โลกะ
‘โลกะ’ นั้นเป็สิ่งดีงาม หากแต่ในยุคที่ชีวิตราษฎรยากแค้น แผ่นดินลุกเป็ไฟ ซากศพเกลื่อนกลาดตามท้องถนน ภาพตรงหน้ากลับเป็ภาพที่พบเห็นได้จนชินตา
ทว่าสำหรับบางคนแล้ว ชีวิตประจำวันอันแสนจืดชืด กลับไม่สามารถเติมเต็มพลังให้พวกเขาได้
เฉกเช่นศิษย์กระบี่ชุดเขียวที่กำลังหาวหวอดอยู่ ณ ลานชำระกระบี่ แม้ว่าการฝึกฝนทวนกระบี่ที่ช่วยปรับสมดุลปราณแท้ให้ไหลเวียนสู่ทะเลปราณนี้ จะเป็กิจวัตรที่ต้องทำประจำวัน ทว่าทุกครั้งที่เขาอ้าปากหาว ก็ดูราวกับว่าการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดนั้นจะเป็เพียงเมฆหมอกลอยที่ผ่านสายตา มิได้ใส่ใจสักเท่าไรนัก
ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่นานเสมอ วินาทีถัดมาหน้าผากของเขาก็ถูกดีดเข้าอย่างจังจนต้องกลิ้งไปมาด้วยความเ็ป
"ฝึกกระบี่บ่มเพาะปราณ ควรมีจิตใจจดจ่อ ลานชำระกระบี่นี้มิใช่ที่ให้เ้ามายืนฝันกลางวัน!"
"ศิษย์พี่เสา..."
มิใช่เพียงแค่มีรอยแดงชาดประทับบนหน้าผากเท่านั้น เมื่อศิษย์น้องกระบี่น้อยผู้นี้เห็นหน้าผู้มาเยือน ใบหน้าของเขาก็พลันแดงก่ำดุจผลผิงกั่ว
ผู้มาเยือนคือศิษย์พี่ร่วมสำนัก เซียนกระบี่โฉมสะคราญอันเป็ที่ภาคภูมิใจของ ‘สำนักกระบี่ไท่สิง’ นางบรรลุถึงขั้นหกประทับ รูปลักษณ์และท่วงท่าของนางจึงแตกต่างจากสตรีทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
ณ เขาลั่งอวิ๋นที่หิมะและลมพายุโหมกระหน่ำ ทว่าอาภรณ์สำนักกระบี่สีเหลืองอ่อนของ ‘ศิษย์พี่เสา’ ราวกับถูกห่อหุ้มด้วยสายลมแ่เบา โอนอ่อนไปตามสายลม เส้นผมดำขลับที่สยายลงมาสองข้างบ่า ราวกับหมึกที่แต้มเติมบนยอดเขาหิมะอันขาวบริสุทธิ์ ใบหน้างดงามหมดจด ท่าทีเ็าของนางนั้น กลับเย้ายวนใจยิ่งกว่าสายลมวสันต์ ดวงตาสีครามสดใสใต้แพขนตาที่งอนยาว งดงามราวหมู่ดารา ที่ยามนี้ฉายภาพศิษย์น้องผู้ขี้อายของนาง
ศิษย์น้องเล็กจ้องมองอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาไป
"ข้ากำลังอบรมสั่งสอนเ้าอยู่นะ" สาวน้อยที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่กอดอก แสดงสีหน้าดุดัน “ดูท่า หากมิได้ลงโทษให้เ้าฝึก 'เจตจำนงกระบี่ไท่สิง' เพิ่มอีกสองพันครั้ง คัดลอก 'เคล็ดวิชาลืมเลือน' อีกหนึ่งพันจบ เ้าคงไม่รู้จักจำใส่ใจสินะ”
“ฮือๆ… ศิษย์พี่เสา โปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว”
ในที่สุด ศิษย์กระบี่น้อยที่รู้ตัวว่าเคราะห์ร้ายกำลังมาเยือนก็จำต้องยกกระบี่ขึ้น ยืนตระหง่านอยู่หน้าลานชำระกระบี่ด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ
ด้วยพลังเพียงขั้นหนึ่งประทับถึงขั้นสองประทับ บรรดาศิษย์กระบี่ที่ศรัทธาในชื่อเสียงของไท่สิงที่ได้ก้าวเข้าสู่สำนักก็เริ่มมีผู้เกียจคร้านเสียแล้ว เมื่อมองไปยังศิษย์รุ่นหลังที่มีท่าทีเช่นนี้ เซียนกระบี่ในอาภรณ์สีเหลืองก็เพียงแค่ถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า
"ถึงแม้จะเป็ยุคสงบสุข… แต่เส้นทางนี้ก็เป็สิ่งเ้าที่เลือกเอง เมื่อเลือกแล้ว เหตุใดจึงปล่อยปละละเลยเช่นนี้เล่า?"
