ตอนที่ 4
จูบาา
“แกไม่รู้เหรอว่าพี่คิงมีรถมารับกลับบ้านตลอด”
“…”
“ฉันเพิ่งเคยเห็นพี่เขามาขึ้นรถเมล์กลับบ้านก็ตอนมอหกนี่แหละ”
“โอ๊ย!”
สติที่หลุดลอยวิ่งกลับเข้าร่างในทันใด เมื่อด้ามปากกาถูกเคาะลงที่กลางบริเวณหน้าผากมนหนึ่งครั้งจนอาเจินใน่มัธยมศึกษาปีที่ห้าตอนปลายต้องยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ แล้วมองคนอายุมากกว่าด้วยใบหน้างอง้ำ าาในชุดนักศึกษาเอ่ยพูดน้ำเสียงเนิบนาบ ติดจะดุเล็กน้อย
“เพราะขยันเหม่อตอนเขาสอนแบบนี้ไง มันถึงได้สอบตก”
“เจินเปล่าเหม่อนะ”
“เถียง”
“…” ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นทั้งใบหน้าที่ก้มลงมองพื้นเล็กน้อยเมื่อหาคำพูดเถียงต่อไม่ได้ เมื่อกี้ที่อีกฝ่ายสอนแก้โจทย์วิชาคณิตศาสตร์ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ฟังเลยสักหน่อย คิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปเอ่ยพูด
“เจินฟังอยู่จริง ๆ นะ…”
“แก้โจทย์ข้อนี้ให้ดู…ตอบเท่าไร”
าาที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงจะหาเื่เถียงให้ตัวเองจนได้ จึงขยับหนังสือพร้อมปากกายื่นให้คนข้างกาย อาเจินเริ่มมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อไม่เข้าใจกับบรรดาตัวเลขตรงหน้าเลยสักนิด กระนั้นก็ยังคงหยิบปากกามาคิดเลขถู ๆ ไถ ๆ ให้ได้คำตอบ
“ตอบห้าสิบเก้า”
“กับแป๊ะสิ เนี่ยเมื่อกี้มึงไม่ได้ฟังไงหมวย”
สุดท้ายแล้วคนที่แถคำตอบก็ยังเป็คนแถคำตอบอยู่วันยังค่ำ ร่างสูงเคาะปากกาลงบนหน้าผากมนก่อนจะเริ่มสอนใหม่อีกครั้ง อาเจินได้แต่กอดกระเป๋านักเรียนคอยตั้งใจฟังทั้งใบหน้าเหยเก ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ความสนใจที่เคยอยู่กับเนื้อหาในหนังสือก็เริ่มเปลี่ยนไปอยู่บนใบหน้าของคนอายุมากกว่าเสียอย่างนั้น
ั้แ่พี่าาเรียนจบไปพวกเขาก็ยังมีโอกาสได้นัดเจอกันอยู่เป็ระยะ แม้ว่าจะไม่บ่อยมากเท่าแต่ก่อน เนื่องจากอีกฝ่ายมีตารางเรียนรัดตัว กระนั้นก็ยังหาเวลามาสอนการบ้านให้ได้อยู่ดี ดวงตากลมทอดมองคนข้างกายที่ั้แ่ขึ้นมหา’ลัยไปก็ดูดีขึ้นมากจนตัวเขาเผลอมองอยู่นาน ในช่องทางโซเชียลมีเดียก็เห็นภาพของอีกฝ่ายบ่อยครั้งจากเพจต่าง ๆ
…จนเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาว่าพี่าาดูดีถึงขนาดนี้ เริ่มมีเ้าของหัวใจของตัวเองแล้วหรือยัง?
