีดำกลุ่มหนึ่งถลาขึ้นไปบนอากาศ
ก่อนที่ห้องตำราจะว่างเปล่าเหลือเพียงแค่นางคนเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้