คำพูดของจวงเฟยเฟยดูนุ่มนวล แต่แววตาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
แม้กระทั่งอันเจิงยังอดกลั้นความใไม่อยู่แล้วชะงักไปชั่วขณะเขาคงต้องมองผู้หญิงคนนี้ใหม่เสียแล้ว เพื่อเกล็ดมัจฉานางถึงกับทำลายโรงประมูลอีกแห่งที่มีชื่อเสียงในโลกมายาได้่เวลาไม่นานที่ยอดฝีมือเ่าั้ออกไป พวกเขาฆ่าไปกี่ศพกัน?
เมื่อเห็นอันเจิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่รู้เพราะอะไรถึงทำให้จวงเฟยเฟยรู้สึกกลัวขึ้นมา นางหัวเราะเยาะตัวเองในใจ...ต่อให้อันเจิงจะมีชะตาชีวิตที่แปลกหรือเคยได้รับชะตาลิขิตจากฟ้ามาใหม่แต่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัวเลย นางกลัวเขาเพราะอะไรกัน? อันเจิงก็เป็แค่เด็กคนหนึ่งที่มีสายตาคมเฉียบและมีความเชี่ยวชาญด้านสมบัติวิเศษหากพูดถึงในด้านพลังวัตรแล้วเขาถือว่าอยู่ปลายแถวเลยทีเดียว
แล้วทำไมนางต้องกลัวด้วย?
จวงเฟยเฟยอาจไม่มีวันเข้าใจว่าเพราะอะไรนางถึงกลัวแววตาคู่นั้นของอันเจิงมากขนาดนี้
“โลกมายาก็เป็แบบนี้แหละ”
แล้วก็ไม่เข้าใจอีกเช่นกันว่าทำไมถึงต้องหันไปทางอันเจิงแล้วอธิบาย“ไม่มีใครรับประกันได้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตตื่นขึ้นมาดูโลกหรือไม่ และทุกคนที่นั่นก็ตายอย่างสมเหตุสมผลแล้วผู้คนในโรงเต๋อเป่าต่างมีนิสัยเหมือนโจร สมบัติวิเศษที่พวกเขามีส่วนใหญ่ก็มาจากการแย่งชิงทั้งนั้นฉะนั้น ข้าทำแบบนี้ก็ถือเป็การลงโทษแทนฟ้าดินแล้วล่ะ ที่สำคัญกว่านั้นคือข้าคิดจะทำแบบนี้มานานมากแล้ว”
นางนั่งลงเพื่อกลบเกลื่อนความตื่นตระหนกในใจ“โลกมายานี้ไม่ใหญ่มาก ฉะนั้นมีโรงประมูลแห่งเดียวก็เกินพอแล้วและหากโรงเต๋อเป่ามีอำนาจมากกว่านี้ละก็ พวกเขาก็คงจะลงมือกำจัดโรงจวี้ฉ่างของข้าเช่นกัน”
อันเจิงยักไหล่เล็กน้อย “ไม่เกี่ยวกับข้าข้าจะไปแล้ว”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เจินจวงปี้เดินไปยืนขวางประตูไม่ให้อันเจิงออกไป “ตอนนี้เกล็ดมัจฉาอยู่ที่เ้าเ้าคิดอยากจะไปก็ไปง่าย ๆ อย่างนี้รึ?”
จวงเฟยเฟยก็พูดขึ้นเช่นกัน “ผู้นำนิกายอันเกล็ดมัจฉายังอยู่บนตัวเ้า”
เดิมทีอันเจิงมาที่นี่ในครั้งนี้เขาไม่ได้คิดอยากล้ำเส้นใครเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าจะเป็ชนเผ่ากู่เลี่ยหรือโรงจวี้ฉ่างก็ตามถึงแม้ว่าเกล็ดมัจฉาจะมีตำนานที่เก่าแก่ แต่ในสายตาอันเจิงแล้วมันไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น เขาไม่เคยคิดอยากสมบัติวิเศษชิ้นนี้เลย เพราะเขารู้จักจักรวรรดิต้าซีและรู้จักจักรพรรดิแห่งราชสำนักต้าซีเป็อย่างดีฉะนั้นเขาไม่เชื่อเื่ปลาวิเศษอะไรนั่นและยิ่งไม่เชื่อว่าเกล็ดมัจฉาจะทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวาย
“เดิมทีข้าไม่ได้อยากเอาสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไปด้วยเลย”
อันเจิงนำกระดิ่งแก้วออกจากคอเสี่ยวช่าน จากนั้นก็ส่งแมวน้อยให้ตู้โซ่วโซ่ว
เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมแบมือออกมา มีกระดิ่งแก้ววางอยู่บนมือนั้น“อยากได้ก็เข้ามาเอา”
จวงเฟยเฟยพูดอย่างจนปัญญา “ผู้นำนิกายอันทำแบบนี้ไม่มีเหตุผลสิ้นดี นี่เป็สมบัติของชนเผ่ากู่เลี่ย และเพื่อแลกเปลี่ยนสมบัติวิเศษกับพวกเขาข้าก็เพิ่งกำจัดโรงเต๋อเป่าไป ตอนนี้เ้าจะเอามันไปแบบนี้ ทำเกินไปแล้วหรือไม่?”