“เจินได้ยินมาว่าที่มหา’ลัยมีคนหน้าตาดีเยอะแยะไปหมด”
“…”
“ได้เจอ…คนที่ถูกใจบ้างหรือยังครับ…”
แม้จะไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไรนักว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเอ่ยถามคำถามพวกนั้นออกไป แต่เพียงคิดว่าหากอีกฝ่ายเริ่มถูกใจใครสักคนขึ้นมา ภายในใจก็กลับเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เจอแล้ว”
“…” อาเจินขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันทันทีเมื่อได้ฟังทั้งความรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในอก ใบหน้าก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตนที่บีบกันไว้แน่น จู่ ๆ ก็รู้สึกสึกอยากจะเอาหัวมุดดินหนีไปเสียั้แ่ตอนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายเอ่ยถามคำถามตอกย้ำตัวเองเพิ่มไปอีก
“เขา…น่ารักหรือเปล่าครับ”
สิ้นคำถาม คราวนี้าาละความสนใจจากหนังสือตรงหน้าโดยสมบูรณ์ ใบหน้าหล่อเหลาหันมองคู่สนทนาครู่หนึ่งก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางมองอยู่อย่างนั้น
“น่ารัก”
“หนะ น่ารักมากเลยเหรอ”
“อืม น่ารักมาก”
เพราะมัวแต่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตัวเอง จึงไม่ได้สังเกตว่าผู้พูดคล้ายจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งคำ ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อยเป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์ดูร้ายกาจ ในขณะที่อาเจินยังคงตามเื่ตามราวอะไรไม่ทันทั้งนั้น
“เขา…เป็คนยังไงเหรอครับ” าานิ่งมองคนตรงหน้าครู่หนึ่งอย่างพิจารณาก่อนจะเท้าคางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“เซ่อซ่า”
“…”
“ไม่ค่อยทันคน”
“…”
“ขนาดคนเขากำลังพูดถึงอยู่ยังไม่รู้ตัวเลย”
“เขายังไม่รู้เหรอครับว่าเฮียชอบ”
ดวงตาสีน้ำตาลสวยเบิกกว้างอย่างใ คล้ายกับแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน คนที่ว่าคนนั้นต้องเป็คนยังไง มีคนสมบูรณ์แบบขนาดนี้มาชอบทำไมถึงยังไม่รู้เื่ไม่รีบคว้าโอกาสไว้อีก าาเพียงนั่งนิ่งทอดสายตามองคนข้างกาย ทั้งยังเงียบรอฟังว่าเ้าตัวจะถามคำถามน่าขำอะไรออกมาให้ฟังอีกในวันนี้
“ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ”
“บอกไปแล้ว”
“…”
“แต่เด็กนี่มันเปิ่นไปหน่อย”
น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันกลับไปสนใจกับเนื้อหาในหนังสืออีกครั้ง อาเจินที่แม้จะยังอยากตามต่ออีกหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดบทสนทนากันเสียดื้อ ๆ ก็ได้แต่ยอมตามน้ำไปเท่านั้น บทสนทนาที่เคยออกนอกทะเลถูกดึงกลับมาที่เื่เรียนอีกครั้ง อาเจินที่เคยตาสว่างพอได้ฟังนาน ๆ ก็เริ่มหนังตาหย่อนยานในที่สุด
“…”
ร่างเล็กนั่งสัปหงกอยู่นาน จากที่เคยนั่งตัวตรงก็ค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไปใกล้กับโต๊ะม้าหินอ่อนตรงหน้า ก่อนจะฟุบหน้าลงไปพยายามปรือตามองตัวเลขมากมายในกระดาษ ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงนาที ดวงตาที่เคยลืมอยู่ก็ปิดสนิทพร้อมกับเสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอแทนเสียอย่างนั้น
“ทำตรงนี้ก่อนแล้วค่อยเอาไปคิดตรงนี้ เมื่อกี้มึงลัดทำมันเลยผิดเข้าใจปะหมวย---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อหันมามองเห็นว่าคนที่ตั้งท่ามุ่งมั่นว่าจะตั้งใจฟังเพื่อไม่ให้สอบตกอีกครั้งในยามนี้กลับจมลงสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว เสียงถอนหายใจดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมกับด้ามปากกาที่เคาะกะโหลกคนหลับหนึ่งครั้งเบา ๆ เป็การลงโทษ ดวงตาคมสีรัตติกาลทอแสงอ่อนลงยามทอดมองคนข้างกายที่หลับตานอนอย่างสบายใจ
“เปิ่นเอ๊ย”
ใบหน้าหล่อเหลานอนซบลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนในระดับเดียวกันกับคนอายุน้อยกว่าแล้วทอดสายตามองแน่นิ่ง หนังสือคณิตศาสตร์ถูกนำมาวางกั้นระหว่างใบหน้า พร้อมกับริมฝีปากที่จรดจุมพิตลงบนหนังสือเล่มนั้น…ทิ้งััค้างไว้เนิ่นนานก่อนจะค่อย ๆ ผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง
…
ปัจจุบัน
!!!
