ฤดูเหมันต์ราวกับเพียงชั่วข้ามคืนก็ล่าถอยหายไปเสียแล้ว
สรรพสัตว์ฟื้นชีวา
น้ำแข็งที่ปกคลุมหนาพลันหลอมละลาย
ทุ่งหญ้าเหลืองทองบัดนี้ปรากฏต้นอ่อนสีเขียวผุดพราย
ส่วนแปลงผักหลังกระท่อมไม้ บัดนี้ก็ยิ่งงอกงาม ทุกต้นมีขนาดใหญ่ราวสองมือคนโอบ ทั้งหนาทั้งอ้วน ยามยืนอยู่ข้างแปลงผักก็ไม่วายได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมันโชยมา
นายท่านสามมองดูต้นผักต้นหนึ่งในมือทั้งสองของเด็กหนุ่มที่นำมามอบให้ตน เมื่อมองต่อไปก็เห็นว่าเ้าเด็กหนุ่มนั่นแบกน้องสาวมาด้วย
หลังจากที่ขึ้นมาบนเขาแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจเ้าทารกน้อยนี่อีก อย่างมากก็เคยเห็นแค่ยามนางอยู่กับแม่นางหลัว ทว่ากลับไม่เคยตั้งใจมองนางเลยสักครั้ง
ไม่คาดคิดว่าเ้าทารกที่เคยตัวดำมิดหมี ยิ่งเติบโตก็เปลี่ยนเป็น่ามองเสียแล้ว ไม่แปลกใจที่ที่นางจะชื่นชอบเ้าทารกนี่ถึงเพียงนี้
“นี่เ้าปลูกเองรึ”
อาลู่พยักหน้าหงึกๆ ตอบ
“บนเขาแห่งนี้ไม่มีใครคิดปลูกผัก ช่างหาได้ยากแท้” นายท่านสามเมื่อรับผักมาแล้วก็มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหักใบหนึ่งใส่ปากเพื่อชิม
หวานนัก
อาลู่เห็นเช่นนั้นก็มีท่าทางกระอักกระอ่วน เ้าผักพวกนี้งอกมาจากอึของน้องสาวตน นายท่านสามกินเข้าไปเช่นนี้...
“บุรุษเช่นข้ามิจำเป็ต้องกินของดีถึงเพียงนี้ เ้าเอาไปมอบให้แม่นางหลัวเสียจะดีกว่า”
“ข้าเตรียมไว้แล้วขอรับ”
นายท่านสามมองเ้าเด็กหนุ่มที่นอกจากจะแบกน้องสาวมาแล้ว ยังแบกผักมาด้วยอีกสองหัว
ไฉนเขาจึงได้เพียงหัวเดียว แต่แม่นางหลัวกลับได้ถึงสองหัวเล่า?
หากเป็คนอื่น เขาย่อมต้องจำขึ้นใจไว้รอคิดบัญชีแล้วเป็แน่ ทว่าเ้าผักพวกนี้กลับเป็ของแม่นางหลัว เขาจึงไม่ได้รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกว่าเ้าเด็กนี่ช่างรอบคอบนัก
ปกติยามคนมอบสิ่งของให้กันนั้น นั่นเพราะมีเื่ต้องไหว้วานอีกฝ่าย บัดนี้เขาจึงกำลังรอเ้าเด็กนี่เอ่ยปาก
ทว่ากลับได้ยินเ้าเด็กหนุ่มนี่พูดว่า “ข้ามอบของเสร็จแล้ว งั้นข้าไปล่ะ”
นายท่าสาม “...”
