“พูดก็พูดเถอะ ถึงแม้ข้าจะสังหารคนของนครแห่งเทพจริงๆ แล้วข้าทำผิดกฎกติกาอะไร? เมื่อสักครู่ในเส้นทาง์คนของนครแห่งเทพก็สังหารคนของเผ่าคนเถื่อน เผ่าปีศาจ และเกาะเร้นลับไปไม่น้อย และพวกเขาก็สังหารคนของนครแห่งเทพไปไม่น้อยเช่นกัน แล้วทำไมพวกเขาสังหารคนของนครแห่งเทพได้แต่ข้ากลับสังหารไม่ได้? เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการอนุญาตให้แค่ขุนนางวางเพลิงได้แต่ไม่ยอมให้ประชาชนแม้แต่จะจุดตะเกียงเช่นนั้นรึ? มีหลักการใช้เหตุผลเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นรึ?"
"สำหรับเื่สมบัติล้ำค่าของพวกเ้ายิ่งน่าขบขันเข้าไปอีก ในเมื่อสามารถสังหารคนได้แน่นอนว่าต้องแย่งชิงสมบัติของล้ำค่าต่างๆ ได้ ความจริงแล้วข้าสามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดแล้วค่อยรวบรวมเอาสมบัติของล้ำค่าทีหลังก็ยังได้...แต่แน่นอนว่าข้าเข้าใจดีว่าทุกคนล้วนรักชีวิตของตนเองและข้าก็ไม่ใช่คนที่เห็นการเข่นฆ่าชีวิตผู้คนเป็เื่สนุกสนาน ดังนั้นแล้วตอนนี้ถูเสินเว่ย เ้าไม่ควรที่จะมาสอบสวนข้าด้วยความสงสัย แต่ควรที่จะมาสำนึกขอบคุณข้าด้วยซ้ำไปที่ไม่ได้สังหารเรียบจนไม่เหลือ"
น้ำเสียงที่ดังก้องกังวานของเด็กหนุ่มดังขึ้นทั่วทั้งตีนเขาูเาสุสานทวยเทพ ทุกๆ ถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยหลักการและเหตุผล พูดได้อย่างมีคารมคมคายชัดถ้อยชัดคำและถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม ทำให้ทุกๆ คนที่ได้ฟังล้วนพูดอะไรไม่ออกไม่สามารถที่จะโต้แย้งใดๆ ออกมาได้
“ดี...ดี! ดีมาก!” ถูเสินเว่ยอยากจะพูดอะไรออกมา อยากจะโต้แย้งอะไรออกมา แต่ก็กะทันหันเกินไปจนไม่รู้ว่าจะโต้แย้งออกมาอย่างไรดี จึงทำได้แค่เพียงสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กายด้วยความโกรธและชี้นิ้วมาทางเย่ชิงหานพร้อมกับพูดออกมา เขาจำไม่ได้ว่านานเท่าใดแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดด้วยลักษณะเช่นนี้ต่อเขา...
ภายในใจของพวกตาแก่ทั้งหลายของเขตปกครองเทพาล้วนรู้สึกสะใจขึ้นมาอยู่ภายในใจ เย่ชิงหานกล้าทำในสิ่งที่พวกเขาอยากทำแต่ไม่กล้าทำ เพียงแต่ความรู้สึกสะใจไม่อาจที่จะแสดงออกมาทางสีหน้าภายนอกได้ ในทางตรงกันข้ามกลับมองไปยังร่างกายที่ผอมแห้งของเย่ชิงหานพร้อมกับต่างครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า สถานการณ์เช่นนี้ควรจะรับมืออย่างไร? อีกสักพักถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นควรจะจัดการอย่างไรดี?
