หลิวซานกุ้ยถามอีกครั้งว่า “ท่านอา เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่เจิ้งถอนหายใจและตอบว่า “วันนี้ข้าเพิ่งกลับมาจากอำเภอ นายอำเภอเรียกพวกข้าในละแวกนี้ให้ไปพบทั้งหมด แจ้งว่าราชสำนักมีราชโองการ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแดนเหนือจะมีศึกาใหญ่และเป็าระยะยาว กรมคลังนั้นร่อยหรอ บอกว่า้าเพิ่มภาษี ครั้งนี้คงเพิ่มขึ้นไม่น้อย ต่อไปคนขับเกวียนวัวอย่างเหล่าหวังที่บรรทุกคนก็ต้องจ่ายภาษี ไม่ว่าจะเป็เกวียนลาหรือเกวียนวัวขอเพียงเข้าตำบลก็ต้องจ่ายครั้งละหนึ่งอีแปะ”
“อะไรนะ? ลานี้เป็ครอบครัวเราเอง เื่อะไรจะต้องจ่ายค่าภาษีด้วย?” เฉินซื่อไม่เข้าใจ
หลี่เจิ้งถอนหายใจ “นี่ยังเื่เล็ก แต่งานหนักอยู่ที่ตัวเกษตรกร”
เฉินซื่อนิ่งเงียบ การเพิ่มภาษี ปีหน้าชีวิตของทุกคนคงยากลำบากขึ้นไม่น้อย
“เช่นนั้นไก่กับหมูมีระบุหรือไม่?” หลิวเต้าเซียงกังวลแค่เื่นี้
หลี่เจิ้งยิ้ม “หากให้ข้าพูดละก็ ฮวงจุ้ยบ้านเ้าไม่ใช่แค่ดีธรรมดา ในอดีตไม่มีบ้านไหนกล้าเลี้ยงไก่กับหมูจำนวนมากมายเพียงนี้ ส่วนใหญ่ทุกคนก็เลี้ยงไว้กินเอง ที่เกินมาจึงจะขายออกไป ด้วยเหตุนี้ทางราชสำนักจึงไม่ได้เพิ่มภาษีในด้านนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หลิวเต้าเซียงก็โล่งใจ
นางถามอีกครั้งว่า “ท่านปู่หลี่เจิ้ง ท่านกำลังเป็ห่วงแทนคนในหมู่บ้านสินะ”
“ถูกต้อง ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มภาษี แล้วยังมีภาษีบุคคลด้วย ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดอะไรกันแน่” หลี่เจิ้งนึกถึงเื่นี้ก็หงุดหงิด เขากังวลว่าต่อไปแค่หายใจก็ต้องจ่ายภาษีหรือไม่
อารมณ์ของหลิวซานกุ้ยนั้นหนักอึ้ง ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ยถาม “ท่านอา ภาษีเพิ่มขึ้นเท่าไรหรือ?”
ท่ามกลางแสงจากตะเกียงน้ำมัน ทำให้มองเห็นหน้าผากของหลี่เจิ้งที่มีรอยเหี่ยวย่นและลึกลงไปมากกว่าเดิม เขาทอดถอนใจก่อนจะเอ่ย “ในอดีตที่นาดีไร่ละไม่เกินหนึ่งร้อยอีแปะ แต่นับจากปีหน้าเป็ต้นไป ต้องจ่ายไร่ละสามร้อยอีแปะ ส่วนภาษีบุคคลก็คนละสิบอีแปะ ไม่รู้ว่าปีหน้าจะจับฉลากไปเป็ทหารหรือไม่ ได้ยินนายอำเภอบอกว่า ครั้งนี้แดนเหนือนั้นมีเื่กันรุนแรง จำต้องสู้ศึกใหญ่กันสักหน”
“สามร้อยอีแปะ เป็ไปได้อย่างไร?” หลิวซานกุ้ยใเกินเหตุ ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ยังหุบปากไม่ลง
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าที่นาดีทำผลผลิตต่อปีได้แค่สองตำลึง ยังไม่นับค่าแรงคน ค่าปุ๋ย แล้วยังมีภัยพิบัติในทุกรูปแบบอีก อันที่จริงการทำนาทั้งปีได้มาก็แค่เงินจำนวนไม่มาก
หลี่เจิ้งกังวลจนผมหงอกไปหมด “เฮ้อ ข้าถึงได้กังวล นี่ยังดี ตอนนี้มีภาษีบุคคล คนที่เช่าไร่นาคนอื่นเ่าั้ เกรงว่าคงต้องใช้ชีวิตอย่างรัดเข็มขัด เฮ้อ ชีวิตลำบากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะจับฉลากไปเป็ทหาร แต่ข้าก็กังวลว่าจะมีค่าภาษีจับฉลากอีก”
หลิวซานกุ้ยกล่าวว่า “ท่านอา ไม่รู้ว่าท่านมีแผนการรองรับอย่างไรหรือไม่?”