ความจริงแล้วอาลู่ไม่ได้ยินดีจะคบค้ากับนายท่านสาม ทว่าเหล่าปาบอกว่าต้องนำผักนี่มามอบให้ เขาจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของเหล่าปา
ทั้งก่อนมาเหล่าปาก็กำชับแล้วว่า เพียงมาส่งผักนี่ให้นายท่านสามก็พอ ไม่ต้องขออะไรจากเขา
เด็กหนุ่มแบกน้องสาวจากมา แต่เขากลับยังรู้สึกว่านายท่านสามกำลังมองตนอยู่
ในใจของอาลู่เลื่อมใสคำพูดของเหล่าปามาก
เหล่าปาบอกว่าให้เขานำผักไปให้แม่นางหลัวสองหัว ส่วนทางนายท่านสามนั้นให้เพียงหัวเดียวก็พอ ทีแรกเขายังรู้สึกว่าทำเช่นนี้จะเป็การลบหลู่นายท่านสามหรือไม่ คาดไม่ถึงว่านายท่านสามนั้นไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็อ่อนโยนขึ้นทันตา
เมื่อเขาแบกน้องสาวมาถึงเรือนของแม่นางหลัว ก็นำผักที่แบกมามอบให้พี่เสี่ยวเถา ไม่ได้เข้าไปในเรือน
นายท่านใหญ่รู้อยู่ในใจว่าหลัวอู๋เลี่ยงนั้นจะต้องไม่ใช่บุตรสาวของพ่อค้าอย่างแน่นอน เขาเคยเจอบุตรสาวพ่อค้า ท่าทางของสตรีเ่าั้แตกต่างกับนางลิบลับ
ทว่านางบอกว่าเป็ก็ย่อมเป็เช่นนางว่า
เขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะมาศึกษาจิตใจหญิงสาวนัก
สำหรับเขา สตรีก็เหมือนกับทรัพย์สมบัติ
ทว่าเขาเพิ่งจะค้นพบว่า ของเล่นของตนนั้นช่างคุ้มค่ากับของล้ำค่าที่เขาหามามอบให้
เมื่อคืนนี้นางช่างทำให้เขาพอใจนัก พอใจเสียจนเขาไม่สนคำของท่านหมอที่กล่าวว่าแม่นางหลัวเพิ่งจะแท้งบุตร ในสองเดือนนี้มิอาจร่วมหอได้
จวบจนฟ้าสว่าง เขาก็รู้สึกอยากจะหยอกเอินกับนางอีกสักครั้ง
หลัวอู๋เลี่ยงที่หันหลังให้นายท่านใหญ่อยู่ได้ยินเสียงเสี่ยวเถาเปิดประตู จากนั้นจึงปิดประตูลง แล้วจึงเห็นว่าในมือเสี่ยวเถายังอุ้มผักมาอีกสองหัว
ในห้องนั้นไม่ได้ปิดหน้าต่าง ด้วยนายท่านใหญ่บางครั้งชอบให้เปิดหน้าต่างไว้
ดวงตาของหลัวอู๋เลี่ยงจึงเต็มไปด้วยภาพของผักสองหัวสีเขียวๆ นั้น รู้สึกว่ามันมีชีวิตชีวาเหลือเกิน
..........
อาลู่เมื่อส่งผักครบแล้วก็แบกน้องสาวกลับไป
เสี่ยวเถานั้นไม่ได้ปิดประตูใหญ่
หลังจากมองเห็นชายหนุ่มในเรือน เขาก็พลันร้อนรน
เขารู้ว่าชายในเรือนนั้นคือนายท่านใหญ่
ยามเดินทางกลับเขาจึงเปลี่ยนเป็นิ่งเงียบ
ครั้งแรกที่เจอแม่นางหลัว เขานั้นรู้สึกประหลาดใจนัก มิคาดคิดว่าบนโลกนี้จะมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้
เฉินโย่วน้อยก็รู้สึกใเล็กน้อย เพราะเพียงเพิ่งจะเช้า พี่ชายก็พานางมาหาเลี่ยงเลี่ยง สุดท้ายคนไม่ได้เจอก็แล้วเถิด เพียงแต่บัดนี้นางเริ่มหิวแล้ว
แต่นางก็ััได้ว่าตอนนี้พี่ชายดูเหมือนจะไม่สบายใจนัก นางจึงตัดสินใจซบหัวลงกับหลังพี่ชาย
“อาโย่ว รอเ้าโตแล้ว พี่ชายจะให้เ้าได้แต่งงานอย่างสมศักดิ์ศรี แต่งกับคนดีๆ” อาลู่อยู่ดีๆก็โพล่งเื่นี้ขึ้นมา
เฉินโย่วน้อยพยักหน้าเบาๆ “พิพี่ แต่งงาน”
อาลู่จึงหัวเราะขึ้น “ไม่ใช่พี่ชายแต่งงาน แต่เป็เ้าแต่งงานยามเ้าโตแล้ว”
ทารกน้อยััได้ว่าอารมณ์ของพี่ชายเหมือนจะดีขึ้นแล้ว จึงยื่นมืออ้วนๆ ของตนชี้ไปยังเส้นทางหนึ่งที่อยากให้พี่ชายพานางไป
จากนั้นจึงพบกับถ้ำแห่งหนึ่ง
.......
