สตูดิโอของหนิงเยี่ยนฝานมีคนอยู่เต็มตลอดเวลา
แม้ชายชราจะยังแข็งแรงดี แต่อย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว ดังนั้นงานบางอย่างจึงมอบหมายให้ลูกศิษย์หรือผู้ช่วยเป็คนทำ
ที่นี่คือสตูดิโอขนาดใหญ่
นอกจากหนิงเสวี่ยแล้ว หนิงเยี่ยนฝานไม่ได้พักอาศัยอยู่กับคนในครอบครัว บ้านของสถาปนิกใหญ่นั้นเรียบง่ายมาก โดยเขาให้ความสำคัญกับประโยชน์ในการใช้สอยมากกว่าความสวยงาม
หนิงเยี่ยนฝานทำงานด้านสถาปัตยกรรมมาครึ่งชีวิต หลังเกษียณเขายังทำหน้าที่เป็อาจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ จากนั้นเขาจึงก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองขึ้นมา หากใช้คำพูดของหนิงเยี่ยนฝานก็คือ เขามอบชีวิตวัยหนุ่มให้กับงานส่วนรวม พอถึงยามแก่เฒ่าที่ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี เขาจึงขอออกแบบสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วกัน ตอนเขาพูดคำนี้เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตนจะอายุยืนถึงเพียงนี้ มีชีวิตอยู่จนถึงยุคใหม่ ทั้งยังเป็คนดังของวงการสถาปัตยกรรม
เซี่ยเสี่ยวหลานได้เข้าไปดูห้องทำงานส่วนตัวของหนิงเยี่ยนฝาน
บ้านพักของเขาดัดแปลงมาจากเรือนสี่ประสาน โดยการตกแต่งของบ้านสมัยเก่านั้นเรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้าน และหาก้าแสงแดดที่เพียงพอก็จำเป็ต้องนำหน้าต่างแบบสมัยเก่าออกไปทั้งหมด เรือนสี่ประสานนับว่าเป็ที่พักที่ดูมีระดับ แต่ใช้พื้นที่แนวราบได้อย่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน หนิงเยี่ยนฝานจึงได้ทำการดัดแปลงมันให้กลายเป็บ้านตึก
เรียบง่ายแต่โอ่อ่า หากบอกว่าหนิงเยี่ยนฝานไม่ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบก็คงจะไม่ได้ เพราะทุกพื้นที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แตกต่างกัน
“ตอนคุณปู่ดัดแปลงที่นี่ เขาอยากให้ที่นี่สามารถผลิตสถาปนิกรุ่นใหม่ให้ได้จำนวนหลายๆ คน”
จบปริญญาตรีด้านสถาปัตยกรรมแล้วยังไม่ใช่สถาปนิกเต็มตัว นักศึกษาที่เรียนจบหาก้าเป็สถาปนิกไม่ใช่แค่ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพ ทั้งยังต้องประยุกต์ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาให้เป็... เรียนจบแล้วจะมีคนยอมให้ออกแบบตึกใหญ่เลยอย่างนั้นหรือ? โลกสวยเกินไปแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเริ่มจากออกแบบห้องน้ำกันทั้งนั้น!
การออกแบบห้องน้ำที่ว่า ไม่ใช่การวาดแบบห้องน้ำจริงๆ แต่หมายถึงการเริ่มจากงานขั้นพื้นฐานนั่นเอง การก่อสร้างโครงการหนึ่งเริ่มต้นจากการประมูลราคาจนถึงการลงมือก่อสร้าง ทีมไหน้าคนก็ไปทำงานกับทีมนั้น บางครั้งการประมูลงานอาจต้องใช้ระยะเวลานานหนึ่งถึงสองปี โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่อย่างในต่างประเทศ ล้วนต้องผ่าน ‘การแข่งขัน’ มานับครั้งไม่ถ้วน ผ่านรอบแรกมีรอบสอง ผ่านรอบสองมีรอบสาม กว่าจะเข้าไปสู่รอบสุดท้ายได้นั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว ขณะที่คิดว่าตนเป็ผู้ชนะคนสุดท้าย โครงการนั้นกลับถูกสั่งพักการก่อสร้างอย่างไร้เหตุผลก็ยังมี และบางโครงการต้องผ่านการคัดเลือกกันถึงห้าหกรอบอีกด้วย!