หลี่เจิ้งเองก็มีความขัดแย้งในใจ คิดแล้วจึงเอ่ย “ข้าตั้งใจว่าจะลดค่าเช่าให้คนที่เช่าที่นา แต่นั่นก็ช่วยได้เพียงกลุ่มคนที่เช่านาของข้า การเผชิญกับภาษีจำนวนมากเหล่านี้ จะมีกี่คนที่ควักออกมาได้”
คนในชนบท มีบ้านใดบ้างที่ไม่ใช้เงินหนึ่งอีแปะอย่างคุ้มค่า
หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นจึงเกิดความคิดดีๆ เพียงแต่เขาเองก็กลัดกลุ้ม “บ้านข้ามีเพียงที่นาดีสองไร่ ลำพังข้าเองก็จัดการได้ แต่ปีหน้าที่บ้านจะเลี้ยงหมูกับไก่เพิ่มขึ้น คงต้องหาแรงงานเพิ่มหลายคน”
ดวงตาของหลี่เจิ้งสว่างขึ้นก่อนจะรีบถามว่า “ได้มากสุดกี่คน? หมู่บ้านเราใกล้กับตำบลหน่อย ชีวิตคงดีกว่าหมู่บ้านอื่น แต่ว่าคนยากจนก็มีเยอะ บ้านเ้ารับได้กี่คนก็ตามนั้น อย่างไรก็ตามต้องให้ผ่านพ้นปีหน้าไปให้ได้แล้วค่อยว่ากัน”
หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างถามข้อสงสัย “ผู้เช่าเ่าั้ไม่จำเป็ต้องจ่ายภาษีที่ดินไม่ใช่หรือ?”
หลี่เจิ้งอธิบายว่า “เ้าคงไม่รู้ ผู้เช่าก็นับว่าเป็เกษตรกร ขอเพียงมีแรงงานในบ้าน ไม่ว่าจะเช่านาหรือไม่ก็ล้วนถูกเก็บภาษีตามนี้ มิฉะนั้นทางราชสำนักเหตุใดถึงต้องลดหย่อนให้บรรดาซิ่วไฉกับจวี่เหรินเล่า ก็เพื่อเหลือหนทางรอดให้แก่ผู้เช่าทั้งหลาย”
เฉินซื่อถอนหายใจและกล่าวว่า “สมัยนี้บ้านไหนก็ไม่ดีนัก ซานกุ้ย ข้าว่าปีหน้านอกจากเราจะจ้างแรงงานไม่กี่คน หากเราจ้างอีก ก็เลือกคนที่ซื่อตรงและยากจนที่สุดในหมู่บ้านดีกว่า”
“พี่สะใภ้ ขอบใจมาก” หลี่เจิ้งถอนหายใจเงียบๆ ด้วยความโล่งอก เขาดูแลหลายหมู่บ้าน หากมอบภาระออกไปได้บ้างก็ดี ทุกบ้านต่างประหยัดกันหน่อย ชีวิตที่ยากลำบากก็คงพอผ่านไปได้
หลิวซานกุ้ยขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบ “ปีหน้าข้า้าแรงงานห้าคน เดิมทีข้าอยากหาคนที่ขยันและซื่อตรงก็พอ แต่จากคำพูดของท่านอา เกรงว่าคงต้องเลือกจากในหมู่บ้านเราก่อน บอกไว้ก่อนว่าคนที่ชอบลักขโมยและี้เี แม้บ้านจะยากจนแต่ข้าก็ไม่รับ”
“เื่นี้ไว้เป็หน้าที่ข้าเอง” หลี่เจิ้งรู้ว่าหลิวซานกุ้ยไม่ใช่คนเ้าเล่ห์ร้ายกาจ ค่าแรงที่คุยกันไว้ เขาไม่มีทางให้น้อยกว่าที่ตกลงแน่นอน
เช่นนี้ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาให้แก่ห้าครอบครัวในหมู่บ้านสามสิบลี้ได้แล้ว
หลิวเต้าเซียงช่วยเตือนเขาว่า “ท่านพ่อ ลืมไปเื่หนึ่งหรือไม่?”