อันเจิงก้มหน้ามองไปยังกระดิ่งแก้วในมือแล้วหัวเราะ “ข้าเป็คนที่ใช้แต่เหตุผลมาโดยตลอดต่อให้ผู้อื่นจะไม่อยากฟังข้าก็จะพูดจนกว่าเื่จะกระจ่าง ส่วนคนที่ไม่ยอมฟังข้าก็จะสู้จนกว่าเขาจะยอมฟังแต่ครั้งนี้คงต้องดูอารมณ์ข้าแล้วล่ะ เดิมทีข้ามาที่นี่ก็เพื่อประเมินสมบัติวิเศษเท่านั้นไม่ได้มีเจตนามาวุ่นวายกับเื่พวกนี้เลย ทว่าพวกเ้ากลับทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดีแล้วหากข้าอารมณ์ไม่ดีก็จะไม่มีเหตุผลเสียด้วยสิ”
เขาลากเก้าอี้มาแล้วนั่งลง “ใครอยากได้ก็เข้ามาเอาได้เลย”
เจินจวงปี้ก้าวไปข้างหน้าแต่กลับหยุดนิ่งเขาไปหาเชียวจ่างเฉินเพื่อขอยืมสมบัติวิเศษในหอสมุดมายาอยู่หลายครั้งแต่เชียวจ่างเฉินก็ไม่ยอมให้สักที เขาไม่มีอะไรมาต่อกรกับกระดิ่งแก้ว ขนาดท่านจิ่วหัตถ์ิญญาที่มีพลังอยู่ในขอบเขตกิเลสมารยังไม่สามารถต่อต้านกระดิ่งแก้วได้เลย
กู่หมานดูเหมือนจะโมโหเป็อย่างมากเขาอยากก้าวขึ้นไปข้างหน้าแต่กลับถูกกู่เชียนเยว่รั้งเอาไว้ ไม่รู้เพราะอะไรสายตาที่กู่เชียนเยว่มองอันเจิงจึงไม่เหมือนเดิม
กู่หมานใช้ภาษาของชนเผ่ากู่เลี่ยพูดกับกู่เชียนเยว่อยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังถกเถียงเื่อะไรบางอย่างแต่สุดท้ายเขาก็ต้องเคารพการตัดสินใจของกู่เชียนเยว่อยู่ดี จึงได้แต่ยืนนิ่ง ๆอยู่ข้างนางแล้วมองอันเจิงด้วยสายตาที่เ็า
“ไม่มีใครอยากได้รึ?”
อันเจิงเอากระดิ่งแก้วทุบลงบนโต๊ะหลายครั้งจากนั้นก็แบมือออก“เกล็ดมัจฉาลอยเข้าไปเอง ข้าไม่ได้เป็คนแย่งมาเสียหน่อยตอนนี้มันเข้าไปอยู่ข้างในและไม่ยอมออกมา ข้าก็เอามันออกมาไม่ได้ เช่นนั้นแบบนี้ดีหรือไม่หากข้าสามารถนำมันออกมาได้เมื่อไหร่จะส่งคนเอากลับมาให้เอง?”
จวงเฟยเฟยเพิ่งจะเริ่มอ้าปากพูดแต่กู่เชียนเยว่ก็ยืนขึ้นอย่างกะทันหัน “ได้”
นางพูดเพียงคำเดียวจากนั้นก็ถอยหลังไป
จวงเฟยเฟยชะงักไปชั่วครู่ “เ้าหมายความว่าอย่างไร?”
กู่เชียนเยว่เดินไปด้านหลังของอันเจิง “เกล็ดมัจฉานี้เป็ของข้าเรายังไม่ได้ตกลงแลกเปลี่ยนของกัน ฉะนั้นไม่ว่าเ้าพูดหรือทำอะไรไปก็ไม่มีความหมายที่ข้าพูดว่า ‘ได้’ เ้าไม่เข้าใจรึ?”