ในถ้ำนั้นเสี่ยวอู่ที่เพิ่งเจอลูกปัดกระดูกเพิ่มอีกสองเม็ดกำลังแบกอาสวินวิ่งมายังหน้าปากถ้ำ
แม้อาสวินจะบอกว่าพวกเขามายังปากถ้ำเช่นนี้ทุกวันนั้นช่างสะดุดตาเกินไป ทว่าเนื้อแห้งนั้นช่างล่อตาล่อใจเขาเหลือเกินจนไม่อาจฟังคำอาสวิน กระนั้นแท้จริงแล้วทุกครั้งที่เขาแบกอาสวินออกมา เขานั้นก็คอยระมัดระวังอยู่เสมอ
เพียงแต่ไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้พวกเขาจะพบกับกับดัก
เสี่ยวอู่และอาสวินล้วนโดนมัดห้อยหัว เมื่อมองอาสวินที่มีเืหยด เสี่ยวอู่ก็ร้องลั่น
“อาสวิน ข้าผิดไปแล้ว ต่อไปข้าจะฟังคำของเ้า”
อาสวินหัวเราะเบาๆ “พวกเราใช้ชีวิตมาเหนื่อยพอแล้ว ไม่เป็ไรหรอก”
อาสวินในท่าทางประหลาดเช่นนี้ ผนวกกับเขาที่เดิมทีก็ผอมแห้งอยู่แล้ว หูที่ใหญ่ผิดปกติของเขา บัดนี้จึงดูเหมือนกับนกที่ถูกมัดห้อยหัวตัวหนึ่ง ส่วนล่างของร่างกายเขามีแผลอยู่ก่อนแล้วเืจึงเริ่มไหลอีกครั้ง
ยามเืไหลก็ได้ยินเสียงหยดของเืดัง “ติ๋ง ติ๋ง”
เสี่ยวอู่เองก็มีแผล บัดนี้เืกำลังไหลออกมาเช่นกัน เขาพยายามต่อสู้สุดแรง ดังนั้นเืจึงไหลออกมามากขึ้น
“ติ๋ง ติ๋ง”
ในถ้ำมีเสียงเช่นนี้ดังแว่วขึ้นมา หากตั้งใจฟังก็จะรู้สึกว่ามันช่างฟังคล้ายกับบทเพลงเพลงหนึ่ง
“เสี่ยวอู่ เ้าฟังคำข้า เ้าหลับตาลงแล้วคิดวิธีการแก้เชือกที่ข้าสอนเ้า เ้าย่อมแก้ได้แน่ เมื่อแก้ได้แล้วก็รีบวิ่งหนีไปเสีย ไม่มีข้าคอยเป็ภาระเ้า เ้าย่อมเอาชีวิตรอดได้แน่ จากนี้ก็ใช้ชีวิตแทนข้าด้วย......” อาสวินยังไม่ทันกล่าวจบ เชือกเส้นนั้นที่พันธนาการเขาไว้ก็ยังคงไกวไปมา หยาดเืก็ยังคงหยดไหล ทว่ากลับไม่มีเสียงเด็กหนุ่มพูดต่อแล้ว
เด็กหนุ่มหลับตาลง น้ำตายังคงพรั่งพรูไม่ขาดสาย
ในสมองของเขาพลันปรากฏภาพอาสวินในวันวานกำลังสอนวิธีแก้มัดเชือกให้เขา อาสวินนั้นร้ายกาจนัก ไม่ว่าอะไรก็ทำเป็ไปเสียหมด พูดอะไรก็ถูกต้องไปเสียทุกเื่
เขาจะต้องแกมัดเชือกได้แน่ เมื่อแก้ได้แล้ว เขาก็จะแบกอาสวินหนีไป
เพียงแต่เขาจะหนีไปไหนได้เล่า ก็คงจะไม่พ้นต้องกลับไปยังถ้ำเชลย
เชลยอย่างพวกเขา หากไปจากถ้ำเชลยแล้วจะโดนฆ่าตอนไหนก็ไม่รู้
ทว่าหากยังอยู่ในถ้ำก็อาจจะโดนฆ่าตายอยู่ดี เหมือนเช่นตอนนี้
ปีนี้อาหารมีน้อยกว่าปีใด