สีหน้าของพวกตาแก่ของเผ่าคนเถื่อน เผ่าปีศาจ และเกาะเร้นลับในตอนนี้ยิ่งดูสนุกสนานสนใจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า การทำตัววางอำนาจบาตรใหญ่และกำเริบเสิบสานของนครแห่งเทพทำให้ผู้คนทั่วทั้งทวีปัเพลิงไม่พอใจกันมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแสดงตัวออกมาเท่านั้น ตอนนี้มีผู้ที่กล้างัดข้อกับถูเสินเว่ยแน่นอนว่าย่อมทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเช่นนี้
เพียงแต่พวกเขากลับรู้สึกกลัดกลุ้มเป็อย่างมาก ทำไมพลังฝีมือของเด็กหนุ่มเขตปกครองเทพาถึงได้สูงล้ำถึงเพียงนี้ ไม่เพียงแค่นั้นแม้แต่คารมคมคายการพูดการจายังเฉียบขาดและแหลมคมเป็อย่างมาก?
บรรยากาศเริ่มค่อยๆ ตึงเครียดและกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ศักดิ์ศรีความน่าเกรงขามของนครแห่งเทพถูกท้าทายขึ้นเป็ครั้งแรก พวกเขาอยากจะดูว่าถูเสินเว่ยจะจัดการต่อเื่นี้อย่างไรเพื่อที่จะทวงคืนเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความน่าเกรงขามของนครแห่งเทพที่ถูกเหยียบย่ำท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่าในครั้งนี้
เพียงแต่...
สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดคิดไปไม่ถึงก็คือ ถูเสินเว่ยกลับไม่ได้บันดาลโทสะอย่างเดือดดาลขึ้นมาอีก ในทางตรงกันข้ามกลับถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ฮึ! เื่การสังหารคนข้าไม่ติดใจเอาความ แต่สมบัติล้ำค่าของนครแห่งเทพเ้าจะต้องมอบกลับคืนมา หาไม่แล้วละก็ จ้าวเทวะเดือดดาลขึ้นมาคงไม่เป็ผลดีต่อตระกูลเย่ของพวกเ้าแน่ เย่เทียนหลง ข้าเห็นแก่หน้าเ้ามอบสมบัติล้ำค่าออกมาเื่ราวในครั้งนี้ถือว่าสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้!”
ถูเสินเว่ยดวงตากลอกกลิ้งไปมาทำการครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่พบว่าตนเองทำเื่ที่โง่เขลาออกมาเื่หนึ่ง ภายในูเาสุสานทวยเทพสามารถทำสิ่งใดก็ได้ซึ่งเป็กฎกติกาที่ทุกคนต่างยอมรับ ใครตายใครพ่ายแพ้เมื่อออกมาจากูเาสุสานทวยเทพแล้วล้วนไม่สามารถติดใจเอาความกันต่อได้ ตอนนี้อยู่ต่อหน้าผู้คนของทั้งสามเขตปกครองและคนของเกาะเร้นลับ ตนเองไม่อาจที่จะสามารถลงมือสังหารเย่ชิงหานได้จริงๆ หากทำเช่นนั้นจะเป็การละเมิดพันธสัญญาโลหิตที่ทำร่วมกันไว้ อีกทั้งผู้คนของเขตปกครองเทพาคงไม่ยอมอยู่เฉยให้ตนเองลงมือเป็แน่แท้ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่ต่างจากผู้ที่ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก
แต่ความจริง จะว่าไปแล้วจะพูดว่าเขาโง่เขลาจนเกินไปก็ไม่ได้ เพราะนครแห่งเทพหลายพันปีมานี้ไม่เคยพ่ายแพ้อย่างยับเยินเช่นนี้มาก่อนและไม่เคยถูกคนตบหน้าอย่างจังเช่นนี้ด้วย ยิ่งจ้าวเทวะให้ความสำคัญเป็อย่างมากต่อการแย่งชิงสมบัติของล้ำค่าภายในูเาสุสานทวยเทพในครั้งนี้อีกด้วย ดังนั้นด้วยความร้อนใจและวู่วามอยากที่จะกู้หน้าทวงศักดิ์ศรีหน้าตากลับคืนมาสักหน่อยจึงได้ทำเื่เช่นนั้นออกไป
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเ้าเด็กหนุ่มหน้าตาดูไม่มีพิษมีภัยที่มีรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่ตลอดผู้นี้จะแข็งกร้าวอย่างไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงตัดสินใจว่าจะยอมถอยให้สักก้าวเพื่อให้ตระกูลเย่และตนเองได้มีทางออกจากสถานการณ์ที่เป็อยู่ เพราะถ้าหากตนเองลงมือต่อสู้กับเย่เทียนหลงอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ไร้เหตุผล คิดว่าคงจะทำให้คนของเขตปกครองเทพามีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรงแน่นอน ถึงตอนนั้นเื่ราวบานปลายเกิดเื่อะไรเพิ่มขึ้นมาอีกเขาคงยากที่จะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่จ้าวเทพวะได้
.................................