จวงเฟยเฟยแผ่รังสีสังหารออกมาทางแววตามากขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ยอดฝีมือในโรงจวี้ฉ่างต่างก็เริ่มมารวมตัวกันแล้ว
ปัง! กู่หมานกระแทกสามง่ามลงบนพื้น “หัวหน้าเผ่าข้าพูดอย่างไรก็ต้องเป็ไปตามนั้นหากพวกเ้าคิดจะลงมือ เช่นนั้นก็ลองดูดูว่าพวกเ้าจะสามารถฆ่าทหารนับหมื่นคนที่อยู่ด้านนอกได้หรือไม่ หากไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็จะเป็คนฆ่าพวกเ้าเอง”
สีหน้าของจวงเฟยเฟยเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง นางสามารถกำจัดโรงเต๋อเป่าได้ แต่นางไม่สามารถเอาชนะทหารมากมายของเผ่ากู่เลี่ยได้แน่ถึงแม้กู่หมานจะดูดิบเถื่อนแบบนี้แต่ก็คงมีพลังไม่น้อย สาวน้อยคนนั้นเป็ถึงหัวหน้าเผ่าแล้วกู่หมานก็เป็องครักษ์ของนางแน่นอนว่าฝีมือเขาต้องไม่ธรรมดา ชนเผ่ากู่เลี่ยมีตำนานที่ยาวนานและในตำนานเหล่านี้ก็เคยปรากฏยอดฝีมือไม่น้อยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นทหารของเผ่ากู่เลี่ยดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมาก ๆ
ตอนนั้นชนเผ่ากู่เลี่ยรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในเทือกเขาชางหมานยากลำบากนัก จึงอยากออกไปใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนคนทั่วไปฉะนั้นจึงเข้าไปรวมกับแคว้นโยว ในตอนนั้นแคว้นโยวแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นแต่ไม่มีใครนึกเลยว่า ในระหว่างการสู้รบนั้นแคว้นเยี่ยนกับแคว้นป้าจะร่วมมือกันและทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ ทหารเยี่ยนไล่ฆ่าเข้าไปจนถึงตัวเมืองแคว้นโยวแล้วหากไม่ใช่เพราะแคว้นย่งและแคว้นโจวร่วมมือกันลอบโจมตีทหารแคว้นเยี่ยนละก็แคว้นโยวคงถูกฆ่าล้างแคว้นอย่างแน่นอน
หลังจากาครั้งนั้น ชนเผ่ากู่เลี่ยเสียหายเป็อย่างมากทหารมากกว่าแสนคนที่ออกมาสู้รบมีชีวิตกลับไปไม่ถึงห้าพันคนเลยด้วยซ้ำหลังผ่านการฟื้นฟูมาหลายสิบปี ตอนนี้กำลังทหารของเผ่ากู่เลี่ยได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับสมัยก่อนได้อีก
อย่างไรก็ตาม ฝีมือการสู้รบของทหารเผ่ากู่เลี่ยก็ทำให้ผู้คนเกรงกลัวจนถึงปัจจุบันใน่รุ่งโรจน์ของแคว้นเยี่ยน มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เหล่าทหารกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กพ่ายแพ้ต่อานั่นก็คือตอนที่รบกับกองทัพโซ่วหั้วแห่งเผ่ากู่เลี่ยนั่นเอง ในตอนนั้น กลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กที่มีทหารสามพันคนพ่ายแพ้และไม่มีทหารเหลือชีวิตกลับมาแม้แต่คนเดียวส่วนอีกฝ่ายคือกองทัพโซ่วหั้วที่มีทหารถึงเจ็ดพันคนและผลสุดท้ายก็เหลือทหารกลับมาเพียงสี่คนเท่านั้น
จากาครั้งนั้นแคว้นเยี่ยนก็เข้าสู่ยุคอ่อนแอที่สุดเป็เวลานานนับสิบปี จนถึงเมื่อหกปีที่แล้ว แม่ทัพฟางจือจี่ได้ปฏิรูปกองทัพของเหล่าอัศวินเพลิงเหล็กเสียใหม่แคว้นเยี่ยนจึงกลับมาเป็ที่น่าเกรงขามของแคว้นอื่น ๆ อีกครั้ง
อันเจิงมองจวงเฟยเฟยแวบหนึ่ง “ดูเหมือนนายตัวใหญ่จะยังค้างคาใจอยู่ หากท่านรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมนิกายเบิก์ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ เชิญมาหาข้าได้เลย”
อันเจิงรู้ตัวดีหากไม่ใช่เพราะมีกระดิ่งแก้วละก็ เพียงแค่พลังในขอบเขตจุติ์ขั้นสามที่มีอยู่เขาคงถูกฉีกออกเป็ชิ้น ๆ นานแล้ว รังสีสังหารในดวงตาของจวงเฟยเฟยมีมากนัก มากเสียจนสามารถทำร้ายคนอื่นได้เลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ”
จวงเฟยเฟยหัวเราะขึ้นอย่างกะทันหัน “ผู้นำนิกายอันพูดอะไรกันในเมื่อท่านมีธุระต้องกลับก่อน ก็เชิญได้เลย”
‘อืม’ อันเจิงเปล่งเสียงออกมาจากนั้นก็ชี้ไปที่โลงแก้ว“อย่าเปิดมันออกจะดีที่สุด”
ในแววตาของจวงเฟยเฟยเต็มไปด้วยความสงสัย “เพราะอะไร?”
อันเจิงไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้นหลังจากเอ่ยเตือนแล้วเขาก็เดินจากไป
หลังจากที่อันเจิงเดินออกจากประตูหลังแล้วเขาก็รีบดึงตู้โซ่วโซ่วทันที “รีบหนีเร็ว ที่นี่จะเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้ว”
ตู้โซ่วโซ่วที่กำลังอุ้มเสี่ยวช่านอยู่ชะงักไปเล็กน้อย“หมายความว่าอย่างไร?”
อันเจิงไม่ตอบแต่กลับเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้น เขาหันหลังกลับไปดูก็พบว่า กู่เชียนเยว่และทหารกู่เลี่ยอีกจำนวนนับสิบได้เดินตามหลังเขามาแต่ยังรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไว้
“นี่มันเื่อะไรกัน?”ตู้โซ่วโซ่วเดินไปพลางถาม
ทว่าอันเจิงยิ่งเดินก็ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเขาลากตู้โซ่วโซ่วแล้วบินขึ้นไป
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นเมื่อเจอเกาซานตัวอีกครั้ง ก็พบว่าเขาพาลูกน้องขึ้นม้าบินไปก่อนแล้ว
หลังจากที่พวกเขาจากไปไม่นานในโรงจวี้ฉ่างก็มีเสียงกรีดร้องที่แปลกประหลาดดังขึ้น ราวกับเสียงร้องของผีตายโหงก็ไม่ปาน
หลังคาและขื่อคานของโรงจวี้ฉ่างถูกแรงกระแทกจนปลิวขึ้นฟ้าขณะนั้นอันเจิงได้จากไปไกลแล้ว ตอนที่เขาหันกลับมามองก็เห็นเพียงแสงคมเฉียบที่พุ่งขึ้นฟ้าเท่านั้นต่อมาเล่ากันว่า ในตอนนั้นยังมีร่างของคนพุ่งตามแสงนั้นออกมาเป็จำนวนมากอีกด้วยศพเ่าั้ล้วนมีสภาพร่างกายที่ฉีกขาดทั้งสิ้น
เมื่อกลับถึงนิกายเบิก์ อันเจิงสร้างแท่นขึ้นมาแท่นหนึ่งทันทีจากนั้นก็นำกระดิ่งแก้วไปวางอย่างเป็ระเบียบ เมื่อทุกคนได้เห็นท่าทางของอันเจิงจึงแปลกใจไปตามๆ กัน
“ในนี้ไม่มีคนนอกแล้ว บอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
ตู้โซ่วโซ่วดึงตัวอันเจิงไว้เพื่อถามให้ชัดเจนแต่เมื่อหันหลังก็พบว่ากู่เชียนเยว่พาทหารของเผ่ากู่เลี่ยมายืนจ้องพวกเขาอยู่เหมือนกัน
“ใช่ ข้าก็ไม่ใช่คนนอกนี่นา”
กู่เชียนเยว่หันกลับไปสั่งเหล่าทหาร “นิกายเบิก์นี้มีพื้นที่กว้างใหญ่พอสมควรพวกเ้าทุกคนไปหาห้องนอนเอาเองก็แล้วกันนะ และจัดเตรียมอาหารเย็นด้วยล่ะอย่าได้รบกวนคนอื่นมาจัดการให้เลย”
อันเจิงมองไปที่กู่เชียนเยว่ “เหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่บ้านของพวกเ้านะ”
กู่เชียนเยว่เลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “แต่พวกเ้าเอาสมบัติวิเศษข้าไปหากข้าไม่ตามมาแล้วพวกเ้าหนีไปจะทำอย่างไร อีกอย่าง...ตอนนี้ข้างนอกไม่ปลอดภัยกู่ซาถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว คนจะตายมากเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้เลย ที่นี่ปลอดภัย มีแท่นวางอาวุธที่มีอานุภาพมากขนาดนี้อยู่เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด”
อันเจิงขมวดคิ้ว “เ้าไม่กลัวว่าคนของเผ่าเ้าจะเกิดอันตรายรึ?”