โดยปกติพวกเขาก็ระมัดระวังตัวมากอยู่แล้วจึงได้หาถ้ำที่ไม่มีใครอยู่เพื่อหลบซ่อน ยิ่งกว่านั้นยังไม่เคยปักหลักอยู่ที่ใดนาน ทว่าสองวันมานี้เพราะเสี่ยวอู่เอาแต่ไปหาลูกปัดนั้นที่สระกระดูกจึงได้โดนจับตาเข้าแล้ว
“อาอู่ เ้าจำไว้ตรงปากถ้ำจะต้องวางหญ้าเหอจื่อไว้......” อาสวินที่ไม่แม้แต่จะโกรธเสี่ยวอู่ พูดประโยคขาดห้วงขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว อาสวิน เ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้าใกล้จะแก้มัดเชือกได้แล้ว ม้าไม่ชอบหญ้าเหอจื่อ เ้าทารกนั้นจะได้ไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่”
เสี่ยวอู่ยังไม่ทันแก้เชือกได้ ในถ้ำก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเสียก่อน
เสียงฝีเท้าเบาๆ ที่ดังมาจากในถ้ำนั้นราวกับกำลังเหยียบย่ำหัวใจเสี่ยวอู่ก็ไม่ปาน
หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอก ร่างกายก็พลันสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย แค่อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น
เสียงฝีเท้านั้นใกล้มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว เสี่ยวอู่จึงเปิดตาขึ้นมอง เมื่อเห็นคนที่กำลังเดินมา ดวงตาทั้งสองของเขาก็พลันเบิกโพลง
ชายชราหลังค่อมคนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ชายชราผมเผ้ารุงรัง สีหน้าก็ดูราวกับคนเสียสติ ชายชราคนนี้คือปู่หลิว เมื่อก่อนตอนปู่หลิวโดนรังแก เขายังเคยช่วยออกหน้าปกป้อง
เสี่ยวอู่พลันรู้สึกตื่นเต้น
“ท่านปู่หลิว ช่วยข้าด้วย”
ชายชราเดินมาจนถึงหน้าเขา ก่อนจะแสยะยิ้มชวนสยอง ก่อนจะยกกะละมังแตกๆที่วางอยู่บนพื้น แล้วค่อยๆ จรดปากขึ้นดื่ม พร้อมไอสองสามที
“แค่กๆ เืเด็กหนุ่มช่างสดนัก”
ก่อนชายชราจะหรี่ตาลงราวกับกำลังััรสชาติ
“อา...”
เมื่อชายชราลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตรงตำแหน่งหัวใจของตนมีมีดเล่มหนึ่งปักอยู่
เืค่อยๆ ไหลทะลักจากรอยมีดนั้น
ชายชราหันหน้ากลับมามองอย่างยากลำบาก เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งพร้อมทารกบนหลังอีกคนกำลังเดินมาทางตน