ร่างเล็กสะดุ้งตื่นขึ้นมากะทันหัน ดวงตาสีน้ำตาลสวยกวาดมองไปทั่วห้องอย่างพิจารณาครู่หนึ่งเพื่อพบว่าตัวเองยังคงอยู่บนเตียงในห้องทำงานส่วนตัวของเ้าของร้านคิงบาร์ เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงคืน เป็่เวลาที่ร้านยังไม่ปิด พอแอบทอดสายตามองผ่านห้องกระจกออกไปยังเห็นผู้คนที่ยังคงคลาคล่ำ
“ตื่นแล้วเหรอ”
“…”
“เฮียบอกว่าถ้าอาเจินตื่นแล้วให้กินอะไรรองท้องแล้วก็กินยาตัวนี้ด้วยนะ”
คนตรงหน้าคือหนึ่งในพนักงานภายในร้านที่กำลังยื่นอาหารว่างไม่กี่อย่างพร้อมกับยามาให้เสร็จสรรพ อาเจินลอบเบ้หน้าทันทีเมื่อคิดว่ากินยาไปแล้ว่เย็นก่อนจะเผลอหลับไป พอตื่นมาตอนนี้ก็ต้องกินยาอีกแล้ว ร่างขาวช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนตรงหน้าแล้วเอ่ยพูดเสียงแ่เบา
“แต่ว่าเจินไม่ได้หิวแล้ว”
“คนเป็โรคกระเพาะมันตามใจตัวเองขนาดนั้นได้ด้วยหรือไง”
เสียงของใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำฉุดดึงความสนใจจากอาเจินไปได้จนหมด ครั้นเมื่อเห็นว่าเป็าาในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวทั้งร่างกายที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะพราวก็ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งใส่ทันที พนักงานคนดังกล่าวพอเห็นว่าคนทั้งสองตั้งท่าจะปะทะใส่กันอีกครั้งก็รีบก้มหัวให้ผู้เป็นาย แล้วก้าวเท้าออกนอกห้องไปทันทีโดยไม่รีรอ
“ระ รีบใส่เสื้อผ้าสักที”
พออยู่ในห้องที่ปิดกั้นเสียงจากภายนอกก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจากบรรยากาศที่เงียบสงบ อาเจินจำได้ว่าหลังจากมียาและอาหารขึ้นมาส่ง ตัวเขาก็เริ่มหนังตาปรือปรอยแล้วหลับไปทั้งที่ยังถูกลูบท้องให้อยู่อย่างนั้น พอตื่นขึ้นมารู้ว่าาายังคงมีวิธีปลอบโยนเหมือนเดิมที่เคยทำมาตลอดสี่ปีอย่างเคยชินก็ยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ทว่าความอ่อนโยนที่เคยได้รับเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้าดูจะเริ่มถูกกลบทับลงไป แทนที่ด้วยการถกเถียงต่อปากต่อคำกันเหมือนอย่างเคย
“เจินนั่งอยู่ตรงนี้เฮียไม่เห็นหรือไง!”
คนอายุน้อยกว่าแหวลั่นทั้งใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงเรื่อเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำท่าคล้ายจะปลดปมผ้าขนหนูเปลี่ยนชุดมันเสียตรงนี้ คราวนี้าาถอนหายใจเสียงหนักพลางเสยเส้นผมที่ตกลงปรกใบหน้ากลับขึ้นไปลวก ๆ ดวงตาสีรัตติกาลปรายมองคนบนเตียงทั้งคำพูดที่เอ่ยออกมาน้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่สนโลก
“จับก็จับมาแล้ว แค่มองจะอายอะไรนัก”
“อะ…”
ร่างขาวได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อหาคำพูดมาเถียงต่อไม่ได้ ความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าและข้างใบหูยิ่งชัดเจน สมองไม่รักดีดันนึกย้อนกลับไปว่าเขาเคยทำมากกว่ามองอย่างไร หัวใจก็ยิ่งเต้นกระหน่ำจนต้องหยิบห่มมาคลุมโปงแล้วพลิกตัวหนีไปอีกทาง กระนั้นก็ยังจิกกัดอดีตคนรักไม่หยุด แม้ว่าน้ำเสียงจะเริ่มแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่งแล้วก็ตามที
“ทำอะไรไม่รู้จักอาย!”