"ลิ่งเอ๋อร์ ถึงจะเป็เช่นนั้น ก็อย่าได้เข้มงวดเกินไปนักเลย"
มิได้คาดคิดว่าในขณะที่นางกำลังบ่นพึมพำอยู่นั้น จะมีเสียงทุ้มนุ่มดังแทรกเข้ามาในความคิดของนาง
เซียนกระบี่สาวนามว่า เสาลิ่งเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงยามที่ได้ยินเสียงนี้เท่านั้น ใบหน้าเ็าของนางจึงจะเผยรอยยิ้มออกมา
"ศิษย์พี่...ศิษย์พี่เจี่ย!"
ผู้มาเยือนนั้นมีรูปร่างสมส่วน ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย แต่กลับเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มสวมเพียงมงกุฎเงินเรียบง่าย สวมอาภรณ์กระบี่สีเหลืองอ่อนเช่นกัน พร้อมกระบี่ยาวคู่กาย ลายกระบี่ไท่สิงถูกกระตุ้นด้วยพลังปราณแท้ที่เปี่ยมล้น ปรากฏเด่นชัดบนหน้าผาก ลายเส้นอันสง่างามนั้น บ่งบอกถึงการดำรงอยู่ของยอดฝีมือขั้นแปดประทับอันน่าเคารพ ผมดำขลับที่ยาวสลวยของเขานั้น งดงามไม่แพ้สตรี มีเพียงห่วงทองคำบริสุทธิ์ที่คาดอยู่บนหน้าผาก และเจตจำนงกระบี่ที่คมกล้าไร้ผู้ใดเทียบ ที่ทำให้เขาดูแข็งแกร่งน่าเกรงขาม
"ก็เพราะว่าใต้หล้านั้นสงบสุข เราจึงมีศิษย์น้องที่ไม่มีสมาธิเหล่านี้ เอาแต่เล่นสนุกและเติบโตไปอย่างสบายใจ หากเป็สถานการณ์ที่พวกท่านอาจารย์เคยประสบมา บางทีที่ลานชำระดาบของสำนักกระบี่ไท่สิง อาจไม่ได้มีแสงกระบี่ส่องไปทั่ว และเต็มไปด้วยศิษย์กระบี่เสมอไป”
“ศิษย์พี่ใหญ่ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน...” บนใบหน้าของศิษย์กระบี่สาวในชุดกระบี่ศิษย์ใหม่สีเขียว ปรากฏร่องรอยแดงระเรื่อฉาบทั้งหน้าั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว "โดดเด่นทั้งพลังปราณและทักษะกระบี่ แถมยังมีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อศิษย์น้องเล็กเช่นพวกเรา...”
