ใบหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็ดุดัน
หากเป็คนธรรมดาเห็นเช่นนี้จะต้องรู้สึกใกลัวแน่นอน ทว่าเซี่ยโม่ที่เคยควบคุมดูแลบริษัทใหญ่ที่มีพนักงานกว่าพันคนในชาติที่แล้ว เธอไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวหรือกดดันเลยแม้แต่น้อย
ทราบดีว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาลังเล หากชาตินี้เธอตามหาน้องชายไม่เจอ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
เธอกัดฟันพยักหน้าออกไป “ฉันแน่ใจค่ะ!”
ซ่งมู่ไป๋มองหน้าเด็กสาวนิ่งนานอยู่ครู่หนึ่ง เธอน้ำตาคลอเบ้า ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสิ้นหวัง คล้ายกับว่าแค่ลมพัดผ่านก็พร้อมจะปลิวไปตามแรงลม เขาตัดสินใจได้ในนาทีนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า “งั้นก็ขึ้นรถไฟไปตามหากัน”
เซี่ยโม่น้ำตาไหล คือน้ำตาแห่งความหวังที่พรั่งพรูออกมา
ชาตินี้ยังมีคนดีอยู่!
เธอกลั้นสะอื้นพลางเอ่ย “ขอบคุณมากค่ะ…”
ซ่งมู่ไป๋เอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “อย่ามัวพูดมากเลย ตามฉันมา”
เขารีบวิ่งไปยังประตูบานหนึ่งของรถไฟ ก่อนจะเอ่ยกับหญิงสาวที่อายุประมาณสามสิบกว่า “พี่หลิน ผมขอขึ้นรถไฟไปตามหาคนได้ไหม”
เซี่ยโม่ที่วิ่งตามมาด้านหลังเข้าใจว่า หญิงสาวคนนี้คือคนรู้จักของพี่ชายที่ช่วยเธอตามหาน้องชาย
มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ได้ดีมาก เมื่อมีคนรู้จัก จัดการเื่ใดก็ง่ายขึ้น
หญิงสาวที่พี่ชายเรียกว่าพี่หลินยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เสี่ยวซ่ง รีบขึ้นไปเถอะ”
ที่แท้พี่ชายที่ช่วยเธอตามหาน้องชายแซ่ซ่งนี่เอง เธอเดินตามขึ้นไปบนรถไฟ อีกฝ่ายหยุดยืนตรงทางเดินทางก่อนจะกล่าวว่า “พวกเราแยกกันตามหา แล้วก็ต้องให้ไวที่สุดด้วย พอถึงสถานีต่อไปต้องลงทันที แล้วก็จำไว้ว่าให้รอฉันอยู่ตรงทางออก เธอไปหาทางนี้ ส่วนฉันจะไปทางนั้น”
เซี่ยโม่รู้ดีว่าทำแบบนี้จะช่วยประหยัดเวลาจึงพยักหน้า “ค่ะ”
เธอเดินไปทางซ้ายของรถไฟ
บนรถไฟมีผู้โดยสารเยอะพอสมควร กลิ่นมากมายผสมปนเปกันไปหมด หากเธอไม่มีเวลามาสนใจ สายตามองไปยังที่เด็กทุกคนที่อยู่ในขบวน
“ไม่มี” หลังจากสำรวจไปหนึ่งตู้ เธอก็พึมพำด้วยในใจเคร่งเครียด หรือว่าชาตินี้เธอยังต้องแยกกับน้องชายอีก ไม่ เธอไม่ยอม!
หากตามหาน้องชายไม่เจอ เธอก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!
เธอสอดส่ายสายตาตามหาต่อ
ก็ยังไม่เจอ…
เธอเริ่มใจคอไม่ดี มือเท้าเย็น หายใจไม่ทั่วท้อง
เธอพึมพำเสียงเบาว่า “แม่คะ ช่วยหนูด้วย ช่วยให้หนูตามหาน้องชายให้เจอด้วยเถอะค่ะ…”
เซี่ยโม่เดินตรงไปที่ตู้ถัดไปซึ่งเป็ตู้สุดท้าย ขณะที่ความหวังในใจเธอเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ
เวลานี้เองที่เสียงประกาศดังออกมาจากลำโพง “ผู้โดยสารทุกท่าน อย่าพูดว่าูเาสูงใหญ่เกินกว่าจะข้ามไป แต่จงปลุกความกล้าขึ้นมาเพื่อข้ามมัน สถานีต่อไปคือสถานีตำบลซิงหลง ท่านผู้โดยสารที่้าจะลง กรุณาเตรียมตัว รถไฟขบวนนี้จะจอดที่สถานีนี้เป็เวลาสามนาที”
สถานีต่อไปแล้ว? เร็วขนาดนี้เลย?