“กูหน้าด้านไง”
ลืมไปซะเถอะไอ้ภาพคนอ่อนโยนเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไอ้นี่มันคนเฮงซวยชัด ๆ
อาเจินยังคงมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่พันตัวเองจนเป็ก้อน บ่นงึมงำอยู่กับตัวเองเสียงเบา ยังไม่วายแอบก่นด่าเพื่อความสะใจไปด้วยตามระเบียบ ทว่าคำด่าแต่ละคำของอาเจินกลับทำให้คนที่ได้ยินหลุดแค่นหัวเราะออกมาเสียมากกว่า
“ไอ้คนเฮงซวย ไอ้นิสัยไม่ดี ปากชั่ว---อ้ะ!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายไปในลำคอทั้งดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างใ เมื่อถูกใครอีกคนที่ก้าวขึ้นเตียงมาจับให้พลิกนอนหงายทั้งผ้าห่มที่ถูกดึงลงไปกระทั่งมองเห็นดวงตาคมสีรัตติกาลและดวงหน้าหล่อเหลาที่อยู่ในระยะใกล้ ร่างกายเกร็งขึ้นมาทันทียามรับรู้ได้ถึงััของลมหายใจที่เป่ารินรดผิวเนื้อ
“ด่าอีกทีเฮียจะจับจูบให้ร้องเลยนะหมวยเจิน”
“…”
ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่นทันทีทั้งร่างกายที่เริ่มขยับขยุกขยิกไปมายามร่างเหนืออาณัติยังคงทอดสายตามองกันนิ่ง อาเจินทำท่าจะหยิบผ้าห่มมาคลุมโปงอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกฝ่ามือใหญ่จับเอาไว้ไม่ให้หนีกันอย่างที่ใจหวัง ดวงตาสีสวยหันไปสังเกตวันที่บนปฏิทินตั้งโต๊ะแล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
อีกไม่นานก็จะต้องจ่ายค่าเทอมให้น้องสาวแล้ว ทว่าสถานการณ์การเงินของเขาในตอนนี้ยังเข้าขั้นวิกฤติอยู่เลย
มือน้อย ๆ เริ่มออกแรงขยุ้มผ้าห่มแน่นขึ้นแล้วแอบช้อนสายตาขึ้นมองคนที่ยังคร่อมทับตนอยู่อย่างลังเล ริมฝีปากอ้าออกทำท่าจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดลงเมื่อล้มเลิกความคิดไป ผ่านไปไม่นานก็ทำท่าจะพูดอีกครั้งแล้วก็จบลงที่จุดเดิมจนาาที่สังเกตอยู่นานเอ่ยพูดในที่สุด
“จะพูดอะไรก็พูด” อาเจินลังเลครู่หนึ่งก่อนจะยอมปริปากพูดออกมาเสียงอุบอิบ
“…ขอเบิกเงินเดือนนี้ล่วงหน้าได้หรือเปล่า…”
“ขอแบบนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะทำข้าวของร้านเสียหายไป?”
คราวนี้ผู้ฟังมีสีหน้าหงอยลงทันทีทั้งดวงตาที่ฉายแววออดอ้อนออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะพยายามปกปิดความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ด้วยท่าทีที่ดื้อดึงและเข้มแข็ง ร่างเล็กนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ถ้าขอทำงานล่วงเวลาล่ะ จะได้เงินพิเศษจากตรงนี้หรือเปล่า”
“คิงบาร์ไม่มีนโยบายให้พนักงานทำงานล่วงเวลา เลิกงานก็คือเลิกงาน”
“…”
คราวนี้อาเจินเงียบไปทันทีทั้งใบหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัด คนที่ดูดื้อดึงและพยศอยู่ตลอดเวลาในยามนี้กลับดูหูลู่หางตกเสียจนน่าสงสาร มือน้อยๆ ทั้งสองข้างจับผ้าห่มไว้แน่น ช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนอายุมากกว่าได้ไม่เท่าไรก็เริ่มมีสีหน้างอง้ำ แล้วดึงผ้าห่มทำท่าจะคลุมโปงหนีกันอีกครั้ง ทว่าก็กลับถูกจับมือพันธนาการกันไว้ก่อนอีกอยู่ดีจนร่างเล็กเริ่มขมวดคิ้วใส่
“เฮียอย่ามาแกล้งเจินนะ!”