"แค่กๆ!" เสียงกระแอมกระไอที่จงใจดังขึ้น ทำให้เสียงฮือฮาและกระซิบกระซาบที่ดังไม่หยุดหย่อนบนลานชำระกระบี่นั้นหยุดลง อาจารย์ผู้สอนในสำนักที่นำศิษย์ใหม่มาฝึกฝน มองปราดไปยังเหล่าศิษย์กระบี่ที่ไม่ตั้งใจฝึกฝนอย่างดุดัน จากนั้นจึงเดินไปข้างหน้า ประสานมือคำนับเซียนกระบี่ในอาภรณ์สีเหลืองที่กำลังยิ้มอย่างขมขื่น
"ต้องขออภัยศิษย์พี่เจี่ยหลี เื่การอบรมสั่งสอนนั้นขอให้เป็หน้าที่ของข้า ศิษย์พี่มาในวันนี้คงจะมารับศิษย์พี่หญิงไปที่ด่านด้วยกระมัง?"
"ใช่แล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า กระบี่เฉินเวย แห่งแปดกระบี่ไท่สิงมีคุณสมบัติพอที่จะมาเฝ้ารักษาด่านเหยียนฮู่แทนข้าได้แล้ว" เจี่ยหลียิ้มพลางพยักหน้า โดยมิได้สังเกตว่าลิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังนั้น ใบหน้ายังคงแดงก่ำด้วยความเขินอาย
หรือว่าเมื่อบำเพ็ญเพียรไปนานๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความรักระหว่างชายหญิง จึงกลับกลายเป็คนที่ไม่ประสีประสาไปเสียแล้ว? เสาลิ่งเอ๋อร์คิดในใจ พลางก้าวเบาๆ ขึ้นไปบนกระบี่ของนาง ร่วมเดินทางไปกับศิษย์พี่ที่นางชื่นชมดั่งดวงดาว สองร่างในอาภรณ์สีเหลืองราวกับดาวตกที่ผ่ากลางท้องฟ้า ในพริบตาก็ได้จากลานกระบี่ไปเสียแล้ว
ด่านเหยียนฮู่ คือช่องผาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติภายใต้ยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาลั่งอวิ๋น ราวกับว่าในยุคโบราณเคยมีเทพิญญาั์ผู้เงื้อกระบี่ั์แทงทะลุบริเวณไหล่เขา ทำให้เกิดเป็โพรงที่ทะลุถึงกัน ลมพายุพัดกระหน่ำตลอดทั้งปี หากมิใช่ผู้มีกายเซียน คนธรรมดาก็ยากที่จะยืนหยัดอยู่ได้
และเ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักกระบี่ไท่สิง สำนักกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ก็ได้กำหนดให้สถานที่แห่งนี้เป็สถานที่บำเพ็ญเพียรปิดด่านประจำปี
ค่ายกลเวทถูกวางไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังของช่องผา แม้จะมีเพียงขั้นหกประทับก็สามารถเข้าสู่ค่ายกลได้ ทว่าหากไม่มีพลังถึงขั้นเก้าประทับขึ้นไป ไม่ว่าใครก็ยากที่จะหลุดพ้นออกไปได้ แม้จะเข้าได้ก็ต้องเผชิญกับลมพายุที่โหมกระหน่ำตลอดปีของเขาลั่งอวิ๋น ไม่มีผู้ใดในสำนักล่วงรู้ถึงทัศนียภาพภายในด่านเหยียนฮู่
ท้ายที่สุดแล้ว รูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันนั้น มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้นที่ล่วงรู้
ประเภทแรก คือเ้าสำนักกระบี่ไท่สิงนามต้วนเจิ้งสิง ประเภทที่สอง คือศิษย์ของสำนักกระบี่ที่ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อปราบปรามพวกมารและปีศาจร้าย หลังจากนั้นก็นำพวกมันมาขังไว้ที่นี่
หิมะโปรยปราย สายลมและหิมะควรจะทำให้ทัศนวิสัยยากจะมองเห็น ทว่าแม้หิมะจะโหมกระหน่ำเพียงใด ผลึกสีขาวแห่งธรรมชาติก็กลับกลายเป็ไอระเหยเมื่อเข้าใกล้ทั้งสอง เสาลิ่งเอ๋อร์เข้าใจว่า การที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็กระบี่เฉินเวย และก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแปดกระบี่ได้นั้น เป็เพราะความขยันหมั่นเพียร และการฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา พลังหกขั้นประทับของนางนั้น ได้มาจากการฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อน ธรรมชาติที่ขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า จึงมิอาจเป็ภัยคุกคามนางได้
ส่วนศิษย์พี่เจี่ยหลีที่นางเคารพรัก ผู้เป็หัวหน้าแห่งแปดกระบี่ไท่สิง สมญานามว่า ‘กระบี่เจิ้งหยาง’ นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง มิพักต้องกล่าวถึงการฝ่าฟันกำแพงลมและหิมะนี้ หรือแม้แต่การทำลายห้องหัวใจเล็กๆ ที่นางแอบซ่อนความรักนั้นเอาไว้ ก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย...