เธอะโในใจอย่างร้อนใจ น้องพี่ เราอยู่ไหน! ทันใดนั้นเองเธอได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงร้องไห้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
เป็เสียงที่เธอคุ้นเคยเป็อย่างดี!
เซี่ยโม่วิ่งไปตามเสียง ตรง่รอยต่อระหว่างตู้บริเวณอ่างล้างมือ เด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใต้อ่าง แววตาตื่นตระหนกมองคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปผ่านมาเป็ระยะๆ
เด็กชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น คือน้องชายที่เธอกำลังตามหาอยู่นั่นเอง เซี่ยเฉินเฟิง
ชาตินี้แม้จะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง หากสำหรับเธอ น้องชายกับเธอต้องแยกจากกันไปหลายสิบปี
ชาติที่แล้วการหายไปของน้องชายเป็หนามคอยทิ่มแทงใจของเธออยู่ทั้งชีวิต เพียงแค่นึกถึงว่าเวลานี้น้องชายของเธออาจจะได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ที่ไหนสักแห่ง เธอก็รู้สึกเ็ป
ในที่สุดก็ตามหาน้องชายเจอ เธอร้องไห้ออกมาด้วยความยินดี “เฉินเฟิง ในที่สุดพี่ก็หาเราเจอแล้ว”
ครั้นเซี่ยเฉินเฟิงเห็นพี่สาวก็พุ่งเข้าไปกอดทันที “พี่ครับ…ผมกลัว…ฮือๆ…”
ใจที่เครียดเขม็งมานานของเธอเริ่มผ่อนคลายลง เธอกอดน้องชายเอาไว้แน่น
“เฉินเฟิง พี่ไม่ดีเอง…”
เธอผิดเองที่เชื่อคำโกหกของแม่ดอกบัวขาว[1] น้องชายของเธออายุแค่ไม่กี่ขวบแต่กลับต้องมีชีวิตที่ลำบาก
ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วน้องชายของเธอต้องเจออะไรบ้าง ทว่าชาตินี้เธอหาน้องชายเจอแล้ว
ขอบคุณ์ที่มอบโอกาสให้เธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง และขอบคุณแม่ที่ช่วยให้เธอตามหาน้องชายเจอ
“ฉึกฉักๆ…” รถไฟวิ่งชะลอก่อนจะหยุดลง
เธออุ้มน้องชาย ก่อนจะพาเดินลงจากรถไฟตามคนอื่นไป แล้วเธอก็ได้เจอกับพี่หลินซึ่งเป็พนักงานต้อนรับของรถไฟขบวนนี้
เธอค้อมกายแสดงความขอบคุณ “พี่หลิน ฉันหาน้องชายเจอแล้ว ขอบคุณพี่มากนะคะ”
พี่หลินเพิ่งจะรู้ว่าที่ซ่งมู่ไป๋รีบร้อนพาเด็กสาวคนนี้ขึ้นรถไฟนั้นไปทำอะไร
เธอตอบ “หาเจอก็ดีแล้ว”
เซี่ยโม่บอกลาพี่หลินอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนจะจูงมือน้องชายพาเดินไปที่ประตูทางออกเพื่อไปหาพี่ซ่ง
ในที่สุดเธอก็มองเห็นเขาท่ามกลางผู้คนมากมาย เขายืนนิ่งและกำลังมองมาทางนี้เช่นกัน
เธอเดินตรงไปหาอีกฝ่าย น้ำตาไหลอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาคือคนดีที่ไม่้าอะไรตอบแทน “พี่ชาย ขอบคุณมากค่ะ พี่เป็คนดีเหลือเกิน คนดีมากๆ…”
ซ่งมู่ไป๋มองสองพี่น้อง แววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยความปีติยินดี ดูสดใสสมวัยผิดกับก่อนหน้านี้ที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
แววตาของเด็กสาวใสกระจ่างคล้ายท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปได้
ด้านข้างคือเด็กชายผิวคล้ำ ตัวเล็ก ผอมแห้ง หน้าตาสกปรกมอมแมม พอมองเห็นความคล้ายคลึงระหว่างเด็กชายกับเด็กสาวอยู่หลายส่วน
ดวงตาของเด็กชายคล้ายกับเด็กสาวมาก แววตาเต็มไปด้วยความลังเลสับสน เหมือนคนที่กำลังหลงทางไม่รู้จะไปทางไหนดี
เด็กสาวจับมือเด็กชายเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือ น้องชายของเธอก็จะหายไปอีก
เขาเก็บสายตาสำรวจกลับคืนแล้วเดินเข้าไปหาทั้งคู่ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็ห่วงว่า “หาน้องชายเจอแล้ว?”