“แม่บ้านคนเก่าเพิ่งจะลาออกไป ที่บ้านไม่มีคนทำความสะอาดอยู่พอดี”
“…”
“เผื่อสนใจอยากรับจ๊อบถูบ้านเพิ่ม”
อาเจินพอฟังจบก็ขมวดคิ้วมองค้อนใส่กันทันที ในเมื่อตัวเขาไม่ชอบทำงานบ้าน แต่งานที่เสนอให้กลับเป็งานบ้านเสียอย่างนั้น แต่หากจะมีใครเอาเงินมาให้ฟรี ๆ คนอย่างอาเจินก็มุ่งมั่งและหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะยอมรับเงินใครมาเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรตอบแทนเลยเช่นกัน ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันแน่นิ่ง ก่อนที่จะร่างเล็กจะดึงผ้าห่มมาคลุมโปงตัวเองหนีได้สำเร็จ
คิดว่าเขาจะยอมไปถูบ้านให้หรือไง ถ้าเขาหางานเสริมอื่นได้ อย่าหวังว่าคนอย่างอาเจินจะยอมจับไม้ถูพื้นทำงานเลย!
…
แต่สุดท้ายก็ต้องมาอยู่ดี…
ร่างของอาเจินมาหยุดยืนที่บริเวณกลางบ้านหลังใหญ่ บ้านหลังดังกล่าวเป็บ้านทรงโมเดิร์น มีพื้นที่กว้างขวางทั้งยังถูกตกแต่งไปด้วยโทนสีดำและสีเทา ในมือถือไม้ถูพื้นเอาไว้แน่นในขณะที่ดวงตาลอบทอดมองเ้าของบ้านในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่า สวมกางเกงนอนสีเทาเข้มเนื้อดี ก่อนที่สายตาจะไปหยุดลงที่รอยสักรูปดอกไม้บริเวณท้องน้อยที่โผล่พ้นกางเกงขึ้นมา
“ให้เจินถูตรงไหนบ้าง”
“ชงกาแฟมาหนึ่งแก้ว”
นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว ยังได้รับคำสั่งใหม่กลับมาแทนเสียอย่างนั้น ร่างเล็กเริ่มมีสีหน้ามู่ทู่ทั้งเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น บอกให้เขามาทำงานถูพื้นแต่ก็ยังไม่วายสั่งงานอื่นให้ทำ อาเจินส่งเสียงขู่ฮึดฮัดในลำคอ กระนั้นก็ยังยอมเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อชงกาแฟให้ผู้เป็นายแต่โดยดี
“…”
แก้วกาแฟใบประจำของาายังคงถูกวางเอาไว้ที่เดิม ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างพิจารณาและเหม่อลอยในขณะที่มือยังคงกดน้ำร้อนเติมใส่แก้ว ครั้งสุดท้ายที่เขามาเหยียบบ้านหลังนี้คือเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว พลันเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายอยู่ที่นี่คนเดียวมาตลอดเลยหรือเปล่า…ได้พาใครมานอนเคียงข้างแทนที่เขาบ้างหรือยัง
“อ้ะ!!”
น้ำเสียงหลุดร้องออกมาอย่างใทั้งใบหน้าที่เบ้เหยเกเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเจ็บแสบจากแผลที่ถูกน้ำร้อนซึ่งถูกเติมจนเต็มแก้วแล้วไหลล้นลวกมือ เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างนึกตำหนิในตัวเองที่มัวแต่คิดไปเรื่อยจนทำงานสะเพร่า น้ำกาแฟในแก้วถูกเทออกแล้วชงใหม่อีกครั้งก่อนจะนำไปเสิร์ฟ
“โดนอะไรมา”
คำถามดังกล่าวเป็ผลให้ผู้ฟังอย่างอาเจินเริ่มมีสายตาล่อกแล่ก ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาในทันที ดวงตาคมทอดมองผิวเนื้อสีขาวนวลที่เริ่มขึ้นสีแดงเรื่อคล้ายถูกน้ำร้อนลวก บริเวณในแก้วมีคราบของกาแฟที่ถูกเทออกไปเกาะหลงเหลืออยู่ ใช้เวลาคิดเพียงไม่นานก็สามารถหาสาเหตุต้นเื่ได้ในทันที น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยพูดสั้นห้วน
“ซุ่มซ่ามว่ะหมวย”
คราวนี้อาเจินขมวดคิ้วฉับทันทีเมื่อได้ฟัง ตัดสินใจวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะกระจกแล้วจะดึงมือออก ทว่าบริเวณข้อมือกลับถูกใครอีกคนกอบกุมไว้แน่นไม่ให้เดินหนีกันไปไหน ก่อนจะออกแรงกระตุกดึงจนร่างเล็กเซถลาเข้าไปใกล้ ในขณะที่ร่างสูงก้มหน้าลงควานหากล่องยาที่ถูกวางไว้บริเวณใกล้เคียง
“ว่าจนพอใจแล้วก็ปล่อย”
ใบหน้าหวานงอง้ำเมื่อทั้งถูกดุแล้วยังถูกจับมือเอาไว้ไม่ให้ขยับหนีไปที่ไหนได้อีก พอดิ้นหนีไม่ได้เสียทีจึงนั่งแหมะลงบนพื้น ในขณะที่คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเริ่มป้ายยามาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้อย่างไม่เบามือนักตามนิสัย ครั้นเมื่อเห็นอาเจินเริ่มมีใบหน้าเหยเกจึงยอมผ่อนแรง แล้วทาให้เบา ๆ จนเนื้อยาครอบคลุมผิวเนื้อบริเวณที่ถูกลวกทั้งหมด ทว่าข้อมือที่ถูกจับเอาไว้กลับยังไม่ถูกปล่อยให้เป็อิสระเสียที
“ปะ ปล่อยสักทีสิ…”
อาเจินกระตุกดึงมือออกเบา ๆ แล้วช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนที่นั่งอยู่บนโซฟาทั้งสีหน้าดื้อดึง ในขณะที่าาเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่ากลับฟังดูกวนส้นตีนที่สุดสำหรับอาเจิน
“จับนานแล้วมันจะชักดิ้นชักงอหรือไง”
“เออ!”