"อ๊ะ!" ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ นางก็รู้สึกว่าปราณแท้ในกายขาด่ ร่างกายกำลังจะร่วงหล่นลงจากกระบี่
ทว่าฝ่ามือที่อบอุ่นก็โอบประคองเอวของนางไว้ เมื่อใบหน้าเล็กๆ ชิดใกล้ จึงสามารถมองเห็นศิษย์พี่เจี่ยหลีที่กำลังสอบถามด้วยความห่วงใย "เป็อะไรไป?"
“ข้าแค่เผลอ...เผลอประมาทไปชั่วครู่เท่านั้น...”
ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อราวกับกลีบเมฆต้องแสงสนธยา แดงเสียจนเหมือนไม่ได้อยู่ใน่ฤดูเหมันต์ ทว่าท่านเซียนผู้ราวกับไม่รู้อะไรเลย เพียงยิ้มตอบด้วยความโล่งใจ “ก็ดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล ข้าจะคุ้มครองเ้าไปจนถึงหน้าด่านเอง”
เสาลิ่งเอ๋อร์ปรารถนาให้่เวลานี้คงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด
ทว่าทุกอย่างก็มิได้เป็ไปตามปรารถนา ทักษะการควบคุมกระบี่ของเจี่ยหลีนั้นยอดเยี่ยม ภายในพริบตาเดียว ูเาประหลาดที่มีรอยแยกอยู่ตรงกลางก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทักษะการควบคุมกระบี่ของนางนั้นยังเป็เพียงอันดับสองของสำนัก ส่วนเจี่ยหลีนั้นเป็อันดับหนึ่ง หากจะพูดถึงความเร็ว แน่นอนว่าไม่อาจคาดหวังว่าจะยื้อเวลาได้มากนัก
นางถอนหายใจแ่เบาอยู่ในใจ แม้บำเพ็ญเพียรมายี่สิบปี แต่หัวใจของกระบี่เฉินเวยเจี้ยนก็ยังคงเป็เพียงสาวน้อยเท่านั้น กระบวนท่าของทั้งสองเคลื่อนไหวพลิ้วเบาดุจดั่งดอกไม้ร่วงหล่นสู่ธารามรกต
ก่อนที่ปลายเท้าจะััลงที่หน้าด่าน ที่ซึ่งมีเวรยามที่เฝ้ารออยู่นานแล้ว และเวรยามที่ว่าก็คือ ศิษย์พี่ลำดับที่หกและเจ็ดแห่งแปดกระบี่ ซึ่งเป็ศิษย์พี่ที่นางควรให้ความเคารพอย่างยิ่ง
“ลิ่งเอ๋อร์มาแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่งกล่าวขึ้นก่อนถูกศิษย์พี่ใหญ่โอบกอด
“เ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ ต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ๆ!”
“ศิษย์...ศิษย์พี่อย่าพูดจาเหลวไหลสิ!”