กู่เชียนเยว่ส่ายหัว “ไม่กลัวชนเผ่าข้ามีโหราจารย์อยู่ กู่ซาไม่กล้าทำร้ายชนเผ่าข้าหรอก”
ตู้โซ่วโซ่วไม่ได้ใส่ใจชนเผ่ากู่เลี่ยพวกนั้นแต่กลับเซ้าซี้ถามอันเจิงว่าเกิดอะไรขึ้น
อันเจิงถอนหายใจ “นั่นไม่ใช่โลงแก้วธรรมดามันถูกปิดผนึกไว้อย่างแ่า ฉะนั้น นี่ไม่ใช่การฝังแต่เป็การผนึกร่างเอาไว้ต่างหากเดิมทีมันอยู่ใต้น้ำลึกในเทือกเขาชางหมาน น่าจะมีอะไรบางอย่างปิดผนึกไว้อีกชั้นแต่เพราะน้ำป่าซัดของที่ปิดผนึกเอาไว้จนปลิวออกไป ถึงอย่างนั้นโลงแก้วนี้ก็แข็งแรงและไม่สามารถเปิดได้หากไม่ใช่เพราะ...เพราะจวงเฟยเฟยสั่งคนไปกำจัดโรงเต๋อเป่ายอดฝีมือที่กลับมาจึงมีกลิ่นคาวเืรุนแรง เมื่อพวกเขาไปยืนอยู่ข้างโลงแก้วแล้วทำเืหยดลงไปบนนั้นจึงเป็การปลดปล่อยกู่ซาออกมา ตอนนี้ในตัวกู่ซาเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืฉะนั้นอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”
กู่เชียนเยว่ปรบมือ “นึกไม่ถึงว่าเด็กอย่างเ้าจะรู้มากขนาดนี้กู่ซาถูกฝังอยู่ใต้แม่น้ำหลิวซาอย่างน้อยเป็พันปีแล้วตอนที่สิ้นใจตัวมันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ยังดีที่มีกระทิงดำผนึกเอาไว้ แต่น้ำป่าซัดกระทิงดำลอยไปส่วนโรงจวี้ฉ่างก็ไม่รู้จักแยกแยะวางของสองชิ้นนี้ไว้แยกกันอีกถ้าไม่เกิดเื่ขึ้นน่ะสิแปลก”
“กระทิงดำก็อยู่ในโรงจวี้ฉ่างรึ?”อันเจิงถามด้วยความสงสัย
กู่เชียนเยว่พยักหน้า “ใช่หากไม่มีกระทิงดำเ้าคิดว่าจวงเฟยเฟยจะกล้าเก็บโลงแก้วไว้งั้นรึ? แต่นางไม่รู้วิธีการใช้กระทิงดำฉะนั้นมีก็เหมือนไม่มี”
เวลานี้เองอันเจิงหันไปเห็นเจินจวงปี้ที่ร่างเต็มไปด้วยเื หนีกลับมาในสภาพสะบักสะบอมและขาดแขนซ้ายไปข้างหนึ่งราวกับเจินจวงปี้รู้สึกได้ว่ามีใครมองอยู่จึงหันกลับมามองด้วยแววตาที่โหดร้ายจากนั้นก็เดินโซซัดโซเซเข้าหอสมุดมายาไป
จากนั้นไม่นาน กู่ซาก็พุ่งตรงมาหยุดอยู่ด้านนอกหอสมุดมายามันมองมาทางอันเจิงครู่หนึ่ง แต่เมื่อกระดิ่งแก้วเปล่งแสงกะพริบออกไปกู่ซาจึงหันกลับแล้วมุ่งไปทางหอสมุดมายา ตูม! ทันใดนั้นก็มีลำแสงหนึ่งพุ่งออกมาจากหอสมุดมายาแล้วปักลงบนพื้นหน้าประตูหลังจากกู่ซาเห็นมันแล้วก็รีบะโออกไปโดยเร็วอันเจิงจึงเห็นว่าของที่ปักอยู่หน้าประตูนั่นคือหอกั์นั่นเอง
หอกั์มีความยาวสองเมตรครึ่ง ปลายหอกยาวหนึ่งเมตรส่องแสงประกายออกไปรอบด้าน
ณ ชั้นสองของหอสมุดมายา เชียวจ่างเฉินกำลังยืนมือไขว้หลังอยู่บนนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้