“งั้นมึงดิ้นไปเลย เพราะกูไม่ปล่อยมือมึงหรอก”
ร่างสูงเอ่ยพูดอย่างไม่แยแส มือไม่ได้ปล่อยให้ร่างเล็กได้รับอิสระแต่อย่างใด
คนตัวเล็กหน้างอทำท่าจะแยกเขี้ยวขู่ใส่คู่สนทนา ในขณะที่าาเพียงทอดสายตามองคนอายุน้อยกว่าแน่นิ่งจนเป็อาเจินเสียเองที่เริ่มทำตัวไม่ถูกก้มหน้าลงหนี เมื่อมือถูกปล่อยก็รีบชักมือกลับแล้วลุกขึ้นไปทำงานอย่างอื่นของตัวเองต่อทันที ไม่ได้หันกลับไปมองว่ากำลังถูกมองตามมาหรือไม่
เท้าน้อย ๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงพลางหลุบสายตาลงมองบริเวณมือของตนที่ยังรับรู้ได้ถึงััที่ยังคงติดตรึง ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านอื่นออกไปแล้วเป่าหูตัวเองตลอดด้วยความคิดเดิมที่มีมาโดยตลอดหลังจากที่เลิกรากันไป
คนอย่างาามีผู้คนรายล้อมมากมาย…เขาในตอนนี้คงไม่ได้มีความสำคัญมากมายถึงขนาดที่อีกฝ่ายจะมาให้ความสนใจนักหรอก
เวลาล่วงเลยมาจนถึง่บ่าย งานทุกอย่างสามารถทำเสร็จได้ทันตามเวลา อาเจินเดินลากเท้าปาดเหงื่อกลับมายังบริเวณห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะหยุดชะงักนิ่งไปเมื่อเห็นว่าเ้าของบ้านที่เคยนั่งทำงานอยู่ในตอนนี้กลับนอนราบไปกับโซฟาทั้งดวงตาที่หลับลงและเสียงหายใจที่ดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเ้าตัวได้ลงสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
เท้าที่ก้าวเตรียมจะเดินออกไปโดยไม่ร่ำลาในคราวแรกกลับเปลี่ยนทิศทางเดินตรงดิ่งไปหาคนที่ยังนอนหลับอยู่ โดยที่ตัวเขายังไม่เข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ามีเหตุอะไรดลใจให้ตัดสินใจแบบนี้ ร่างเล็กค่อย ๆ ชะเง้อคอมองคนที่นอนหลับอยู่แล้วใช้มือปัด ๆ ไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ลืมตาขึ้นมาตอนนี้
ดวงตาทอดมองั้แ่กลุ่มเส้นผมสีเทาที่ไม่ได้เซตให้เป็ทรงเหมือนทุกวัน เรียวคิ้วเข้ม ดวงตาคมที่ปิดสนิท หรือสันจมูกที่โด่งเป็สันเสียจนน่าอิจฉา ก่อนจะรู้สึกว่าการขยับตัวของตัวเองเริ่มเชื่องช้าลงยามสายตาหลุดลงบริเวณริมฝีปากบางกระจับ
…ริมฝีปากที่เคยจรดจุมพิตลงบนเรือนร่างของเขาหลายครั้งหลายครา ป้อนจูบหนักหน่วงให้กระทั่งตัวเขาเคลิบเคลิ้มดั่งถูกฉุดดึงให้ตกลงไปสู่ห้วงภวังค์โดยพร้อมกัน
!!!