เย่เทียนหลงรีบส่งกระแสเสียงไปหาเย่ชิงหนิวและเย่ชิงหานโดยทันที ไม่ว่าอย่างไรถูเสินเว่ยก็ถือว่าเป็ตัวแทนของนครแห่งเทพ ถือว่าเป็ตัวแทนของบุรุษหัวโล้นผู้แข็งแกร่งผู้นั้น เขาสามารถที่จะไม่ไว้หน้าถูเสินเว่ยได้ แต่เขาไม่สามารถที่จะไม่คำนึงถึงหน้าของจ้าวเทวะถูผู้นั้นได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะถือโอกาสหาทางออกจากสถานการณ์ที่เป็อยู่นี้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้นนั้น ข้างหูของเขาพลันมีกระแสเสียงสามสายที่ดังมาจากสถานที่ที่แตกต่างกัน
“เย่เทียนหลง ข้าคือจ้าวเกาะเร้นลับ ไม่ต้องส่งมอบสมบัติของล้ำค่าออกไป ถ้าหากถูเสินเว่ยกล้าลงมือ คนของเกาะเร้นลับจะช่วยเ้าเอง ส่วนทางปรมาจารย์บรรพบุรุษของเ้าข้าจะไปพูดกับเขาเอง!”
“เย่เทียนหลง ข้าคือเทพาเจี้ยนหวง ไม่ต้องส่งมอบสมบัติของล้ำค่าออกไป ถ้าหากเกิดเื่อะไรขึ้นเขตปกครองเทพาจะช่วยเหลือตระกูลเย่ของเ้าเอง!”
“เทียนหลง ข้าคือเย่รั่วสุ่ย ไม่ต้องส่งมอบสมบัติของล้ำค่าออกไป แต่ว่าน้ำเสียงการพูดจาเกรงใจสักหน่อย เื่ราวอื่นๆ เดี๋ยวพวกข้าจะจัดการเอง!”
กระแสเสียงสามสายที่ส่งมามาจากสามสถานที่ที่แตกต่างกัน... เกาะเร้นลับ เมืองั ตระกูลเย่ แต่ทั้งสามกระแสเสียงเห็นได้ชัดว่าอยากให้เย่เทียนหลงแข็งกร้าวอย่างถึงที่สุดโดยไม่ต้องส่งมอบสมบัติของล้ำค่าออกไป ถ้านครแห่งเทพอยากรบก็รบ!
เย่เทียนหลงสีหน้าเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครา เขาไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมเทพา จ้าวเกาะเร้นลับ และเย่รั่วสุ่ยถึง้าทำเช่นนี้? หรือว่าอยากที่จะเปิดศึกกับนครแห่งเทพจริงๆ? เพียงแต่เวลานี้เขาไม่กล้าที่จะครุ่นคิดใดๆ ไปมากกว่านี้ ครั้นแล้วจึงกัดฟันพูดขึ้นว่า “ต้องขอโทษด้วย การแย่งชิงสมบัติของล้ำค่าในครั้งนี้ตระกูลเย่ไม่ได้ทำผิดกฎกติกาต่างๆ ที่บัญญัติไว้ในพันธสัญญาโลหิตแห่งเทพแม้แต่น้อย ดังนั้นข้าเป็ตัวแทนของตระกูลเย่จึงขอปฏิเสธที่จะคืนสมบัติของล้ำค่ากลับไปให้นครแห่งเทพ!”
ปฏิเสธ?