นางเอ่ยต่อ “ครอบครัวของเรายังคงต้องรวบรวมลูกไก่อย่างน้อยสี่ถึงห้าพันตัว ดังนั้นจึงเป็การดีกว่าถ้าจะยกหน้าที่ให้หลี่เจิ้ง เราอิงตามราคาท้องตลาด ลูกไก่ตัวละสามอีแปะ ทั้งหมดห้าพันตัว”
แม้ว่านางจะรวบรวมเองได้หกพันตัว จากนั้นก็เพาะพันธุ์จากแม่ไก่ในบ้านอีกหนึ่งถึงสองพัน แต่ว่าอัตราการอยู่รอดของลูกไก่นั้นควบคุมได้ยาก แม้ว่าจะมีห้วงมิติคอยช่วยเหลือ แต่ที่เพาะพันธุ์ในบ้านเมื่อเทียบกับการรับมาจากข้างนอกนั้น เป็สิ่งที่ควบคุมยากที่สุด
ในวิสัยทัศน์ของหลิวเต้าเซียง นาง้าควบคุมอัตราการตายไม่ให้เกินสองพันตัว
จึงเป็เหตุผลที่นางเอ่ยขึ้นมาอีกเช่นนั้น
ดวงตาของหลี่เจิ้งเป็ประกายเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เ้าหมายถึงลูกไก่สี่ถึงห้าพันตัวหรือ? ข้ารู้ว่าปีนี้ครอบครัวเ้าต้องได้กำไรไม่น้อย มิฉะนั้นปีหน้าก็คงไม่รับมากถึงเพียงนี้ ขอรวบรวมห้าพันตัวได้หรือไม่? อาให้โจทย์ยากกับพวกเ้าเกินไปหรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงคิดว่ามากหน่อยก็ไม่เป็ไร นับว่าช่วยเหลือคนร่วมหมู่บ้าน
“ท่านปู่หลี่เจิ้งพูดมาเช่นนี้แล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน”
ในที่สุดหลี่เจิ้งก็หัวเราะออกมา ไก่ห้าพันตัวจะว่าเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย อย่างน้อยก็ช่วยเหลือทุกคนให้จัดการเื่ภาษีได้ ที่เหลือคงต้องพึ่งความพยายามของทุกคนด้วยอีกแรง
“เต้าเซียง ปู่ต้องขอบคุณเ้าจริงๆ”
หลิวเต้าเซียงตอบด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่หลี่เจิ้ง ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเราไม่ธรรมดา ขอเพียงท่านเอ่ยปาก ในเมื่อครอบครัวข้ารับรู้ และเห็นแก่หน้าพี่สาวข้า อย่างไรก็ต้องยื่นมือช่วย ไม่ใช่หรือ?”
นางเผยท่าทีว่าง่ายต่อหน้าหลี่เจิ้ง หากถึงเวลาที่พี่สาวของตนออกเรือนไปยังครอบครัวพวกเขา ตระกูลหวงควรต้องนึกถึงน้ำใจในครั้งนี้
“ฮ่าๆ หลานชายคนโตของข้าได้สะใภ้ที่ดีนัก อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายบอกพ่อแม่เขาให้”
หลี่เจิ้งเป็คนหลักแหลม เมื่อตระกูลหลิวยื่นมือช่วย เขาก็แค่ไหลตามน้ำ
เนื่องจากคำสัญญาของพ่อลูกทั้งสาม หัวใจอันหนักอึ้งของหลี่เจิ้งก็ผ่อนคลายลงไปมาก!