ร่างเล็กสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนที่ควรจะหลับตานอนไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมองกันเสียอย่างนั้น อาเจินไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าก้มหน้าลงมาใกล้อีกฝ่ายถึงขนาดนี้ั้แ่เมื่อไร ตัดสินใจจะรีบผละกายออกมา ทว่าไม่รู้ว่าร่างกายหนักอึ้งจนขยับตัวยากขนาดนี้ั้แ่เมื่อไรยามสบตาคู่ตรงหน้า
“เจินทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ของเก็บไว้ให้ที่เดิม เจินจัดของบนโต๊ะให้ใหม่ ถ้าเฮียไม่ชอบจะจัดกลับแบบเดิมก็ได้---”
“ฝนเริ่มตกแล้ว ทำไมไม่อยู่ต่ออีกหน่อย”
พอตั้งสติจนสามารถผละกายออกมาได้ ข้อมือเล็กกลับถูกจับแล้วดึงกลับไปหาอีกครั้งจนร่างกายเซถลาเสียหลักล้มลงไปนอนทับอยู่บนแผงอกกว้าง อาเจินเบิกตากว้างอย่างใแล้ววางมือลงกับลาดไหล่ของอีกคนทันทีเพื่อประคองตัว เสียงฝนตกปรอยปรายจากภายนอกเริ่มดังให้ได้ยิน รีบเอ่ยตอบทันทีจนลิ้นพัน
“งานเสร็จแล้ว เจินจะกลับบ้าน”
น้ำเสียงที่แข็งกระด้างคราแรกกลับเริ่มแ่เบาลงไปในท้ายประโยคยามสายตาหลุบลงมองริมฝีปากบางกระจับของอดีตคนรักอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่วางบนลาดไหล่กว้างเริ่มออกแรงบีบหนักขึ้น ในขณะที่ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ วางประคองลงบนบั้นเอวพอดีมือแ่เบา
“ปากเฮียมันมีอะไร เธอถึงได้มองนักหนา”
“จะ เจินไม่ได้มอง...”
พอถูกจับได้ก็รีบละล่ำละลักเอ่ยตอบบ่ายเบี่ยงแล้ววางมือลงบนแผงอก ทำท่าจะยันตัวออกอีกครั้ง ทว่ารอบเอวกลับถูกวงแขนโอบกอดพันธนาการเอาไว้แน่นจนไม่สามารถขยับไปที่ไหนได้อีก ใบหน้าหวานง้อง้ำเอ่ยพูดเสียงติดจะดูขัดใจเล็กน้อย
“เฮียปล่อยเจิน...”
“จูบกับใครไปบ้างหรือยัง”
ทว่าคำถามต่อมากลับเป็ผลให้อาเจินหยุดชะงักนิ่งไปในทันทีทั้งเสียงหัวใจที่เต้นดังกระหน่ำอยู่ในอก ความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าชัดเจนเสียจนไม่ต้องจินตนาการว่าหน้าของเขาตอนนี้คงแดงเรื่อชัดเจน ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่นแล้วเอ่ยตอบแ่เบา
“จะ จูบแล้ว…”
โกหกทั้งเพ
คนอย่างอาเจินโกหกไม่เก่งเลยสักนิด...
“เขาว่ายังไง”
เขาไม่รู้ว่าาาในตอนนี้กำลังมีความคิดความรู้สึกเป็อย่างไร รู้เพียงแต่ััของฝ่ามือที่ประคองบั้นเอวของตนเริ่มบีบกระชับแน่นขึ้นแล้วดึงเข้าหา ลดทอนระยะห่างระหว่างกันกระทั่งใบหน้าอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ อาเจินเริ่มกลอกตาล่อกแล่กหาคำโกหกให้ตัวเอง
“...เขาบอกว่าเจินจูบเก่ง”
“โกหก”
“...”