ชีวิตของสถาปนิกคนหนึ่งต้องวาดแบบจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ที่ได้นำไปก่อสร้างจริงกลับมีแค่ไม่กี่ผลงานเท่านั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้เื่พวกนี้แค่ครึ่งๆ กลางๆ จึงได้แต่ฟังหนิงเสวี่ยพูดแนะนำไปตลอดทาง หนิงเสวี่ยไม่เพียงแนะนำห้องทำงานเท่านั้น ทว่ายังพูดรวมไปถึงสถานการณ์ปัจจุบันของสายงานสถาปนิกอีกด้วย
“ถ้าเป็ไปได้ ทางที่ดีที่สุดควรไปเรียนต่อต่างประเทศ ฉันไม่ได้จะบอกว่าการเรียนการสอนที่จีนไม่ดีนะ แต่สำนักงานออกแบบของต่างชาติให้การยอมรับแค่วุฒิการศึกษาจากต่างชาติเท่านั้น ถ้ามีประสบการณ์การทำงานที่สำนักงานออกแบบต่างชาติ แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อที่จีนย่อมสะดวกยิ่งขึ้น”
สิ่งที่หนิงเสวี่ยพูด เห็นได้ชัดว่านั่นคือแผนการที่เธอเตรียมไว้ให้ตัวเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ “ดังนั้นเธอเลยจะไปเรียนต่อต่างประเทศสินะ?”
คำถามนี้ไม่้าคำตอบ
หนิงเสวี่ยพาเซี่ยเสี่ยวหลานเดินดูรอบๆ อย่างเต็มที่ เมื่อคาดว่าสองผู้าุโคงคุยกันเสร็จแล้ว เธอถึงพาเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไปยังห้องหนังสือ ทว่าการคาดการณ์ของหนิงเสวี่ยนั้นผิดพลาด ประตูห้องหนังสือถูกแง้มไว้ และบทสนทนาระหว่างหนิงเยี่ยนฝานกับย่าอวี๋ยังไม่สิ้นสุด ทำให้เสียงของหนิงเยี่ยนฝานเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน
“รุ่นน้องอวี๋ สหายหวายซินจากโลกนี้ไปแล้ว ตระกูลจี้ไม่มีเสาหลักที่สามารถพึ่งพาได้ เธออย่าถือสาพวกเขาเลยนะ”
“หึ ถ้าทายาทของจี้หวายซินไม่รังแกคนอื่น ฉันจะด่าพวกเขาทำไม! เมื่อก่อนจี้หวายซินเป็พวกใจเสาะ ลูกชายลูกสาวเขาก็คงไม่ต่างกันหรอก!”
“รุ่นน้องอวี๋ นิสัยของเธอช่าง... เอาเถอะ ไม่พูดถึงตระกูลจี้แล้ว เธอจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไรก็ได้ จริงๆ ก็ควรมีคนสั่งสอนพวกเขาบ้าง แต่ฉันแค่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนที่เข้าตาเธอได้ เด็กสาวที่ชื่อเซี่ยเสี่ยวหลานคนนั้นคงเป็คนที่ยอดเยี่ยมมากเลยสินะ”
แม้ย่าอวี๋ปากแข็งเพียงใดก็ต้องยอมรับว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนเก่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เหมือนอัจฉริยะที่มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีอย่างหนิงเสวี่ย ทว่าเธอคือคนเก่งที่ถีบตัวเองขึ้นมาจากจุดต่ำสุด คนเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก หากนำหนิงเสวี่ยกับเซี่ยเสี่ยวหลานมายืนด้วยกัน ย่าอวี๋ย่อมเอนเอียงไปทางเซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่าแน่นอน
“...ก็พอใช้ได้นะ แค่เรียนหนังสือเก่งเท่านั้น”
หนิงเยี่ยนฝานถอนหายใจ “ฉันว่าคงไม่ใช่แค่เรียนหนังสือเก่งอย่างเดียวหรอก”
หนิงเสวี่ยคือคนที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นกำลังวิ่งอยู่บนพื้นดิน หนิงเยี่ยนฝานคิดว่าหากทั้งสองคนช่วยส่งเสริมกันและกันคงจะสมบูรณ์แบบเป็อย่างยิ่ง
“เสี่ยวหลานกับแม่ของเธอบอกให้ฉันย้ายมาอยู่ปักกิ่ง บอกว่าหากฉันอยู่ซางตูจะไม่มีคนดูแล เหล่าหนิง เธอคิดว่าฉันควรย้ายมาดีไหม”