ไม่มีใครคาดคิดว่าเื่กังวลใจของบรรดาหลี่เจิ้ง พอถึงมือเขากลับจัดการได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ
หลังจากที่หลี่เจิ้งกลับไป หลิวซานกุ้ยจึงเอ่ยถาม “ลูกรัก เ้าคิดแผนนี้ไว้ั้แ่แรกแล้วใช่หรือไม่?”
“ท่านพ่อดูออกจนได้?” หลิวเต้าเซียงตอบพร้อมกับยิ้มตาพริ้ม มือน้อยๆ ที่ขาวผุดผ่องกำลังม้วนผมตรงหน้าอกเล่น
หลิวซานกุ้ยยิ้มร่า “ถึงอย่างไรข้าก็เป็พ่อเ้านะ!”
หลิวเต้าเซียงแลบลิ้น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ข้าก็คิดเพื่อท่านพ่อ ครั้งที่แล้วคุณชายซูมาที่บ้านก็เคยเอ่ยว่า ลูกศิษย์ที่มุ่งสู่หนทางขุนนาง เื่ชื่อเสียงนั้นสำคัญยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็ความเห็นแก่ตัวของข้า แต่คนในหมู่บ้านก็ได้รับผลประโยชน์ไม่ใช่หรือ? ท่านพ่อข้า้าคำชมเชยน้อยนิดจากพวกเขา ส่วนพวกเราก็มอบผลประโยชน์น้อยนิดให้กับพวกเขา นี่มันประจวบเหมาะพอดีไม่ใช่หรือ?”
ยิ่งไปกว่านั้น หลิวเต้าเซียงเห็นภาพในปีเศษที่ผ่านมา คนในชุมชนแม้จะเป็พวกที่ชอบเอาเปรียบเล็กน้อย วันนี้ไปหยิบแตงจากแปลงผักคนนั้น วันมะรืนไปเด็ดผักบ้านน้า นั่นล้วนเกิดจากความยากจน
ครอบครัวตระกูลหลิวของนาง้าชื่อเสียงอันดีงามมาคุ้มกัน คนในหมู่บ้านจำต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อวิถีชีวิต ต่างคนก็ต่างไขว่คว้าสิ่งที่จำเป็ต่อตนเอง แล้วเหตุใดจะต้องปฏิเสธด้วย?
“แล้วพันธุ์ลูกหมูเล่า?” หลิวซานกุ้ยถามอีกครั้ง
เขามีส่วนร่วมในการเพาะเลี้ยงของครอบครัว แต่หลักๆ ยังต้องพึ่งความเห็นของบุตรสาวคนรอง
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาและตอบว่า “ข้าจำได้ว่าตอนต้นปีเคยคุยกับท่านย่าหวงและป้าหลี่ให้พวกนางเลี้ยงหมูด้วยกัน ท่านย่าหวงเดิมทีบ้านก็มีเงินอยู่แล้ว เมื่อเห็นบ้านเราเลี้ยงเยอะ จึงเลี้ยงทีเดียวยี่สิบตัว ตอนนี้ได้ยินว่าขายออกไปสิบตัว เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าจะไปคุยกับท่านย่าหวงว่าอย่าเพิ่งให้นางขายหมูอีก แต่เก็บไว้ทำพันธุ์ ปีต่อไปเราจะได้รับซื้อลูกหมูไว้ทั้งหมด”
ยังไม่ทันรอให้หลิวซานกุ้ยได้ถามอีกครั้ง นางก็กล่าวอีก “ชุ่ยฮัวกับข้าสนิทกัน ตอนนั้นครอบครัวเรายากลำบาก ก็มีชุ่ยฮัวกับป้าหลี่ช่วยสนับสนุน ตอนนี้มีหนทางดีๆ ย่อมต้องพากันไปด้วย ข้าบอกกับชุ่ยฮัวไว้แต่แรกแล้ว เดิมทีป้าหลี่ซื้อลูกหมูกลับมาแค่หนึ่งตัว ปรากฏว่าชุ่ยฮัวเห็นข้าเลี้ยงหลายร้อยตัว ท่านพ่อคงไม่รู้ นางนั้นเคยแอบมาถามข้าว่า นางแอบเลี้ยงหมูด้วยได้หรือไม่ ข้าบอกว่าได้สิ และบอกกับนางว่า หากหมูที่บ้านนางไม่มีคนดูแล ครอบครัวเราจะรับไว้เอง เมื่อวานนางยังมาถามอยู่ว่า ข้าให้นางเก็บหมูไว้ทั้งหมด ปีหน้าคลอดลูกหมูมา ก็จะนำมาขายให้ครอบครัวเรา”