คำพูดของเย่เทียนหลงสร้างเสียงฮือฮาขึ้นในทันที พวกเขาต่างคิดว่าถูเสินเว่ยหาทางออกให้ตระกูลเย่ถึงเพียงนี้ เย่เทียนหลงจะต้องรีบเดินออกมาอย่างไม่คิดลังเลใดๆ อย่างแน่นอน เพราะการปฏิเสธก็เท่ากับว่า ไม่ต่างจากการตบหน้าจ้าวเทวะของนครแห่งเทพ ตระกูลเย่คิดที่จะเปิดศึกกับนครแห่งเทพเชียวรึ?
“ดี ดี ดี! คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนหลง พวกเ้าปู่หลานจะมีนิสัยเหมือนกัน ทำได้ดีมาก!” ถูเสินเว่ยโกรธจนหัวเราะออกมา ไม่มีทางเลือกแล้ว ในเมื่อหาทางออกให้พวกเขาถึงเพียงนี้ยังไม่คิดที่จะรับเอาไว้ ดังนั้น เพื่อเกียรติ ศักดิ์ศรี และความน่าเกรงขามของนครแห่งเทพและของตนเอง เขาจำเป็ที่จะต้องเปิดศึกขึ้น หาไม่แล้วต่อไปตัวเขาเองจะอาศัยอยู่ภายในทวีปัเพลิงแห่งนี้ได้อย่างไร?
ถูเสินเว่ยเริ่มโคจรพลังปราณรบขึ้นอย่างช้าๆ เพียงไม่นานระดับพลังก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนองครักษ์แห่งเทพอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังก็เหาะลอยขึ้นบนอากาศพร้อมกับพลังปราณรบที่โคจรขึ้นเตรียมพร้อมเอาไว้ องครักษ์แห่งเทพทั้งสี่เป็หนึ่งเดียวกัน ตบหน้าจ้าวเทวะก็เท่ากับตบหน้าพวกเขาองครักษ์แห่งเทพทั้งสี่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูเสินเว่ยเป็หัวหน้าผู้นำของพวกเขาองครักษ์แห่งเทพ ในเมื่อถูเสินเว่ยตัดสินใจที่จะลงมือพวกเขาจึงจำใจต้องลงมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ของเขตปกครองเทพาทั้งเจ็ดเมื่อเห็นองครักษ์แห่งเทพทั้งสี่เหาะลอยขึ้นไปบนอากาศสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็เคร่งเครียดขึ้นมาในทันที ต่างพากันก้าวเดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าวใหญ่ทำการปกป้องผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตาาจักรพรรดิรวมไปถึงพวกเย่ชิงหานไว้ในทันที ในขณะเดียวกันก็ทำการโคจรพลังปราณรบขึ้นมาไหลเวียนอยู่รอบกายเตรียมตัวลงมือทุกเมื่อเช่นเดียวกัน
ตำแหน่งองครักษ์แห่งเทพในรอบหลายพันปีมานี้มีแค่เพียงสี่คนเท่านั้น ไม่มีลดน้อยลงหรือเพิ่มมากขึ้น
แต่พวกเขารู้ว่าองครักษ์แห่งเทพทั้งสี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งว่าผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์นับสิบคนรวมกัน ที่เป็เช่นนั้นเพราะว่าพวกเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งที่สามารถประสานรวมการโจมตีของทั้งสี่คนเข้าเป็หนึ่งเดียวกันจนทำให้พลังการโจมตีเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นเมื่อองครักษ์แห่งเทพทั้งสี่ลงมือ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรได้
ส่วนทางเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนต่างเริ่มถอยหลังออกไปอย่างช้าๆ พวกเขาแค่อยากดูเื่สนุกแต่ไม่อยากถูกลูกหลงไปด้วย แต่คนของเกาะเร้นลับแสดงออกอย่างน่าแปลกใจ พวกเขาไม่ได้ถอยออกมาและไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทำเพียงยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าอาการที่แปลกปละหลาด
ตอนนี้บรรยากาศบริเวณตีนเขาูเาสุสานทวยเทพทั้งตึงเครียดและกดดันอย่างถึงขีดสุด สถานการณ์ของการต่อสู้สามารถปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้