ย่าอวี๋ถามเช่นนี้ หนิงเยี่ยนฝานอดรู้สึกขบขันไม่ได้
นี่แสดงว่าอยากย้ายมามิใช่หรือ
แต่ก็มิวายอยากให้คนอื่นช่วยโน้มน้าวสินะ
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าการแอบฟังนั้นเป็เื่ที่ไม่งาม แต่ย่าอวี๋คุยเื่ย้ายมาอยู่ปักกิ่งกับหนิงเยี่ยนฝาน เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมอยากรู้ความคิดของย่าอวี๋
เซี่ยเสี่ยวหลานยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง หนิงเสวี่ยจึงทำได้เพียงยืนอยู่ข้างๆ เสียงในห้องหนังสือยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็เสียงของหนิงเยี่ยนฝาน
“ฉันคิดว่าเธอควรย้ายมา ฉันรู้ว่าเธอรอให้พวกเสี่ยวอี้กลับมาที่จีน อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขากลับมา มีหรือที่พวกเขาจะสืบไม่ได้ว่าเธออยู่ปักกิ่ง รุ่นน้องอวี๋ หลายปีมานี้ฉันช่วยสืบข่าวคราวของพวกเสี่ยวอี้มาโดยตลอด เมื่อก่อนการสื่อสารของจีนกับต่างประเทศถูกตัดขาดออกจากกัน ตอนนี้ประเทศได้ทำการปฏิรูปแล้ว พวกเราติดต่อกับชาวต่างชาติได้มากขึ้น ดังนั้นเธอต้องเชื่อมั่นเข้าไว้”
หนิงเยี่ยนฝานเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ควรให้ความหวังกับย่าอวี๋บ้าง
หญิงชรายังมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี การรอคอยด้วยความหวังย่อมดีกว่าความรู้สึกสิ้นหวัง
คนในครอบครัวที่ย่าอวี๋ตั้งตารออยู่ที่อเมริกา?
เซี่ยเสี่ยวหลานเกิดความคิดบางอย่าง เธอจึงผลักประตูเข้าไป
“ย่าย้ายมาอยู่ปักกิ่งเถอะค่ะ ถ้ามีโอกาสฉันจะช่วยหาตัวเขาให้เอง”
ประตูห้องถูกแง้มไว้ก็เพราะอยากให้เธอมีโอกาสแอบฟังมิใช่หรือ หนิงเยี่ยนฝานพูดถึงขนาดนี้แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าถึงเวลาที่ตนต้องแสดงจุดยืนเสียที ความปรารถนาเดียวของย่าอวี๋คงเป็เื่ครอบครัวที่ขาดการติดต่อกันไปสินะ
เื่อื่นอาจจะทำให้ได้ยาก แต่เื่ตามหาคนเธอนั้นมีวิธี
ตามหาคนที่อยู่ต่างประเทศจากที่จีนเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร หนิงเยี่ยนฝานพูดถูก หลายปีก่อนประเทศจีนเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ดังนั้นการตามหาคนในครอบครัวจึงต้องฝากฝังผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ประเทศทุนนิยมย่อมต้องใช้เงินเป็ปัจจัยหลัก ขอแค่มีเงินดอลลาร์ก็สามารถจ้างนักสืบเอกชนและลงโฆษณาทางทีวีได้ แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ทำให้โอกาสที่จะหาตัวพบเพิ่มมากขึ้น
ได้ยินดังนั้นย่าอวี๋ก็ลุกขึ้นยืนทันที
“ขอเพียงเธอช่วยฉันตามหาพวกเขาเจอ อาคารที่จัตุรัสเอ้อร์ชี ฉันก็จะยกให้!”
ย่าอวี๋สายตาเฉียบคมเหลือเกิน ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานเซ็นสัญญายาวถึงสิบปี เธอก็รู้ทันทีว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน้าอาคารหลังนั้น ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยอยากได้มันฟรีๆ เธอ้าจ่ายเงินซื้อเอง
อีกทั้งย่าอวี๋ไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงต้องตอบตกลงเพื่อให้ท่านสบายใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ค่ะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้