เดิมทีหลิวเต้าเซียง้าช่วยหลี่ชุ่ยฮัวอีกแรง ใครจะรู้ว่าประจวบเหมาะที่ เกาจิ่วบอกว่าปีหน้า้าหมูหนึ่งพันตัว
น้ำดีไม่ไหลสู่ที่นาคนอื่น เมื่อมีเื่ดี หลิวเต้าเซียงก็นึกถึงหลี่ชุ่ยฮัวเด็กสาวตัวอ้วนเป็คนแรก
อ้วนแล้วอย่างไร? ตราบใดที่ไม่อ้วนจนเกินไป
ย่อมแข็งแรงกว่าคนที่ผอมจนหนังหุ้มกระดูก
ในอนาคตถ้าหลี่ชุ่ยฮัวไม่สามารถแต่งงานได้ นางจะช่วยให้เพื่อนได้รับเงินมากขึ้นและใช้เงินเพื่อเปิดทาง ยุคนี้ไม่มีบ้านไหนรังเกียจคนที่มีเงินเยอะอยู่แล้ว
หลิวเต้าเซียงกำมือเล็กๆ ไว้แน่น มีเงินเสียอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้ แต่หากไม่มีเงินอะไรก็เป็ไปไม่ได้
เื่ที่หลิวเต้าเซียงซื้อลูกหมู จึงกำหนดตามนี้ ในบ้านของนางมีแม่พันธุ์พ่อพันธุ์ยี่สิบตัว ท่านย่าหวงมีสิบตัว โอ้ เงินส่วนตัวที่อยู่ในกำมืออันเย็นะเืของหลี่ชุ่ยฮัวก็นำมาซื้อลูกหมูทั้งหมด เพราะเื่นี้จึงทำให้ป้าหลี่กับบุตรสาวทะเลาะกันไปหนึ่งยก
ต่างจากกลยุทธ์ ‘ปล่อยเลี้ยงตามธรรมชาติ’ ของจางกุ้ยฮัว ป้าหลี่ใจแข็งกับความคิดที่อยากจะให้บุตรสาวมีความสามารถในการดำรงชีพ อีกทั้งต้องเปล่งประกายเจิดจรัส
ดังนั้นหลี่ชุ่ยฮัวนอกจากจะต้องทำให้แม่ของนางรับปากเื่เลี้ยงหมูสี่ตัวแล้ว ยังต้องเย็บปักเพื่อแลกเงินค่าอาหารหมูอีกด้วย
ทุกอย่างเป็หลุมพรางไปหมด!
หลิวเต้าเซียงชื่นชมความฉลาดของป้าหลี่ ทั้งยังไม่บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก แล้วยังหลอกล่อให้เพื่อนสนิทออกแรงขยันหมั่นเพียรได้อีกทาง!
เช้าวันรุ่งขึ้น หลิวเต้าเซียงก็ถูกหลิวซานกุ้ยเร่งให้ไปคุยเื่เพาะพันธุ์ลูกหมูกับท่านย่าหวง ตอนที่กลับมาท่านย่าหวงก็มอบเนื้อวัวชิ้นใหญ่ให้ด้วย เดาว่าคงมีน้ำหนักราวสิบชั่ง ได้ยินว่านางไปสืบได้ความว่ามีบ้านหลังหนึ่งจะเชือดวัวแก่ตัวหนึ่งตอนปีใหม่ ท่านย่าหวงจึงไปนั่งรอที่บ้านหลังนั้นั้แ่ฟ้ายังไม่สว่าง
วัวถูกใช้เพื่อการไถพรวนดิน แต่ในราชวงศ์โจวกำหนดว่ามีเพียงวัวที่ป่วยหรือแก่จนไม่อาจทำนาได้ถึงจะได้รับอนุญาตให้เชือด
โดยทั่วไปแล้ว แม้มีเงินก็ไม่อาจซื้อได้
-----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้