เซี่ยโม่กล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “เจอแล้วค่ะ เฉินเฟิง รีบขอบคุณพี่ซ่งเร็วเข้า”
เด็กชายมีนิสัยขี้กลัวจึงทำท่าจะเดินเข้าไปหลบหลังพี่สาว เธอกลับดึงแขนน้องชายออกมา ไม่ยอมให้เข้าไปหลบด้านหลัง
เด็กชายกล่าวเสียงเบาประหนึ่งเสียงยุงบิน “ขอบคุณพี่ซ่งครับ”
ซ่งมู่ไป๋ยิ้ม “น้องชายของเธอดูเป็คนขี้กลัวนะ เป็ผู้ชายจะขี้ขลาดไม่ได้ หลังจากนี้ต้องฝึกให้เขากล้าขึ้น”
เซี่ยโม่พยักหน้า “ค่ะ ฉันจะสอนเขาเอง”
ซ่งมู่ไป๋ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “อีกสิบห้านาทีหลังจากนี้จะมีรถไฟมาจอดที่สถานีนี้ พวกเราสามารถนั่งรถไฟขบวนนั้นกลับไปได้ พวกเธอไปรอตรงนั้นก่อน เดี๋ยวฉันไปซื้อของกินมาให้”
เซี่ยโม่มองตามไปยังทิศทางที่มือของพี่ซ่งชี้ไป ตรงนั้นมีกระดานดำอยู่หนึ่งแผ่น ซึ่งมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ต้องทนต่อการวิพากษ์[2]
ใต้กระดานดำคือม้านั่งยาวเก่าๆ ซึ่งทำจากไม้ตัวหนึ่ง ทว่าสภาพโดยรวมก็ดูใช้ได้
“ค่ะ” เธอพยักหน้า
ซ่งมู่ไป๋หันหลังก่อนจะเดินไปอีกทาง
เซี่ยโม่จูงมือน้องชายเดินตรงไปยังม้านั่ง ก่อนทั้งสองคนจะทรุดตัวนั่งลง
เป็เพราะกลัวว่าน้องชายจะหายตัวไปอีก เธอจึงจับมือน้องชายเอาไว้แน่น
เวลานี้เองที่เซี่ยโม่เพิ่งจะรู้สึกเหนื่อย เวียนศีรษะ เธอหลับตากะว่าจะพักผ่อนสักครู่
ทันใดนั้น ในสมองก็ปรากฏภาพโกดังสินค้าเครือซูเปอร์มาร์เก็ตของเธอในชาติที่แล้ว
ชาติที่แล้วพอเธอรู้ข่าวว่าพี่สาวต่างมารดาขโมยของในโกดังสินค้า คืนนั้นเธอไปที่โกดังเพื่อตรวจดูสินค้า ไปถึงกลับแอบได้ยินพี่สาวต่างมารดากับแม่เลี้ยงพูดถึงเื่ที่เอาน้องชายเธอไปทิ้ง และแผนการทำลายเครือซูเปอร์มาร์เก็ตของเธอ
ด้วยความโมโหเธอตรงเข้าไปเล่นงานทั้งสองคน ผลปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างได้รับาเ็สาหัส ทำให้เธอได้กลับมาเกิดใหม่ในตอนที่เธออายุสิบห้า ซึ่งตรงกับวันที่น้องชายหายตัวไป
ที่น่าประหลาดใจคือ โกดังสินค้าที่ปรากฏในสมองเธอไม่ได้อยู่ในสภาพเละเทะเหมือนก่อนที่เธอจะย้อนเวลามา บนชั้นเต็มไปด้วยสินค้ามากมาย
นี่คือโกดังสินค้าของเครือซูเปอร์มาร์เก็ตที่เธอทุ่มเทบริหารและพัฒนามามากกว่าสิบปี
------------------------------
[1] ดอกบัวขาว คือคำสแลง ใช้ว่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อและมีพฤติกรรมไม่ดี
[2] การวิพากษ์ คือการวิจารณ์คนหรือบางสิ่งบางอย่างต่อหน้าคนมากมาย โดยได้รับการอนุญาตจากคนส่วนใหญ่แล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้