“เธอจูบห่วย” คราวนี้อาเจินขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก้มหน้าลงเถียงกับร่างใต้อาณัติตนอย่างเอาเื่เอาราวทั้งใบหน้าแดงก่ำ
“เฮียไม่ได้มาจูบกับเจิน เฮียจะไปรู้ได้ยังไง”
“แล้วไอ้เวรที่เธอไปจูบด้วยมันชื่ออะไร จะได้ไปถามถูก”
พอมาถึงคำถามนี้ ตัวเขาเองกลับเริ่มหาข้ออ้างไปต่อไม่ถูกแล้วเสียอย่างนั้น มือพยายามออกแรงดันไม่ให้ร่างกายส่วนหน้าใกล้กันไปมากกว่านี้ เมื่อจะขยับตัวลุกหนีก็ยังไม่ได้รับอิสระอีกเช่นกัน ร่างขาวกัดปากน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะติดงึมงำ
“เจิน…จูบเก่งแล้วจริง ๆ นะ”
าายังคงเงียบไม่เอ่ยตอบสิ่งใด ก่อนจะหลุดแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ ส่งผลให้เจินเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ยกหัวขึ้นเถียงเสียงหนักอย่างเอาเื่เอาราว
“เฮียอย่ามาว่าเจินนะ! อื้ม!!”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทั้งดวงตาสีน้ำตาลสวยที่เบิกกว้างขึ้นอย่างใ ยามบริเวณท้ายทอยถูกฝ่ามือใหญ่กดให้โน้มใบหน้าลงไปพร้อมกับจุมพิตหนักหน่วงที่ถูกป้อนให้อย่างกะทันหัน มือที่วางบนลาดไหล่กว้างออกแรงบีบแน่นทั้งเสียงหัวใจที่ดังกระหน่ำอยู่ในอกยามได้รับััคุ้นเคยที่ยังคงติดตรึง ครั้นเมื่อถูกปล่อยให้มีจังหวะหายใจก็เอ่ยเถียงสู้ทันที
“นิสัยไม่ดี!…อื้อ!...”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดแ่เบาลง และถูกกลืนหายลงไปยามาาขยับใบหน้าให้ได้องศา วางมือประคองลงที่ข้างแก้มนุ่มแล้วป้อนจูบให้อีกครั้งในจังหวะที่นุ่มนวลลง ทว่ายังคงเน้นย้ำเอาไว้ซึ่งัับางอย่าง อาเจินที่พยายามสู้กลับเริ่มเนื้อตัวอ่อนยวบยาบอยู่บนเรือนร่างของอีกฝ่าย แม้จะหายใจหอบเหนื่อยร่างกายสั่นเทิ้มน่าสงสาร
...กระนั้นาาก็ยังคงมอบและฉกชิมความหอมหวานจากภายในอีกครั้งและอีกครั้งจนกลายเป็การรังแกโดยไม่รู้จักพอ
“ด่าอีก...”
“ไอ้---อือ...”
มือที่เคยบีบลาดไหล่กว้างเริ่มผ่อนแรงลง เหลือไว้เพียงััของมือที่วางลงบริเวณนั้นและเสียงครางเครือในลำคออย่างอ้อยอิ่ง ได้แต่นอนตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดของอดีตคนรักเท่านั้น
“ยังจูบห่วยเหมือนเดิม”
“ฮึก...”
“ด่าอีกดิ ทำไมไม่สู้แล้ว”
“ถ้าเจินห่วยก็ไม่ต้องมาจูบเจิน---อื้อ...”
จากที่เคยออกแรงสู้อย่างเต็มที่และไม่ยอมแพ้ในคราแรกกลับเริ่มอ่อนยวบยาบลงจนไม่คิดสู้ด้วยอีก ร่างน้อย ๆ ถูกจับประคองให้เป็ฝ่ายนอนลงบนโซฟาพร้อมกับร่างสูงที่ตามมาคร่อมทับ กักกันพันธนาการมอบััที่ยากจะหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ริมฝีปากของอาเจินทั้งถูกขบเม้มดูดดุนอีกครั้งและอีกครั้งอยู่เนิ่นนานอย่างไม่รู้จักพอ
กอดรัดและกักขังให้อยู่ใต้ร่าง ไม่อนุญาตให้หลบหนีไปที่ใด
ปากก็ว่าคนอย่างอาเจินจูบได้ห่วยแตกเกินจะบรรยาย
...หากเขาห่วยแตกนัก ทำไมถึงได้ัักันไม่หยุดแบบนี้
คล้ายกับ้าลบััของใครคนอื่น...ตีตราให้จดจำเอาไว้เพียงััของาาแต่เพียงผู้เดียว
...
“ด่าอีกทีเฮียจะจับจูบให้ร้องเลยนะหมวยเจิน”
- าา –
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้